วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

ไหว้เจ้าด้วยคน

ตรุษจีนเขาเรียกชื่อวันแปลก ๆ
.............คงแปลกสำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ใช่พี่น้องเชื้อสายจีน พูดถึงวันตรุษเราเข้าใจว่ามันมีวันเดียว ก็ถูกมี วันเดียวทุกตรุษ ตรุษไทย ตรุษจีน ตรุษแขก ตรุษลาว ตรุษฝรั่ง ตรุษสากล แต่อาจมีวันเกี่ยวเนื่องกันหลายวัน ดูอย่าง สงกรานต์ยังมี วันสงกรานต์ วันเนา วันเถลิงศก ตรุษจีนก็จะมีวันเกี่ยวข้องคือ วันจ่าย วันไหว้ และวันถือ แบบตรุษไทย 3 วันยังสับสนเลย ถ้ามาถามเกี่ยวกับตรุษจีนคงมึนกันใหญ่ อย่ากระนั้นเลย ไปหาความรู้กันดีกว่า เดี๋ยวนี้มี ปัญหาอะไรไปปรึกษา อาแป๊ะกู ไม่ผิดหวัง ได้คำตอบเสมอ
........วันสงกรานต์ เดี๋ยวนี้กำหนดวันที่ 13 เมษายน เป็นวันสงกรานต์ วันดาวอาทิตย์ย่างเข้าสู่ราศีเริ่มต้นปีใหม่ .มีวันเนา วันที่อยู่ถัดวันสงกรานต์ ตรงกับ 14 เมษายน ดาวอาทิตย์ประจำที่เรียบร้อยร้อยแล้ว แล้วมี
........วันเถลิงศก ถัดจากวันเนา ดาวอาทิตย์โคจรขาดจากราศีมีน เข้าสูราศีเมษ 1 องศาแล้วเริ่มปีใหม่เต็มราศีแล้ว เรียกเริ่มศักราชใหม่
..........ผมมีพี่น้องเชื้อสายจีนอยู่หลายคน คนแรกก็ลูกสาวเจ๊กหลุ่น หนูเพ็ญ เรียนหนังสือ ป1.-ป4 ห้องเดียวกัน อีกคนก็ลูกชายแป๊ะฮง นายย่งฮง ลูกชายแป๊ะจิว นายไฮ้ สองคนนี่เรียน ม.1 ห้องเดียวกัน ต่อ ๆ มาก็มีอีกหลายคน ที่สำคัญมากหน่อยก็หลวงพี่ป่อง พี่เลี้ยงตอนเรียนเทศน์หกกระษัตริย์ แกเป็นลูกจีนแบบพ่อจีนแม่จีน บวชแล้วยังไม่ลืมระเบียบประเพณีแบบจีน ช่วงตรุษจีนจึงมีของขวัญมากมายแทบจะล้นกุฏิแก ลำบากเราต้องไปช่วยบริโภค ไม่งั้นเสีย ของหมด อ้อแกเทศน์หกกระษัตริย์เก่งมาก ๆ โดยเฉพาะบทชูชก โยมถ้าไม่ตั้งสติให้ดีฮาไปกับบทบาทชูชกของแก แบบที่คนเขาเรียน "ฮาขี้แตกขี้แตน" ขนาดนั้นแหละ แกมีดีอีกอย่างคือรักคนรุ่นน้อง บวชใหม่ มาอยู่ใหม่ แกจะช่วย แนะนำสั่งสอนระเบียบแบบแผนตาง ๆให้ โดยเฉพาะกับกระผมแกรักเหมือนน้องชาย เพราะสอนง่ายแกบอก สอนอะไร ไม่ค่อยเถียง แถมยังทำได้ด้วย อย่างเมื่อก่อนการควบคุมการเทศน์ ถ้าพระอาจารย์ใหญไม่ไปด้วย หลวงพี่ป่อง ต้องคุมแทน แกสอนกระผมลองทำหน้าที่นี้บ้าง ไม่นานก็ทำแทนแกได้ หน้าที่คนคุมจะทำการบอกเล่าศักราข การแนะนำผู้เทศน์ การดำเนินเรื่อง การเชื่อมต่อเนื้อหาให้ครบเป็นกัณฑ์ ๆ สุดท้ายก็สรุปเนื้อเรื่อง ปริวัตรชาดก ขอบคุณเจ้าภาพ ยังจำได้ดีขอบคุณหลวงพี่มากครับ
.........เขียนถึงหลวงพี่ยาวไปหน่อย เพราะเปิดสมุดบันทึกการเทศน์ เจอเรื่องตรุษจีนที่หลวงพี่เคยบอก เรื่องข้อ ห้ามไม่ควรทำและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับตรุษจีน ลองตรวจสอบกับแป๊ะกูแล้ว(กูเกิ้ล) ตรงกัน จึงลอกมาลงได้เลยว่า คนจีนจะแนะนำให้ละเว้นหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง มีทั้งหมดสิบสองเรื่อง ถ้าทำอาจเป็นลางไม่ดี ไม่เป็นมงคล มี ..สิบสองสิ่งต่อไปนี้วันตรุษอย่าทำ 1. ปัดกวาดขยะ(ปัดทิ้ง คล้ายปัดมงคลทิ้ง) 2. ตัดผม (คำผมพ้องเสียง กับคำภาษาจีนที่แปลว่ามงคล) 3. วันตรุษอย่าพูดคำหยาบหรือทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว 4..เ ช้าอย่ากินโจ้ก อย่ากินเนื้อสัตว์(กินโจ้กยามเช้า คนที่ยากจนเขาทำกัน เทพลงมายามเช้าวันตรุษเป็นเทพกิน มังสะวิรัต) 5. ห้ามซักผ้าวันตรุษจีน (เทพแห่งน้ำเกิดวันตรุษ ทำให้น้ำสกปรก เป็นการลบหลู่) 6. อย่าสวมชุดขาวดำ วันตรุษ เพราะเป็นสีเดี่ยวกับความตาย สีมงคลคือสีแดง) 7. อย่าปล่อยเงินยืมวันตรุษ(เป็นลางไม่ดี คนจะมายืมบ่อย ๆ) 8. ระวังอย่าทำของแตกในวันตรุษ(จะเป็นลางร้ายหมายถึงความแตกแยก ความตาย)9. อย่าซื้อรองเท้าใหม่วันตรุษ (คำภาษาจีน Hai ที่แปลว่ารองเท้า ออกเสียง ไฮ้ คล้ายคำอุทานเวลาตกใจหรือท้อแท้ เป็นลางไม่ดี) 10.อย่าร้องให้ในวันตรุษ (ร้องให้เป็นลักษณะความเสียใจ เป็นลางไม่ดี)11. อย่าใช้ของมีคมวันตรุษ (ของมีคมมีไว้ใช้ตัดสิ่งอื่น เป็นลางไม่ดี ตัดโชคลาภ ตัดมงคล) 12. อย่าเข้าไปห้องนอนคนอื่น (จะทำให้คนอื่นเข้าถึงตัวได้ง่าย รวมทั้งเคราะห์ ต่าง ๆ ด้วย เป็นลางไม่ดีควรงดเว้น
.........เห็นข้อห้ามหรือสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติแล้ว ต่อมาก็สิ่งที่เขาปฏิบัติกันช่วงวันตรุษจีน อย่าสงสัยนะว่าอยากรู้ไป ทำไม ก็ยายที่บ้านแกลงทุนไปซื้อของไหว้มามากมาย บอกว่าเราก็ต้องจัดทำพิธีไหว้ตรุษจีนกับเขาด้วย ก็เลยถาม ว่าแล้วมันเกี่ยวอะไร เราเป็นไทย อย่างมากก็แค่เคยเป็นลาวอีสาน จะมาไหว้ตรุษจีน ทำแบบไหนไม่รู้เลย แกยืนยัน ว่ามีเชื้อนะ มีอากง อาม่า ท่านพาไหว้มาตั้งแต่เด็ก อ่านประวัติของครอบครัวเจ้าเมืองฉะเชิงเทรา พระอินทราสา ที่ยาย เคยอยู่บ้านท่านตอนเด็ก ก็ทราบว่าพูดจริง จึงถามว่าแล้วจะให้ทำอะไร ยายก็บอก 3 เรื่องที่ต้องทำ 

........วันจ่าย ที่เรียกกันว่า วันตือเส็ก กำหนดก่อนวันไหว้ 1 วัน ร้านค้ายังไม่ปิด สามารถหาซื้อของไหว้ได้สะดวก มีกิจอะไรต้องทำก็จัดการให้ เรียบร้อย วันไหว้ก็หยุดกันหมด ปี 2560 นี้ วันจ่ายตรงกับวันที่ 26 มกราคม 2560 อันนี้ยายไปตลาดสดซื้อมาแล้ว อาหาร ได้อะไรมา ไก่ต้มสุก เป็ดอบ ปลาตะเพียน เนื้อหมูพะโล้ ปลาหมึก หมี่ซั่วะ เม็ดบัว ถั่วตัด สาหร่าย หน่อไม้ ขนมได้อะไรบ้าง ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมไข่ ขนมถ้วย ซาลเปา พวกผลไม้ได้ กล้วยหอมทอง แอบเปิ้ล สาลี่ ส้ม สับปะรด ปีนี้อุดมสมบูรณ์เครื่องเซ่นไหว้จึงมีมากมาย
........ถัดมาก็กิจกรรมวันไหว้ ซึ่งจะถือว่าเป็นวันสิ้นปีของทางจีน เป็นวันที่คนจีนไหว้เทพเจ้าต่างๆ ด้วยเครื่องเซ่นไหว้ โดยปีนี้ วันไหว้จะตรงกับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 วันไหว้มีเรื่องอยากทราบคือเขาไหว้อะไรกัน ถามยายแล้ว ก็ไปสอบกันแป๊ะกู หาข้อสรุปว่าควรไหว้อะไรบ้าง จะได้ทำให้
........ช่วงแรก ไหว้เจ้าที่ ด้วยชุด ซาแซ คือหมู เป็ด ไก่ ขนมเทียน ขนมถ้วยฟู ส้มสีทอง แอบเปิ้ล แค่นี้พอ เราทำ พิธีที่ศาลพระภูมิ จุดธูปบอกกล่าวอัญเชิญเจ้าที่ให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ และรับบุญกุศลที่เราตั้งใจอุทิศให้ ขอให้พวก ท่านจงมีแต่ความสวัสดีมีชัย อย่าได้ลำบาก มีความสุขความเจริญตามควร โอกาสวันมงคลเช่นนี้ ท่านจะเมตตาให้ศีล ให้พรแก่พวกเราและลูกหลาน ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง สาธุ
........ช่วงที่สองไหว้บรรพบุรุษ ชุดซาแซเช่นกัน แถมอาหารหวานคาวที่บางท่านชอบ ตายายขอบยำปลาโอ อีกคน แกงเผ็ด หมูแดดเดียวทอด อีกคนชอบแกงจืด จัดมาครบ ขนมเทียน ขนมไข่ ลอดช่อง ลำไย ส้มสีทอง กล้อยหอม แอบเปิ้ล เต็มโต๊ะเลย จุดธูปเทียนขอบอกกล่าวพระภูมิเทวาอารักษ์ ได้ช่วยสื่อสารให้บรรบุรุษพวกเราได้ทราบว่าวันตรุษ พวกเราเตรียมสิ่งของมาบูชากราบไหว้บรรพบุรุษ ขอให้มารับเอาเครื่องบูชาและบุญกุศลที่พวกเรามอบให้ ขอให้ทุก ๆ ท่านพ้นจากความยากลำบาก ได้รับแต่สิ่งดีงามเป็นมงคล ประสบความสุขตลอดไป
........ช่วงที่สาม ไหว้ภูติ โอปปาติกะ ที่ผ่านไปมา ใช้ชุดเครื่องเซ่นไหว้เป็นของสด แถมขนมและผลไม้ จุดธูปเทียน บอกกล่าวขออนุญาตพระภูมิเจ้าที่ โปรดอนุญาต ภูติและโอปปาติกะเร่ร่อน แวะเข้ามารับเครื่องบูชาที่พวกเราจัดไว้ ขอให้ทุกตน ๆ พ้นจากความยากลำบาก ได้รับความสุขความเจริญถ้วนหน้ากัน ทุกตน ๆ เถิด
........ช่วงที่ 4 ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ชิงเอี้ย เทพของเราเป็นบรรพบุรุษ เลยขอใช้เครื่องบูชาแบบเจ ได้แก่ ผลไม้ ขนม สามทุ่มเศษประกอบพิธีที่ห้องพระ สวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็กล่าวคำบูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ขอให้ท่าน มีความสุขสวัสดี มีมงคล มีโชคลาภมาก ๆ แล้วอย่าลืมเมตตาประทานให้พวกเรามีโชคลาภตลอดปีใหม่ด้วย อ้อช่วงนี้ซักสามสี่ทุ่มค่อยทำ
.........ชวงที่ 5 ไหว้เทพผู้ยังมีชีวิตอยู่  หลังวันไหว้ก็เป็นปีใหม่ ตามคติแบบจีน วันเที่ยวจะชวนกันจะออกเดินทางไปเที่ยวเยี่ยมผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ไปแสดงมุทิตาจิตต่อท่าน ด้วยเสื้อผ้า อาหาร ขนม ผลไม้ เครื่องบูชาของเราอาจไม่เหมือนที่พี่น้องชาวจีนเขาทำ เราแค่ประยุกต์ใช้ เองขอรับ การไหว้เช่นนี้เป็นกิจกรรมดีงาม จะตรุษไหนก็ทำได้ ขนาดตรุษฝรั่งเรายังไปไหว้พ่อแม่เลย ไม่เห็นเป็นไร ตรุษจีน เลยถือโอกาสไหว้ด้วย
........แป๊ะกูเกิ้ล บอกว่าของที่พี่น้องชาวจีนใช้ในการไหว้ช่วงตรุษจีน เขาเลือกอย่างมีความหมายนะ ไม่ได้เลือกส่ง ๆ แล้วแป๊ะกูก็จาระไนไว้ซะ ยืดยาว.......
- ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์
- เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย
- ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์
- หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้
- ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)
- บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว
- เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก
- ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน
- สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย
- หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก
- ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต
- ขนมเทียน คือ มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น
- ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต
- ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
- ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู
- ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค 
...........ผ่านไปได้หนึ่งงาน จบก่อนละ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนมีเชื้อกะเขาอีก ไม่แน่น่า สืบ ๆ ไป เจอแน่ เห็นว่าบรรพบุรุษกระผมมาจากลุ่มน้ำแยงซีเกียงเหมือนกันนี่นา

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

อยากกินซุบแบบอีสาน




ซุบอีสานแบบไทเลย

.........ลูกหลานเขาพาไปเที่ยวแถวกาญจนบุรี อาหารเช้าที่โรงแรมเขามีน้ำซุปให้ ไม่รู้ มันกินกับอะไร แต่ก็ตักมาถ้วยเล็ก ๆ ข้าวต้มปลาถ้วยหลัก กับน้ำส้ม แต่น้ำซุปเอามาชิม ดูอยากรู้มันเป็นยังไง ถึงโต๊ะก็จัดการก่อน ดูหน้าตาเหมือนต้มเลือดหมู น้ำใส ๆ มีดอกไม้ จีนลอยอยู่สี่ห้าดอก กระดูกหมูสามชิ้น เก๋ากี้สีแดง ๆห้าเม็ด ชิมดูก็เหมือนต้มจืดจริง ๆ แต่เขาก็ยืนยันว่าน้ำซุป เอ้าซุปก็ซุป ไปบ้านกินซุบบ้านเราอร่อยไม่แพ้ซุปแบบฝรั่งแน่นอน  แถมเป็นซุบไทเลยด้วย

.........เข้าเฟสไปเจอลูกหลานเขาทำซุปเห็ดกินกัน ในหัวมันแล่นวาบทันที เอาละทำ ซุปกินซักวัน ไปดูตู้กับข้าว เห็ดกระด้างถุงหนึ่ง 
เห็ดหูหนูสองถุง และผักต่าง ๆ ที่ซื้อจากตลาดสดนาอ้อ เมืองเลย ยังอยู่ อย่างดีเลย ฟักทองลูกเล็ก ๆ กำลังดี มะเขือขื่นสุก ๆ จนเหลืองเอา 3 ลูกพอเดี๋ยวขม ทั้งหมดใส่หวดนึ่งให้สุกก่อน เลือกเอาฟักทองชิ้นเดียว เห็ดหูหนูกับเห็ดกระด้างเท่ากัน หั่นให้ดีจะได้เคี้ยวง่าย ใช้แค่สี่อย่างคือ มะเขือขื่น 3 ฟักทองชิ้นเดียว เห็ด 2 อย่าง แค่นี้พอทำซุบได้แล้ว

ในจานนี้เลือกเอาจากผักนึ่งที่นึ่งเต็มหวด เอาแฉพาะพอทำซุบเท่านั้น ที่เหลือทำผักจิ้มน้ำพริกไป


 แล้วก็หัวปลาดุกย่างที่ยายทิ้งไว้กินไม่หมดเอามาต้มน้ำปลาร้าแบบทำป่นปลาดุกนั่นแหละ ความจริง ชอบหัวหอยจูบนะ ใส่ในซุบ แต่มันไม่มี เห็นปลาดุกย่างก็ชอบนะ เลยเอามาใช้  ต้มเปื่อยแล้วแคะเอาแต่เนื้อ ไปใส่ซุบ ส่วนน้ำต้มก็คือน้ำปลาร้าไว้ใส่ซุบเช่นกัน


........เครื่องปรุงชุดใหญ่ประกอบด้วย หอมแดงสามหัว กระเทียม 7 กลีบ ข่า 7 ฝาน มะเขือเทศ 2 ลูก ใส่ครกโขลกให้ละเอียดแล้วนำไปคั่วให้สุกกรอบ หอมมากใส่ลงไป จานผักที่เลือกไว้เทตามลงไป โขลก

ให้เข้ากัน ปลาดุกเฉพาะเนื้อตามลงไป ครบเครื่องทำซุบ โขลกให้ละเอียดหน่อน มองหางาขาวคั่วสุกหอมใส่ครกหินบดให้ละเอียด ใส่งลงไป ตามด้วยน้ำปลาร้าที่ใช้ต้มหัวปลาดุกใส่พอขลุกขลิก โปรยด้วย
ชีหอม ชีฝรั่ง หอมสด ชิมกอ่น เติมรสดี น้ำปลา เป็นอันจบ พริกป่นรอก่อน
งาขาวคั่วไฟอ่อน ๆ คนใจร้อนอย่าให้คั่วเดี๋ยวไหม้หมด
หอมแดง กระเทียม ข่าปกติเสียบไม้ย่างให้สุกก่อน แต่ผมชอบโขลกให้ละเอียดก่อน เอาไปคั่วไฟ ให้สุกหอมแบบเจียวกระเทียม แต่ใช้วิธีคั่ว มันหอมกว่าเสียบไม้ย่างแล้วกัน 

........ตักแยกเป็นสองถ้วย ของยายไม่ใส่พริกแกไม่ชอบ ของเราใส่ช้อนเดียวก็เผ็ดแล้ว เหลือผักกับปลาแดดเดียวทอด ไปดูในตู้เจอปลาหมอแดดเดียว ของโปรดทอดมา 1 จาน ผักนึ่งจัดมา 1 จาน ผักสดอยากได้ผักกระโดน ผักเม็ก ถ้ามีจะอร่อยมาก อ้อใบขิงสด ๆก็สุดยอดนะกินกับซุบแบบอีสาน




ปลาหมูทอก ปลาหมู แบบแดดเดียว อันนี้ได้จากปราจีนริมทางรถไฟ ให้ยายซื้อแกบอกกิโลเดียวพอแล้ว ไม่เคยกิน ทอดเสร็จยังไม่ทันได้บอกเลย แกชิมหมดไปครึ่งจาน ยายว่ามันอร่อย รู้งี้ซื้อซักสองโลก็ดี


นึ่งผักทำซุบ เลือกไปทำซุบที่เหลือเป็นผักกินกับน้ำพริกได้เป็นอย่างดี
ผักสด เน้นผักกระโดนของโปรด แตงกวาไว้แก้เผ็ด ถัวพู บางคนก็ชอบ



25/1/2560

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

ยายชอบปลาร้าหมาชอบแซลม่อน






เมื่อยายกินปลาร้าแต่หมายายกินแซลม่อน 


........กลับจากไปเที่ยวปีใหม่ 4 มกราคม 2560 ยายไปห้างซื้อของใช้ แกชอบซื้อทีละมาก ๆ จนเด็กเขาสงสัยว่ายายคงเปิดร้าน ขายของชำ พอถามกลับเป็นซื้อไปกักตุนไว้จะได้ไม่ต้องมาบ่อย ๆ เขาเลยแนะนำให้สมัครเป็นสมาชิกประเภทร้านขายของชำ เขาบอกมีส่วนลดให้ ก็เลยกลายเป็นสมาชิกเขา ไม่ผิดหวังหรอก ยายแกซื้อทีละเต็มคันรถเข็น วันนี้พิเศษหน่อยแกซื้อปลาแซลม่อนสอง ชิ้นสี่ร้อยบาท ซื้อของเสร็จเลยไปตลาดสดโครงการส่วนพระองค์ที่ชายเขตปราจีนบุรี ตรงสะพานข้ามแม่น้ำสองชื่อ ฝั่งซ้ายแม่น้ำบาง ประกง ข้ามสะพานเสร็จขากลับเป็นแม่น้ำปราจีนบุรี แม่น้ำสายนี้มีหลายชื่อ ช่วงผ่านนครนายกมีชื่อว่าแม่น้ำนครนายก พอเข้าเขตปราจีนบุรี ได้ชื่อใหม่เป็นแม่น้ำปราจีนบุรี เข้าเขตฉะชิงเทราเป็นแม่น้ำบางปะกง น่าสงสัยอยู่นะทำไมไม่ชื่อแม่น้ำฉะเชิงเทรา ไปเอาชืออำเภอมา ตั้ง มันผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีบันทึกไว้ เลยไม่รู้จะถามใคร มีคนถามเหมือนกันว่าทำไม คงตอบได้แบบเดาเอา เมืองนี้ชื่อเมือง
แปดริ้วมาแต่เดิม ชื่อฉะเชิงเทราน่าจะมาทีหลัง ตอนเขาเรียกชื่อแม่น้ำกัน จะเรียกแม่น้ำแปดริ้ว ก็คงขำ ๆ เพราะสู้แม่น้ำนครนายก แม่น้ำปราจีนบุรีไม่ได้ เอาชื่ออำเภอแล้วกัน มันไหลผ่านอำเภอบ้านโพธิไปลงทะเลที่เขตอำเภอบางปะกง บ้านโพธิ์คงเป็นอำเภอใหม่กว่าทาง บางปะกง แถมชื่อบางมันดูยิ่งใหญ่แบบเมืองชายทะเล เสียด้วย แบบบางแสน บางปู ก็เลยเอาบางปะกงมาเป็นชื่อแม่น้ำช่วงที่ไหลผ่าน
เมืองฉะเชิงเทรา พอใช้ชื่อนี้คนจำได้เลยว่ามันไหลลงอ่าวไทยที่บางปะกง จนไม่รู้อีก 2 ชื่อว่ามันคือแม่น้ำสายเดียวกัน
........ยายกระซิบบอก มากไปตา พอแล้วไม่มีใครถาม พล่ามไปทำไม นั่นซินะ เอ้าหยุดไป โครงการส่วนพระองค์ หาซื้อผักปูปลากัน ผักสดเยอะ ราคาไม่แพง ไปเห็นเป็ดเขาถอนขนควักเครื่องในออกแล้วตัวละ 120 บาท ซื้อไปทำลาบกินกัน แม่บ้านถามมันไม่มีเครื่องในนะคุณลุง อ๋อเป็ดพวกนี้ ไปถึงบ้านมันมีเครื่องในครบเลยแหละ ยังอีกเถียงด้วยว่าในตู้เย็นก็ไม่มีนะทำกินหมดนานแล้วแกยืนยัน เราก็ยันยืน..กลับไปว่ามีแน่นอน ไม่เชื่อคอยดู ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก เด็กมันไม่เข้าใจว่า พอกลับไปบ้านจะทำลาบเป็ด เราก็สั่งมันนั่นแหละไปซื้อเครื่องในที่ตลาดสด ถ้าไม่ทันเครื่องในเป็ด เครื่องในไก่ก็ได้ แค่นี้เองก็จบมีเครื่องในใส่ลาบเป็ดแน่นอน 555 วันนี้ได้ผัก กระโดน(จิกน้ำ) สะเม็ด(ผักเม็ก) ขี้เหล็กที่ต้มแล้วเป็นก้อน ๆ เจอแม่ค้าปลาร้าเจ้าประจำ ได้มาสองกิโลกรัม 120 บาท ส่วนยายแยกทางกันไปกับแม่บ้าน ได้ของที่ต้องการก็ กลับกัน
........ มาถึงบ้านค่ำพอดี เลยทำลาบปลาร้า เลือกเอาเฉพาะเนื้อ หัวและใส้ตัดออกไว้ให้เขาทำส้มตำ ล้าง แช่น้ำหมัก 1 ชั่วโมงค่อยเอา มาสับให้ละเอียด ได้เนื้อปลาร้า หกเจ็ดขีด ชิมดูเค็มน้อยลงมาก ต่อไปก็เครื่องปรุง ชุดที่ 1 ตะไคร้ ข่า กระเทียม หอมแดง ชุดนี้โขลกให้ แหลกและนำไปคั่วให้สุกหอมเหมือนเผาไฟก่อนนำมาตำ ชุดที่สอง กระเทียมดอง มะเขือเทศ มะขามเปียก นี่ก็ใส่ครกตำแหลก แล้วเอา ไปคั่วให้สุก เทลงกระทะใหญ่ปนกับชุดที่ 1 ไฟอ่อน ๆ คลุกให้เข้ากัน ถ้าปลาร้าไม่ค่อยหอมเติมกระปิซัก สามช้อน มะขามเปียก 6 ฝัก คนไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ปลาร้าสุกแล้ว หอมสุดจิตสุดใจ เติมรสดีสองช้อน ก็ปิดไฟ เติมพริกป่น 3 ช้อน จะได้ไม่เผ็ด ตักไปกินค่อยเติมสำหรับ คนชอบเผ็ด คนต่อครู่หนึ่งก็ตักออกใส่ถ้วย เอาไปวางบนโต๊ะอาหาร เย็นก่อนค่อยเก็บ ขอไปอาบน้ำก่อน
.........ทุ่มเศษอาบน้ำใส่เสื้อผ้าเสร็จออกมาผ่านโต๊ะกับข้าว ยายนั่งชิมลาบปลาร้า ชิมไปบ่นไป อร่อยชิบหาย มันคืออะไรตา อ้าวแหว่งไป เยอะแล้วยังไม่รู้เหรอ ลาบปลาร้าหรือแจ่วบองนั่นไง มองหน้าเราแบบไม่เชื่อที่บอก เคยกินนะแจ่วบองไม่เป็นอย่างนี้นี่ หันไปคดข้าวใส่ จาน ตักปลาร้าใส่ พุ้ยด้วยมือใส่ปาก อร่อย ๆ ๆ เห็นแล้วสงสาร เลยไปล้างมะเขือเปราะ แตงกวา จิกน้ำ สะม็ด เต็มจานมาให้ ปล่อยแกลุย
ตามสบาย เรามีไก่ย่างไปอุ่นก่อนจะมากินด้วย ยกใส่จานออกมา ปกติยายแกชอบกินไก่ย่างนะ แต่วันนี้เฉย ๆ เลยเตือนว่าแจ่วบองกินมาก แสบท้องนา เค็มและเผ็ด ให้กินผักเยอะ ๆ วันนั้นแกกินแจ่วบองหมดไปถ้วยหนึ่ง ที่เหลือเก็บใส่ตู้กับข้าวไว้ให้ สามวันให้หลังแกบอกหมดแล้ว ให้แม่ครัวทำให้อีก ชิมแล้วมาฟ้องว่าไม่อร่อยเหมือนตาทำ โหแม่บ้านคนพม่าเขาจะทำแจ่วบองอีสานได้อย่างไร ก็ทำได้ แต่รสชาติ
มันสอนกันไม่ได้ ไม่ยอมต้องให้ตาทำใหม่ ตาชิมดูแล้วก็เติมเครื่องปรุงให้ เสร็จแล้วยายชิมดู แกบอกเออแบบนี้แหละ ๆ ทีนี้สองคนกับ แม่บ้านลุยกันเกลี้ยง คนอารัยไทยแท้ ๆกินแจ่วบองเก่งกว่าลูกอีสาน แม่บ้านก็พม่าสายมอญนะแต่ชอบแจ่วบองมาก ๆ ไม่กลัวเผ็ด นี่แหละ ที่เรีกว่าคุณยายกินปลาร้า(บอง) ตอนนี้ติดแจ่วบองแล้ว ไปตลาดเจอปลาร้าก็ซื้อมาฝาก เปล่าหรอกซื้อมาให้ทำแจ่วบองให้กินนั่นเอง
..........คุกกี้ ทาโร่ กินแซลม่อน หมาโปรดของยายพันธุ์ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ขี้ประจบทั้งสองตัว คุกกี้ชอบเคลียคลอ นอนแนบข้างเวลายาย นั่งดูทีวี ยายกินขนมก็กินแบบคนครึ่งหนึ่งหมาครึ่งหนึ่ง ส่วนทาโร่หมาตัวผู้ ซุกซน ขี้ตกใจ แม่บ้านกับยายชอบดุ แกล้งให้มันกลัว วิ่งหนี หางจุกตูด แป๊บเดียวโผล่หน้ามาอีก ต้องเอาขนมล่อถึงยอมมาใกล้ บ่อยเข้าก็ติดนิสัย ขู่เสียงดังดูมันวิ่งหลบภัย แล้วดูมันแอบมามอง ทีนี้ ของกินเอาออกมาล่อ ก่อนนี้ตื่นเช้าออกจากกรงมันวิ่งมาหาเราให้อุ้มลูบหลังลูบไหล่ เดี๋ยวนี้วิ่งไปให้เขาขู่ก่อน ได้กินขนม แล้วค่อยมาหาเรา บางทีโดนด่า วิ่งมาแอบอยู่ใต้เก้าอี้ที่เรานั่ง พอเขาเรียกก็โผล่หน้าไปดู มีของกินถึงยอมวิ่งไปให้อุ้ม ถ้าไม่มีจ้างก็ไม่ไป นิสัยแบบนี้ เองเจ้าทาโร่จึงมีคนให้อาหารพิเศษคือ ยายกับแม่บ้าน
..........วันหนึ่งเปิดตู้เย็นเห็นแซลม่อนยังอยู่เลยถามยายว่าเมื่อไรจะเอาไปให้เขา เห็นว่าซื้อจะเอาไปฝากเขาสวัสดีปีใหม่ สองสัปดาห์ แล้วใครจะกล้ากินไม่เสียแล้วเหรอ แม่บ้านบอกมีราขึ้นที่พลาสติคห่อกล่องปลา ยายจะเอาทิ้ง เลยบอกแม่บ้านเอาไปย่างให้หมากินดีกว่า เสียดาย ให้ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชน้อย ๆ แล้วเอาเนื้อปลาลงทอดพลิกไปพลิกมา หอมมาก ๆ ไม่นานก็สุก เย็นแล้วแบ่งออกเป็นสองถาด คุกกี้กับทาโร่ ได้คนละถาด มันจัดการแป๊บเดียวเกลี้ยง เด็กแม่บ้านมันด่าหมา "อ้ายห่า มึงกินแซลม่อนชิ้นละสองร้อยเชียว ตากินปลาอินทรีย์เค็มชิ้นละ 30 ยังบ่นว่าแพง" ยายมายืนโอ๋ตามเคย อร่อยไหมลูก อยู่กับแม่ได้กินแต่ของดี ๆน้า คุยใหญ่เลย ก็จึงแซวบ้าง ใช่เลย คุกกี้ ทาโร่ แม่แกเขาใจดี รับรองไม่แย่งพวกแกกินหรอก แม่แกเขาชอบกินปลาร้า กิโลละหกสิบเอง แซลม่อนชิ้นละสองร้อย เอาไว้ให้ พวกแกกินไง......555 โอ๊ะ โอ้ย โดนหยิก
..........ก็คงจบได้แล้วมั้ง เรื่องยายปลาร้าหมาปลาแซลม่อน มันชอบต่างกัน แจ่วบองเราทำกินเลยต้องเรียกสูตรพิเศษ อร่อยมาก จน คนได้ชิมชวนเอาไปฝากขายจะขายให้ ขายก็ขาดทุนแหละ เพราะเครื่องปรุงราคาแพง ส่วนหมาปลาแซลม่อนมันเรื่องบังเอิญ ไม่ได้ให้ ประจำหรอก ที่เขียนนี่ก็เพราะไปแซวยายเขา นึกว่าจะโกรธกลับชอบใจเร่งให้เขียนโพสบลอกให้อ่านหน่อย เอ้าเขียนให้แล้วนา...สวัสดี 






















































วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

ระลึกพระคุณครู




.......สิบหกมกราคม 2560 ลูกสาวบอกวันนี้วันครูนะพ่อ เขาให้หนู ไปรับรางวัลด้วย อืมคนเป็นครูมีวันครูเหมือนอาชีพอื่น ๆ นะ เราเคย เป็นครูเหมือนกันแหละ แต่เป็นครูที่ออกจะมากเกินไปกว่าคนอื่น ๆ คือ ชอบสอน เห็นอะไรไม่ถูกมันคันปากยิบ ๆ อยากบอกว่ามันไม่ถูก จนบางทีเบรคไม่อยู่ หน้าแหกบ่อย ๆ เพราะคนเขาต่อว่าเอาว่าทำไม เสือ...เรื่องของเขา ก็อายนิดหน่อยไม่เข็ด เจออีกก็เป็นอีก โดยเฉพาะ
เรื่องการใช้ภาษาไทย คนอื่นใช้ผิด เห็นไวมาก แต่พอถึงทีตัวผิดบ้าง ไม่ค่อยเห็น ที่สุดก็เข้าใจนิสัยเราเป็นแบบนี้เอง คงแก้ยาก เพราะเจ็ดสิบสามขวบแล้ว
......วันครูพูดถึงที่ดี ๆ แล้วกัน ผมเป็นครู มีเมียเป็นครู มีลูกก็เป็นครู ก็เลยรักครูมานาน นี่พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยนะ แม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่ ครูเพราะพ้นจากอาชีพครูมา 13 ปีแล้ว แต่ผมมีสิทธิ์ใช้วันครูได้อยู่
ไม่ไปร่วมกิจกรรมหรอก ขอใช้แค่ระลึกถึงพระคุณของครูเท่านั้นแหละ ..สวดมนต์ไหว้พระแล้ว ก็ใช้ เวลาระลึกถึงพระคุณครู วันนี้จะระลึกถึง มาก ๆ มีใครบ้างนะ เอาตามลำดับก่อนหลัง แล้วกัน
......1. แม่ครู คนนี้สอนสาระพัด กินอยู่หลับนอน สอนพูด สอนทำงาน บ้าน นุ่งผ้า แม่ขยันสอน จนเราไปบวชแกถึงเลิกสอน แกบอกกลัวบาป ......2. พ่อครู คือพ่อนั่นแหละ นี่ก็สอนจัง นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่สวย ทำแบบ นี้สิ แล้วก็พาไปดูแกทำ สอนแบบทำให้ดูนี่จำได้ดีมาก ๆ ส่วนมากเป็น วิชาช่างฝีมือ ได้อะไรบ้าง เล็นเชือก สำหรับทอเสื่อกก สานแห สาน อวน ฟั่นเชื่อกสำหรับผูกวัวควาย คราดไถ จักสาน ฯลฯ ทำครุตักน้ำ สานตะกร้า กระเช้า หวด มวย ยังกะเข้าโรงเรียนการช่างเลยแหละ .....3. พี่สาวพี่ขายเป็นครู หัดเขียนอ่าน สอนจนเราอ่านออกเขียนได้ ก่อนเข้า ป.เตรียม สอนวิชาชีพทำมาหากิน จับกบจับเขียด ขัวหอย ขุดอึ่งอ่าง ขุดแมงจินูน หาหนู หาบ่าง ดักสัตว์ หาปลา ทำเป็นเพราะ พี่สาวพี่ชาย ถือว่าเขาเป็นครูที่ดีมาก พวกนี้ดีแต่สอน ไม่กล้าดุเรา เพราะเราเป็นน้องคนเล็กสุด .....4. ครูญาติพี่น้อง มีหลายคนที่ขอให้เขาสอนวิชาทำมาหากินให้ เขาพาไปดักกบ ดักปลาไหล วิธีเลือกเหยื่อวางเบ็ด ขอบคุณมากครับ
....5. ครูประถม ครู ชู สอน ป. 1 คนนี้เพื่อนพ่อ มาบ้านบ่อยแนะให้ ไปเรียน ป.เตรียม ครูประสิทธิ์ วิทยาเวทย์ ป. 2 คนนี้เองที่บอกโตขึ้น แกน่าจะไปเป็นครูนะ ก็ครับเฉย ๆ ไม่นึกว่าจะได้เป็นครูจริง ๆ ป. 3 ครู
ประพิทย์ กวีรัตน์ ป. 4 ครูสุพจน์ นาชัยเพชร ครูคำ คงภิรมย์ สอนดีทุก ๆ ท่าน ส่วนครูใหญ่ ท่านชื่อ นคร บุรผากา อบรมวันสุดสัปดาห์ ประจำ จบ ป. 4 คุณภาพคับแก้ว คะแนนอันดับหนึ่งของอำเภอกมลาไสย ฝีมือการสอนของคุณครูทุกคนครับ
.....6. ครูมัธยมต้น โนนสังวิทยา ก็สอนดีทุกคนครับ ไม่เคยถูกดุ เพราะ เป็นเด็กเรียนเก่ง เลยรักครูทุกคน ครู ม.ปลายเกษตรกรรมชัยภูมิ เป็น โรงเรียนกินนอน เช้าหกโมงก็ไปกับครูฝึกทำงาน ปลูกผัก เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ลอกคลอง ตักถังส้วมเอาไปรดผัก ผักงามก็ตัดไปส่งโรงครัว กินกันเอง ขำ ๆ เวลาครูสอนเรื่องห่วงโซ่อาหาร ครูพละคุ้นเคยมาก เป็นเด็กโปรด เล่นกีฬาเก่ง ครูคณิตศาสตร์ สอนการบ้านจบเล่นตั้งแต่ เทอมต้นทุกปี เธอทำมาส่งเลยครูตรวจให้ น่ารักมากครับครู
.....7. ครูพระ นับแต่ท่านอุปัชฌายะ พระอนุสาวนาจารย์ ครูสอนบาลี ครุสอนเทศน์ปุจฉาวิสัชนา ครูสอนสมถวิปัสสนา มีพระคุณมากทั้งสิ้น ช่วยเติมคุณธรรมจริยธรรมที่สำคัญให้ ใช่จะเก่งแต่วิชาการทางโลก
อย่างเดียว เป็นพระคุณอย่างสูงขอรับ
....8. ครูสอนงานในโรงเรียน นอกจากสอนยังมีเพื่อนครู ช่วยนิเทศ งานการเงินทำอย่างไร ปีนี้ช่วยทำห้องสมุดนะ งานแนะแนวไม่มีคนอยากทำเลย งานวัดผลประเมินผล งานวิชาการ ช่วยทำหน่อย นานเข้า
ก็ได้ใช้ความรู้ที่ได้ ไปนิเทศครูคนอื่นได้ด้วย ขอบพระคุณทุกคุณครูครับ
....9. คุณครูระดับปริญญาตรี โท ได้เรียนรู้เจาะลึกลงไปเฉพาะสาขา ทำให้หูตากว้างขวาง สามารถเรียนรู้สิ่งที่อยากรู้ได้ด้วยวิธีการที่ท่าน แนะนำ ผมจบสาขาภาษาไทย แต่นิเทศการวัดผลประเมินผลได้ จนครู
เขาคิดว่าจบเอกวัดผล นิเทศงานบรรณารักษ์ จนครูบรรณารักษ์เชิญ เป็นที่ปรึกษาชมรมครูห้องสมุด ขอบพระคุณทุกครูอาจารย์ครับ
......มีมากมายครับครูผม เพราะผมเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ ครูพัก ลักจำของกระผมจึงมีมากมาย ส่วนมากก็เป็นปราชญ์ชาวบ้าน เช่นคุณ ตาเงินบ้านแก หมอแต่งแก้แต่งบูชาเป็นเด็ก ป. 4 เคยนั่งดูแกทำ จน จำได้ทุกสิ่งของที่แกจัดวาง ทุกท่วงท่าที่แกสวดแกทำ จนแกขำ เพราะเด็กทั่วไปจะกลัว แต่เราวิ่งเล่นผ่านไปเห็นกลับแวะไปนั่งพนมมือ ดูแกสวด บางทีแกเอาน้ำมนต์พรมหัวให้ด้วย เลยมีความรู้เรื่องการแต่ง แก้แต่งบูชา พอได้ศึกษาวิชาคติชาวบ้านได้นำเอามาเขียนรายงานได้อย่าง ดีเลย ขอบพระคุณมากครับ ท่านปราชญ์ชาวบ้าน ครูพักลักจำทุก ๆท่าน
.......รำลึกถึงพระคุณครูมากมายดังกล่าวแล้ว ไม่มีอะไรจะตอบแทน นอกจาการประพฤติตนเป็นคนดีที่ครูทุกคนอยากให้เราเป็น และ ใส่ใจทำบุญทำกุศล อยากอุทิศบุญกุศลไปถึงครูอาจารย์ หลายท่าน ล่วงลับไปแล้ว หลายท่านยังดำรงชีพอยู่ ขอให้ทุกท่านพ้นจากความ ทุกข์ยากลำบาก ได้รับแต่ความสุขความเจริญตลอดไป สาธุ ....
.....ก่อนจบ ขออ่านบทไหว้ครู เป็นการสรุปการระลึกพระคุณครู ดังนี้

................บทแรกแต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อยอาจริยางกูร)
.........ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา (ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่ำสอนศิลปวิทยา)

@..อนึ่งข้าคำนับน้อม .........ต่อพระครูผู้การุญ
โอบเอื้อและเจือจุน .............อนุสาสน์ทุกสิ่งสรรพ์
ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ ..........ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
ชี้แจงและแบ่งปัน ................ขยายอัตถ์ให้ชัดเจน
จิตมากด้วยเมตตา ...............และกรุณา บ เอียงเอน
เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์ ให้ฉลาดและแหลมคม
ขจัดเขลาบรรเทาโม- ...........หะจิตมืดที่งุนงม
กังขา ณ อารมณ์ ..................ก็สว่างกระจ่างใจ
คุณส่วนนี้ควรนับ ..................ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
ควรนึกและตรึกใน ................จิตน้อมนิยมชน

........ปัญญาวุฒิ กเร เตเต ทินโนวาเท นมามิหัง
(ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทำให้ปัญญาเจริญ
ขอกราบไหว้ครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ)

..........ขอสวดอีกบทแล้วกัน ของท่านผู้หญิงดุษฎี มาลากุล เพราะดี

.........ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา
(ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่ำสอนศิลปวิทยา)

......@..ข้าฯขอประณตน้อมสักการ ..บูรพคณาจารย์
ผู้กอปรประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา ....................อบรมจริยา
แก่ข้าฯในกาลปัจจุบัน
ข้าฯขอเคารพอภิวันท์ .....................ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา .............................อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสำเร็จทุกประการ ..................อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ....................ประโยชน์ทวี
แก่ข้าฯและประเทศไทย เทอญฯ

.........ปัญญาวุฒิ กเร เตเต ทินโนวาเท นมามิหัง
(ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทำให้ปัญญาเจริญ
ขอกราบไหว้ครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ)

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

รำลึกถึงวันเด็ก


วันเด็กแห่งชาติ

........วันพรุ่งนี้ก็จะมีงานวันเด็กแห่งชาติกันอีกแล้ว ก็คงมีคนสงสัยว่ามีความเป็นมาอย่างไร งานนี้เกี่ยวเนื่อง จากสหประชาชาติเขามีร่างปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อปี 2498 และมีการรณรงค์ให้นานาประเทศรวมทั้งไทยด้วย เข้าร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเพื่อปลุกชนในชาติให้เห็นความสำคัญของเด็กและเยาวชน มีระบุชิ่อผู้แทนองค์กร สมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ที่เชิญชวนประเทศไทย   เข้าร่วมด้วยคือ นายวี.เอ็ม. กุลกานี รัฐบาลไทยสมัยนั้นเห็นชอบด้วย มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และรับหลักการเมื่อ 27 กรกฏาคม 2498 ให้วันจันร์แรก เดือนตุลาคม เป็นวันเฉลิมฉลอง ปีแรกตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม 2498 และยึดแนวนี้ ต่อมา จนปี 2507 จึงได้เปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 เดือน มกราคม เพราะเห็นว่ากำหนดเดิม ตรงกับวันทำการด้วย เป็นช่วงฤดูฝนด้วย เลยมีงานวันเด็กกันในวันเสาร์ ของสัปดาห์ที่  2 เดือนมกราคม แทนสืบมา จนปัจจุบัน 

....... ปี 2498 เรียนอยู่ ม 1 โรงเรียนโนนสังวิทยา มีการประกาศว่าต่อไปรัฐบาลกำหนดให้มีการฉลองวันเด็ก ทุกปี โดยชูคำสำคัญว่า เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า รู้สึกตื่นเต้น อยากเห็นว่า งานฉลองวันเด็กเป็นอย่างไร  ปีแรกยังไม่ได้เห็นว่าวันเด็กเขาจัดอย่างไร จนปีถัดมา 2499 ถึงได้มีงานวันเด็ก ตรงกับวันจันทร์แรก ของเดือนตุลาคม ครูพาเดินพาเหรดไปสนามหน้าที่ว่าการอำเภอ ไปฟังคำปราศัยของนายกรัฐมนตรี ซึ่งฟัง ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก  นายอำเภอเปิดซองคำปราศัยนายกรัฐมนตรี มาอ่านให้ฟัง พวกแถวหน้าคงรู้ว่าเขาว่าอย่างไร เด็กอย่างพวกเราอยู่หางแถว ไม่ได้ยินหรอก เครื่องขยายเสียง มีซะที่ไหน เสร็จแล้วมีแจกสมุด ดินสอ ขนมปังหัวจุก ก็แย่งกันสนุกดี แล้วก็กลับบ้านได้ ปีต่อ ๆมา มีกิจกรรมแข่งขันกีฬา การแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ การเปิดสถานที่สำคัญ ๆ ให้เข้าชมฟรี อำเภอเรา มีแต่วัด เปิดให้ชมก็ไม่มีใครไป โหพวกเราเด็กวัดนี่ครับ แต่นั้นมาก็ร่วมงานวันเด็กทุกปี รูปแบบงานก็คล้าย ๆ กัน การถ่ายทอดสดคำปราศัย ดูดีขึ้นสมัยวิทยุทรานซิสเตอร์ สมัยทีวีขาวดำ มีหน่วยงานราชการ เอกชน มา ร่วมจัดกิจกรรมให้เด็กได้ชม มีสมุดดินสอแจก มีกิจกรรมให้เล่น ทำให้อยากไปเที่ยวงานวันเด็กกว่าสมัยแรก ๆ 
........วันเด็กเป็นวันที่ผู้ใหญ่บอกว่าเด็กเป็นคนสำคัญของชาติ ที่ต้องได้รับการดูแลและพัฒนาให้เป็นคนดี มีคุณภาพ เพื่อจะได้เติบโตเป็นประชากรที่มีศักยภาพสูงของประเทศชาติ ส่วนกิจกรรมรื่นเริงต่าง ๆ ก็เพื่อ ให้ความเพลินเพลิน ให้ความรู้ประสบการณ์ ก็แล้วแต่ความพร้อมของผู้ใหญ่ อีกอันหนึ่งที่มาคู่กับงานวันเด็ก คือคำขวัญ และหนังสือแจกวันเด็ก เสียดายหนังสือแจกไม่ค่อยจะเก็บกัน ส่วนคำขวัญก็จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง วันนี้เลยอยากค้นหาคำขวัญมาบอกไว้ว่า ที่ผ่าน ๆมาผู้ใหญ่เขาประกาศคำขวัญวันเด็กไว้อย่างไรบ้าง  เอาปีนี้ 2560 ก่อนแล้วกันแล้วดูย้อนกลับไปปีก่อน ๆ ไม่มีสรุปนะครับ  คำขวัญมี ดังนี้ 



วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

4.แวะเยี่ยมป้าเพชร บ้านไร่พวย...40




4. ป้าเพชร ศิริหล้า บ้านไร่พวย
..........พ่อตาผมเป็นครูโรงเรียนประจำจังหวัดเลย แกเรียนจบ ป.ม.จากกรุงเทพสมัยโน้น ดังมาก สอนคณิตศาสตร์ เชียวนา นายคูณ สิริหล้า แม่ยายชื่อ วรรณดี สิริหล้า มีน้องชายน้องสาวมากมายหลายคน จัดเป็นตระกูลใหญ่ใน จังหวัดเลยทีเดียว พ่อตามีบุตรชายสองบุตรสาวสอง ดังนี้
...........1. นายอารีย์ ศิริหล้า แต่งงานกัน นางเพชร ศิริหล้า (ที่ผมเรียกป้าเพชรบ้านไร่พวย)
...........2. นายสุระ ศิริหล้า แต่งงานกับนางสมานลักษณ์ ศิริหล้า
...........3. นางบุญเจือ ศิริหล้า แต่งงานกับ นายอุดม ชุมพล
...........4. นางกาญจนา ศิริหล้า แต่งานกับนายขุนทอง ศรีประจง
............ลุงอารีย์เป็นครู ลุงสุระเป็นช่างไฟฟ้า ทั้งสองเสียชีวิตนานแล้ว คนที่ 4 ครูกาญจนา นี่ก็เสียชีวิตแล้ว ผมเป็นคนจัดการงานศพให้เขาเอง รวมทั้งดูแลลูกสาวสองคนลูกชาย 1 คน ให้คุณกาญขนาด้วย เพราะเป็นภรรยา กระผมเอง ตอนนี้เหลือ ป้าเพชร ป้าสมานลักษณ์ และป้าบุญเจือ ป้าบุญเจือได้พบกันแล้วที่บ้าน เพราะแกเก็บกุญแจ บ้านไว้ให้ สวัสดีปีใหม่ด้วยเสื้อกันหนาวไป 1 ชุด วันที่ 2 มกราคม 2560 พวกเราจะเดินทางกลับกัน พอดี ผ่านบ้านไร่พวย เลยอยากแวะสวัสดีปีใหม่ป้าบ้าง
............ป้าเพชรเป็นสะใภ้ใหญ่ มีลูกหลายคน ส่วนมากมีครอบครัวแยกย้ายกันไป ที่อยูใกล้และดูแลป้าตลอดคือ ลูกสาว ครูติ๋ว ผมรู้จักป้าเพชร เพราะตอนตามจีบครูแก้ว เขาพักอยู่บ้านป้าเพชร แถมสอนโรงเรียนบ้านไร่พวยที่มี ครูใหญ่คือ นายอารีย์ ศิริหล้า เคยมาเยี่ยมป้าบ่อย มาทีไรก็จับปลาในบ่อข้างบ้านต้มยำให้กินประจำ ก็คุ้นเคยกันดี จนได้แต่งกับน้องสาวเขาครูแก้ว กาญจนา สิริหล้านั่นแหละ เลยกลายเป็นญาติกันอัตโนมัติ ป้าเป็นคนใจดี พูดเก่ง ลูกชายแกก็ดีทุกคน แต่ไม่ค่อยได้เห้น ส่วนลูกสาวครูติ๋ว ไปเรียนหนังสือที่เมืองเลย พักอยู่กับพวกเรา ก็เหมือนพี่น้องกัน ผ่านไปผ่านมาก็แวะถามข่าวสุขทุกข์เสมอ
...........วันนี้ผ่านมาเลยแวะไปสวัสดีปีใหม่ป้า แกนั่งอยู่คนเดียวเลยเขาไปทักทาย เอาของฝากมอบให้ ขอศีลขอพร ถ่ายรูปแล้วก็อำลา ป้าบอกให้แวะครูติ๋วด้วย ขับรถออกมาก็เป็นบ้านครูติ๋ว อยู่ตรงข้ามติดถนน เห็นบ้านเปิดอยู่ มีรถ จอดสองสามคัน มีลูกโป่งห้อยระโยงระยาง แสดงว่าคืนผ่านมาจัดงานฉลองปีใหม่กัน ครูนองสามีครูติ๋วบอกว่าเกษียณ สองปีแล้วนะตา เขาเรียกเราตาเชียว ก็ใช่เรามีศักดิ์เป็นน้องเขยพ่อตาแม่ยายเขา ครูมีลูกสาวสองคน เปิล กับบุ๋มบิ๋ม พี่เป็นครูเหมือนพ่อแม่ น้องเป็นพยาบาล โชคดีไม่มีปัญหาการเลี้ยงลูก นี่ก็เห็นพากันมาสวัสดีปีใหม่พ่อแม่พร้อม หน้าพร้อมตา อ้อเขามีเขย 1 คนแล้ว ก็ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญ สมกับที่เป็นคนดีของพ่อแม่ ผลดีคงตอบ สนองให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ทักทายกันแล้วก็ถ่ายภาพ ร่วมกัน สมควรแก่เวลาก็ลาจาก 



............ลูกสาวขับรถให้ไม่นานก็ถึงผานกเค้าทางเข้าเมืองเลย หมอกคลุมบาง ๆเลยถ่ายรูปไว้ดูเล่น แวะเข้าห้องน้ำ ซักหน่อยค่อยไปต่อ ถนนช่วงนี้โล่งดี พวกสวนมาก็ไม่ค่อยมีเลยขับรถกันตามสบาย เข้าดงลาน บ้านหัน ชุมแพ ไปตาม ลำดับ เลี้ยวซ้ายไปภูเขียว ยังเป็นทางหลวงหมายเลข 201 แปลกดีนึกว่าหายไปแล้ว ความจริงมันไปสิ้นสุดโน่น ถนน มิตรภาพสีคิ้วช่วงออกจากชุมแพ รถชักหนาแน่น แต่วิง 80-100 ได้ ก็ตามกันไป มาตกใจก็ถึงถนนมิตรภาพนี่เอง เดิมว่าจะไปทางสระบุรี เห็นรถบนถนนมิตรภาพแน่นมาก เลยเปลี่ยนใจจะไปทางปักธงชัย ออกกบินทร์บุรี เพราะขา มาเรามาทางถนนเอเซีย อยุธยาโน่น จึงไม่ทราบ ถนนสาย 304 มีการทำสะพานช่วง ทับลาน อำเภอนาดี ก็เลยถูก หวยอย่างจัง เริ่มติดตั้งแต่เข้าเขาใหญ่ นึกว่ารถติดธรรมดา ที่ไหนได้ ห้าทุ่มก็ยังไม่พ้นเข้าใหญ่ จึงบันทึกเอาไว้ว่า
ทัวร์มหาวิบาก และอัพลงเฟสไปแล้ว จะตัดทอนมาเฉพาะ ที่ต่อเนื่อง หลังจากแวะปั้มน้ำมันใกล้แยกปักธงชัย ดังนี้...
.........แวะปั้มน้ำมันใกล้สี่แยกปักธงชัย เติมน้ำมันแล้วก็เปลี่ยนให้ลูกสาวขับ ตอนแรกรถไม่แน่นนะ วิ่ง 80 พอไปได้ แต่พอถึงปั้มสุดท้ายก่อนขึ้นเขาใหญ่ สมาชิกสมทบมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน ความเร็วรถลดฮวบจนไม่ต้องรีบร้อน มาถึง วังน้ำเขียวดูเวลาอ้าวสองทุ่มแล้วปกติ ชั่วโมงเศษก็ผ่านเขาใหญ่ได้ นี่เราเสียเวลาไปแล้ว 5ชั่วโมงได้ครึ่งทางบนเขา ใหญ่ แวะที่พักปั้มน้ำมัน หาของกิน เสียเวลาซัก 10 นาทีก็ออกคลานต่อ เขาแบ่งถนนให้รถวิ่งลงเขา 3 ช่อง แต่ก็วิ่งได้ ความเร็วเท่ากับเดินแต่เอ....เดินน่าจะเร็วกว่าสงสัยเหมือนกันว่าทำไม 3 ช่อง มันย้งช้าอยู่
.........สามทุ่มเข้าเขตอำเภอนาดี ทับลาน คราวนี้สุดยอดยังกะทางวิบาก เราเปลี่ยนคนขับมาขับเอง เห็นข้างถนนรถ จอดเพราะเบรคไหม้บ้าง เพราะหม้อน้ำเดือดบ้างเราก็หวาดเสียวเหมือนกัน ออกมาแต่หกโมงเช้าจนสามทุ่มนี่มัน 15 ชั่วโมงแล้วดีใจนะว่าคงจะหลุดเขาใหญ่ในอีกไม่นาน แต่ผิดมันขยับยากจริง ๆ เลยแวะที่พักข้างทาง ปั้มใหญ่ ๆ ที่ดู เหมือนปราสาทฝรั่งนั่นแหละ ขอนอนซักงีบเถอะ พักได้ยี่สิบนาทีนอนไม่หลับ ขอไปต่อ ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว ถนนเขากำลัง เวียนเทียนทั้งถนนไฟแบบคนเวียนเทียนเต็มถนน รถไม่มีคันไหนวิ่งมีแต่คลาน เห็นรถซิ่งป้ายแดงหลายคันนะแต่ ซิ่งไม่ออก 



...........ช่วงลงเขาใหญ่ก็เจอตัวปัญหาที่ทำให้รถลงเขาสามช่อง ไม่ยอมวิ่งเอาแต่คลาน เพราะเขากำลังสร้างสะพาน ขนาดใหญ่ รถที่มาสามช่อง ตอนนี้ต้องบีบเหลือช่องเดียว แถมยังต้องค่อย ๆคลาน ระวังวัสดุก่อสร้าง เต็มถนน ตรงนี้ เองที่ทำให้รถติดยาวไปจนถึงปักธงชัย หลุดออกมาได้ ก็ได้วิ่งรถซะที ดูนาฬิกา เออห้าทุ่มแล้ว รถยังแน่นถนนอยู่ แต่ วิ่ง 50-60 ได้ ถึงกบินทร์บุรีเลยเลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 33 ไปปราจีน นครนายก คิดถึงเพื่อน ๆ ทีขับรถวิบากบนเขา ใหญ่จังเลย สาย33 มันเปลี่ยวมาก ไม่มีรถมาแย่งใช้ถนนเลย เลยเหยียบ 120 กม./ชม. จนถึงศาลพระนเรศวร ปราจีนบุรี ตรงวงเวียนทางขึ้นเขาใหญ่ค่อยปล่อยให้ลูกสาวขับ
..........วิ่งบนถนนสาย 33 ไม่ถึงชั่วโมงก็มาชนถนนกาญจนาภิเษก ขึ้นที่ด่านธัญญบุรี สงสัยง่วงมาก ลูกสาวปลุกอีกที อยู่หน้าบ้าน เขาที่หมู่บ้านภัสสร จตุโชติเวลาตีสองพอดี จากนั้นก็กลับบ้านที่แปดริ้ว ขึ้นทางด่วนที่สุขาภิบาล 5 ไปทางถนนหมาย เลข 9 ผ่านด่านทับช้าง รถกลับจากไปเที่ยว มากเหมือนกัน แต่เห็นวิ่ง100 + ได้ ก็ตามเขาไป สาวด่านพากันหลบ หน้าไปหมด ไม่มีคนเก็บค่าธรรมเนียมเหงา ๆ นะ ยายนั่งมาด้วยก็หลับ หมาน้อยทาโร่ คุกกี้ สองตัว ก็หลับ ถึงบ้าน ที่แปดริ้วเมื่อเวลาตีสาม ยี่สิบนาที รวมเวลาเดินทางวันนี้ กลางวัน 12 ชั่วโมง กลางคืนอีก 9 ชั่วโมง เป็น 21 ชั่วโมง ทาง 500 กม.เศษ มหาวิบากจริง ๆ
.........ตอนนั่งเขียนนี้ เวลา 8.00 น. วันที่ 3 มกราคม 2560 พี่น้องที่ไปอีสานคงจะกลับ หลายคนอาจเลือกผ่านเขา ใหญ่ เลี่ยงได้น่าจะเลี่ยงถนนสาย 304 นะเพราะตรงสร้างสะพานแถวทับลานอำเภอนาดี ความยาวกิโลเมตรเศษ วิ่งได้ทีละคันเดียวรถที่ตามหลังมาน่าจะต่อแถวคลานกันยาวไปถึงกลางเขาใหญ่ มีทางเลียงได้ตั้งหลายเส้น ทาง ตาพระยา เข้ามาทางอรัญญประเทศก็ได้นะ พี่น้องทางอีสานใต้หลบไปทางนั้นคงพอได้
........อีกเส้นถ้ายังเสียดายเขาใหญ่ รถกำลังดี จะเข้าทางปากช่อง ไปลงปราจีนก็ตรงดี แต่ปีนเขาชันมาก รถต้องกำลังดี ถ้าไปเจอขบวนผ้าป่า ก็ลำบากเหมือนกันมีบางคนเขาเลี่ยงไปทางอำเภอมวกเหล็กเข้าอำเภอบ้านนา อำเภอองครักษ์ ต่อสาย 33 เข้ารังสิต ก็สะดวกนะ หรือไม่ก็ไปถนนมิตรภาพนั่นแหละ ถ้ามันแน่นนักก็หลบไปหาถนนสาย 33 ได้อีกแถววิหารแดง มีทางลัดไปได้
.........ขอบจบตอนนี้ไว้แค่นี้ก่อนนะ จะรีบอัพไว้ให้พี่น้องอีสานที่จะกลับไปทำงานที่กรุงเทพ ฯ หรือภาคตะวันออก ได้ทราบข้อมูล ทัวร์มหาวิบากบ้าง ถ้านึกสนุกก็ลองมาถนนสาย 304 ดู สวัสดีครับ

3. เยี่ยมป้าพุด ที่โนนสัง



3. เยี่ยมป้าพุดโนนสัง
..........ป้าพุด ศรีประจง แกหย่ากับสามีตั้งแต่ลูกสาวยังเล็ก กลับมาอยู่บ้านพ่อแม่ เลยใช้นามสกุลว่า ศรีประจง พ่อแก จำปา ศรีประจง แม่ จ้อน ศรีประจง ตอนนี้แกมีน้องสาว เหลือ 1 คน ชื่อ ทุม หอมจันทร์ ปีนี้ 80 ขวบแล้ว มีน้องชายเหลืออยู่ 1 คนคือ ขุนทอง ศรีประจง นี่ก็ 72 ขวบ ย่าง 73 แล้ว อ้อนี่มันชื่อตาน่าเอง ถามป้าพุดแกบอก จำไม่ได้อายุเท่าไร เกิดก่อนมึงแล้วกัน 5 5 5 ใช้ได้สำนวนแบบนี้แหละ ลูกพ่อจำปาละ ตอนที่ 3 นี่จะเล่าถึงไป เยี่ยมสวัสดีปีใหม่ป้าพุด บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู
..........ไปโนนสังก็เหมือนไปเยี่ยมบ้านเกิด ไปบ่อยปีละหลายหน แม้จะไม่ใช่บ้านเกิด เพราะเกิดที่บ้านแก อำเภอ กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์โน่น อายุสิบขวบ ครอบครัวพาอพยพมาอยู่หนองลุมพุก สามปีพ่อส่งไปอยู่ชัยภูมิเพื่อ เรียน ม.ปลาย กลับมาอยู่หนองลุมพุก 2504-2510 ปี 2510 พ่อให้ไปอยู่วัด 2510-2516 บวชซะ 7 พรรษา จะเรียก บ้านเกิดก็ได้นา ส่วนหลังจากบวชก็อยู่ที่อื่นจนทุกวันนี้แหละ จะไปบ้านหนองลุมพุก เตรียมของมาจากบ้านแล้ว เป็น เครื่องกันหนาว คุณเหน่ง(ลูกชายผมเอง)ก็ฝากเสื้อผ้ามากล่องใหญ่ คุณยายธนัญธรก็เสื้อผ้า ส่วนของกินก็ปลา แดดเดียวบ้าง หลายแดดบ้าง ผักสดได้จากเกษตรที่สูงภูเรือ ตลาดสดนาอ้อ ตลาดแลงบ้านติ้ว เต็มรถน่าแหละ จะ ออกหกโมงเช้านะบอกคุณหมู เห็นบอกช่วงนี้ขับได้นะพ่อ ทางเรียบง่าย ก็เชครถไว้ให้ ต้มเนื้อเปื่อยให้นิกกี้ หมาเฝ้า บ้าน ตีห้า ออกไปตลาดบ้านติ้ว เขาขายของกินยายชอบมาก ไก่ย่าง ข้าวต้ม ขนม กล้วยทอด เราได้แจ่วบองผักนึ่ง
ข้าวเหนียว หกโมงแล้วกลับมาบ้าน ปล่อยนิกกี้ ปิดประตู่รั้วแล้วก็ออกเดินทาง ตรงเวลา ขึ้นถนนหลวง 201 เลี้ยวซ้าย ไปทางวังสะพุง รถแล่นทางเดียวกับเราไม่ค่อยมี แต่รถสวนเข้ามาเยอะมาก ๆจนแน่นถนน มาเที่ยวกันถึงแต่เช้าเลยนะ
........ลูกสาวขับรถสบาย ๆ แวะปั้มมีร้านเซเว่น เลยแอบไปหากาแฟร้อนกินกับปาทั่วโก๋ที่ได้จากตลาดบ้านติ้ว เขาซื้อของกินเสร็จก็เดินทางต่อ ผ่านมาทางสนามบินเลย 20 กม.ก็ถึงวังสะพุง เลี้ยวซ้ายไปถนนเลยอุดรธานี ผ่านหน้าโรงเรียนศรีสงครามวิทยา เขาตั้งปี 2514 เราบรรจุที่นี่ ปี 2516 มีครูอยู่ก่อนเรา 6 คนกับครูใหญ่ เราคือคน ที่เจ็ด บรรจุพร้อมกัน 6 คน ทำให้ปีนั้นมีครู 12 คน ไปอยู่สามัญศึกษาปี 2539 นานถึง 23 ปีเชียวทำงานที่นี่ ตอนนี้ลูกสาวคนโต ครูนก มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนนี้ ไม่รู้จะได้ย้ายบ้างไหม เพราะทำงานแบบพ่อ คือทำงานเกินค่าจ้าง แถมคุมฝรั่งได้ทุกคน มันพูดประกิตเก่งกว่าพ่อ ผู้บริหารคงปล่อยง่าย ๆ หรอก อ้อตอนลูกหมู อายุสองสามขวบ แม่เป็นภูมิแพ้ คนเลี้ยงไม่ค่อยอยู่ยืด เลยใส่รถมาที่โรงเรียน ห้องพักมีเครื่องนอนพร้อม ครูที่ ห้องเป็นพี่เลี้ยงให้ พอชอบเดินตรวจ เช้า บ่าย ครูเขาช่วยดู กลับมาก็นั่งโต๊ะตรวจงาน ลูกสาวก็หลับ เป็นแบบนี้ปีเศษ ถึงได้เอาไปฝากโรงเรียนอนุบาล
........ไม่นานก็ด่านวังไห โรงเรียนบ้านนาดอกไม้ แม่หมูน้อยสอนอยู่ที่นี่ 5 ปี ให้ลาออกเพราะสุขภาพแย่งลงทุกวัน ก่อนแถวนี้เป็นทุ่งนา มาวันนี้กลายเป็นสวนอ้อยไปหมด เพราะมีโรงงานน้ำตาลมาตั้ง สองแห่ง แจกโควต้าปลูกอ้อย ให้ชาวบ้าน ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น มะขามหวานยังปลูกกันอยู่ ดูสองข้างทางแผงขายมะขามเต็มไปหมด ยายถาม จะซื้อมะขามหวานไหม ตาบอกอย่าเลย มะขามหวานแถวนี้ ราคาถูกก็จริง แต่หวานไม่มาก อีกอย่างตาก็คุมเบาหวาน อยู่ ไม่อยากแตะมะขามหวาน ก็ผ่านไปกัน เข้าบ้านเอราวัน เห้นประตูโรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา โรงเรียนมัธยม ประจำตำบลผาอินทร์แปลง ตอนนี้เขาเป็นอำเภอเอราวัณ อยากเปลี่ยนเป็นเอราวัณวิทยาคม แต่ชื่อนี้เขาเอาไป ตั้งให้โรงเรียนมัธยมประจำตำบลเอราวัณไปแล้ว เลยไม่ได้เปลี่ยน โรงเรียนนี้ครูนกลูกสาวมาอยู่หลายปี ไม่ได้ย้าย ซักที จนผู้บริหารได้ย้าย จึงได้ขยับไปศรีสงครามวิทยา ผ่านมาใกล้ตลาดสดเอราวัณ ถามยายจะแวะเยี่ยมตลาดไหม ยายบอกอยากดูตลาดสดบ้านเอราวัณ ก็ตามใจ กลับมารถได้ไก่ย่าง 2 ไม้ มาป้อนคุกกี้กับทาโร่ โหหมาพวกนี้ กินแต่ ของดี ๆ


.........ออกนอกเขตเลยเข้าเขตอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ถนนโล่ง ๆ ขับกันตามสบาย ไม่นานก็ถึงหนองบัว ลำภู หมูใช้ทางเลี่ยงเมืองออกทางซ้ายมือ ออกที่บ้านวังหมื่น เลี้ยวซ้ายทางแยกไปโนนสัง 47 กิโลเมตร เลนซ้ายว่าง ตลอด เลนขวารถค่อนข้างมาก พวกเขามาทางเขื่อนอุบลรัตน์ มีถนนข้ามมา ไปอุดร หนองคาย บ้านผือลัดมาที่นี่ พวกเราวิ่งสบาย ๆ จนถึงบ้านกุดดู่ มีโทรศัพท์ถามว่าตาอยู่ไหน ก็บอกไปว่าอยู่บนรถ ถึงไหนแล้ว ตอบว่าถึงกุดดู่ ยายถามว่าใคร ครูหน่อย หลานสาวมาเยี่ยมแม่มันที่หนองลุมพุก แม่มันก็ลูกสาวป้าพุดนั่นแหละ หน่อยถามอยากพา ยายพุดไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ไปไหนดี ก็บอกไปว่ควรพาไปเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่นนะ ไปชมเขื่อน ขากลับ พาไปทานข้าวเที่ยงก็ดี ปกติป้าแกไม่ยอมไปเที่ยวไหนหรอก นอกจากโรงพยาบาล แกไม่ได้เป็นพยาบาลเก่าหรอก ไปรับยาโรคประจำตัวของแกและพบหมอตามนัด เขาหลอกว่าน้าให้ไปทานข้าวที่เขื่อนจึงยอม ครูหน่อยซื้อรถใหม่
พายายออกมาเที่ยวได้สมใจ พวกเราไม่ยอมเข้าไปบ้านหนองลุมพุก รออยู่บ้านโสกจาน ทางแยกไปเขื่อนอุบลรัตน์ รออยู่ไม่ถึงยี่สิบนาทีครูหน่อยก็โผล่มา วิ่งตามกันไป อ้อเขื่อนอุบลรัตน์จังหวัดขอนแก่น ฟังดูไกล แต่ความจริงประมาณ ยี่สิบกิโลเมตรเศษ บ้านป้าพุดอยู่ด้านบนเขื่อน เวนคืนที่นาให้กรมชลประมานสามไร่ ที่เหลือยังใช้ทำนาอยู่ ที่จริงก็ ใช้ได้หมดแหละ เพราะน้ำไม่เคยท่วมถึง เพียงแต่โฉนดมันแหว่งไปเฉย ๆ คือบ้านกับเขื่อนไม่ไกลกัน

.........จากบ้านโสกจานวิ่งไม่ถึงยี่สิบนาทีถึงสันเขาภูพานคำ จอดรถพักให้ลงถ่ายรูปกัน ยายธนัญธรพาลูกสาวลูกชาย เดินอวดชาวบ้าน ถ่ายรูป วิวเขื่อนช่วงนี้เห็นเกาะกลางน้ำสองสามเกาะ นักเที่ยวจากถิ่นอื่นกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ พวก นางแบบกางเกงไม่มีขา เซล ฟี กันจังเลย ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจด้วย โถอีหนูเอ้ย ตาอยากดูนะ แต่ลูกหลานมา กันเยอะ ดูไม่สะดวกอ่ะ ขอโทษด้วย แหมขวามือยายธนัญญธร ซ้ายมือลูกสาวคุณหมู ใครจะกล้าไปเหล่ดู ปล่อย ชมวิว ถ่ายรูปจุใจแล้วก็เดินทางต่อ ไม่ถึงสิบนาทีก็เข้าบริเวณเขื่อนอุบลรัตน์ ใกล้ ๆ เอง ว่าจะพาไปจุดบนสุด แต่ไม่มี ที่เดินชมวิว เลยกลับลงมาที่ร้านอาหาร ที่เดินชมเยอะ ปล่อยกันที่นี่ นักเที่ยวก็มีไม่มาก ให้เวลา 1 ชั่วโมง ยายจับ หมาลงมาด้วย ถ่ายรูปกันใหญ่ สนุกกันทั้งคนแก่และเด็ก เพราะไม่เคยเข้ามา จนเกือบเที่ยง จึงชวนไปทานข้าวที่ ร้านอาหารเชิงเขาภูพานคำ ขามาเห็นกันแล้ว มีร้านหนึ่งที่ จัดทำซุ้มรูปตัว ยู หันหน้าเข้าหาเขื่อน ด้านหลังเนินเขา
ถามยายธนัญธรว่า โลเกชั่นแบบนี้ คุกกี้ทาโร่ ทานข้าวได้ไหม ยายบอกเออแบบนี้แหละ ให้เขาต่อโต๊ะอาหารให้ สั่งกับข้าว สาม ที่ ที่ละ 4 คน มากัน 15 ลงได้พอดี ส้มตำลาว 100 โปเซง เผ็ดหน่อย สาม ตำไทยไม่ใส่พริกแต่ รสอย่างอื่นจ๊าบ ๆ 1 ต้มส้มปลากด 3 หม้อ ปลาเผา 3 ตัว ปลาย่าง ไปหยิบเอาเอง มีปลาตะเพียน ปลาหลด ข้าวเหนียวไม่เอา เพราะหอบมา 3 กระติ๊บ ขอข้าวสวยให้ยาย 1 จาน น้ำเอาน้ำเปล่า


.........หลังอาหารครบ บรรยากาศก็เงียบสงบ ยินแต่เสียงซีดซ๊าด ๆ จุ๊บจั๊บ ๆ มันไม่ยอมพูดคุยกันเล้ย กลัวกินไม่ทัน มั้ง ไม่มีปัญหาหรอก สั่งเผื่อไว้แล้ว กินไม่หมดหรอก เพราะมันอร่อยทุกอย่าง ร้านนี้มากินบ่อย ผ่านไปซักสิบห้านาที ค่อยได้ยืนเสียงคุย ส้มตำก็แซบหลาย กูตำอยู่บ้านบ่เห็นแซบ ต้มปลาแบบได๋น้ำแกงมาแซบคัก ขอไปกินบ้านได้บ่อ พ่อใหญ่ เขาเรียกตาว่าพ่อใหญ่ เลยบอกพวกแกกินให้อิ่มก่อนค่อยคุยกัน เรานั่งดูป้าพุด แกกินอาหารได้มากกว่า วันอื่น ๆ หลานสาวบอก ซักสามสิบนาทีสงครามก็สงบ หมดสภาพกินไม่ได้ ขอถุงแม่ค้ามาใส่เศษอาหารไปกินต่อที่ บ้าน มันเอาน้ำส้มตำสามจาน น้ำต้มปลาสามหม้อเทเอาหมด ปลาย่างปลาเผา เรียบเก็บหมด แม่ค้าหัวเราะชอบใจ เลยบอกแกว่าทีหลังพวกนี้มาอย่าทำอร่อย คิดตังพันกับสามสิบบาท จบรายการพายายพุดไปเที่ยวและทานข้าวนอก บ้าน


........ยายธนัญธรชอบใจเห็นป้าพุดทานข้าวเยอะ เลยชวนมานั่งรถด้วยกันกลับบ้านหนองลุมพุก ถึงบ้านลูกหลานมัน คุยกันแต่เรื่องเดินชมเขื่อน เรื่องพวกนางแบบถ่ายรูป และเรื่องกับข้าวอร่อย เราให้ยายเอาของฝากออกมาแจกจ่าย ให้ป้าพุดเลือกก่อน เหลือคนอื่นค่อยหยิบเอา แกหยิบสองสามชิ้น ที่เหลือเด็ก ๆแบ่งกันไป สุดท้ายก็แจกซองบังสุกุล ให้พันบาทเป็นค่ายา ยายพุดพูดไม่เก่งเหมือนยายทุม มีแต่ยิ้ม ๆ เลยแซวว่า หัดบ่นให้ลูกหลานมั่งสิ เวลาเขามาไหว้ จะได้ให้ศีลให้พรเขามั่ง แกหัวเราะหึ ๆ บอกว่า กูเว้าบ่เป็น มึงเว้ายาวแล้ว ครับนี่คิอกิจกรรมไปเยี่ยมป้าพุด ปีนี้แก สุขภาพไม่ดี แต่ก็ยังพุดคุยกันรู้เรื่องอยู่ อายชัยให้พรแกตามสมควรแก่เวลาก็ลากลับตอน บ่ายสองโมง เพื่อหาซื้อ ของตลาดแลงบ้านติ้วเอาไปกินบ้านแปดริ้ว
........หมูขับรถจะพ้นหมู่บ้านหนองลุมพุก เจอร้านของชำให้จอดลงไปซื้อกาแฟให้ซักกระป๋อง เจอผู้ใหญ่บ้านอยู่บ้าน ลูกสาวหนูแป้งออกมาขายของ คุยกันตั้งนาน เลยลงไปถามคนนี้ใคร มันรู้จักพาลูกสาวมาไหว้ ผู้ใหญ่แนะนำว่านี่ แป้งต้องเรียกปู่นะ เออวันนี้นอกจากเด็กเรียกตา เรียกพ่อใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่บ้านมันพาลูกสาวเรียกปู่อีก เลยเรียกยาย ธนัญธลงลงมาอีกคน จะได้เป็นคุณย่าบ้าง พ่อของผู้ใหญ่บ้านวันดี ศรีวิบูลย์ คือ ตาที และยายไค เขาเป็นพี่สาว พี่เขย ของเราเอง ลูกชายเขาเดิมเรียกเราว่าน้ามหา ที่เรียกปู่ก็ใช่ ครู่หนึ่งมาอีกราย สมภาร ยุพาณิช อายุพอกับผู้ใหญ่ เคย ไปเรียนศรีสงครามและราชภัฎเลย พร้อมกัน เป็นหลานชายอีกคน พ่อเขาเป็นน้องชาย ยายไค แม่ผู้ใหญ่บ้านนั่นแหละ นี่ก็เรียก เรา อา มหา ได้ถามไถ่สุขทุกข์กันพอสมควร ก็ลากลับ จบได้ละมั้ง ทีนี้ ขืนอยู่ช้าเดี๋ยวจะมีคนเรียกทวดแน่


ตาเฒ่าเขียน 4 มกราคม 2560

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560

2. เดินทางไปเมืองเลย


2. ตอนเดินทางไปเมืองเลย
.......จากกำแพงเพชรไปจังหวัดเลย สามร้อยกิโลเมตรเศษ เดินทางซักห้าชั่วโมง ก็น่าจะถึงมีเวลาเหลือจะพาไปชมที่ท่องเที่ยวซักสองแห่งก็คุ้มแล้ว เอาวัดเนรมิตรวิปัสสนา 1 ที่ หลวงพ่อมหาคำพันธุ์ ท่านเป็นนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียง มาสร้างไว้ตั้งแต่สมัยเราสึกใหม่ ๆ กำลังช่วยกันจัดงานพระราชทานเพลิง ศพเจ้าคณะจังหวัดเลยวัดศรีวิชัยวนาราม ได้หลวงพ่อมหาพันธุ์ช่วยบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง ทำให้เราสามารถ จัด งานได้สมเกียรติ เสร็จงานพากันมาคารวะขอบพระคุณท่าน ได้สนทนาธรรมกับท่าน พอจะเข้าใจท่านว่ามีคนศรัทธาท่านมาก ตามมาช่วยสร้างวัดวาอาราม ตัวท่านเองก็ไม่ได้ยึดติดเงินทอง มีมาก็ทำบุญ ห
มด สมเป็นนักวิปัสสนาจริง ๆ ผ่านมาจะแวะไปทำบุญเคารพท่านไม่ขาด ประกอบกับวัดท่านสวยงามมากทั้ง อาคารและบริเวณวัด มีนักท่องเที่ยวผ่านมาเที่ยวไม่ขาด 
........จุดที่สองลูกน้องเก่าสมัยอยู่สามัญศึกษาโพสภาพมาอวด เกษตรที่สูงภูเรือ สถานีวิจัยพืช เคยแวะ
มาเยี่ยมสมัยซื้อรถใหม่ ๆ พาครอบครัวมาทานข้าวกัน ตอนนั้นต้นกฤษณาเพิ่งปลูกได้ซักห้าปี ตอนนี้คงโตมากแล้ว ภาพที่เขาโพสให้ดูงดงามมาก เลยอยากพายายไปเที่ยวถ่ายรูปกัน กำหนดสถานที่จะแวะเที่ยวแล้วก็ วางแผนออกเดินทางแต่เช้ามืด ก่อนเที่ยงให้ถึงเกษตรที่สูง ก็เป็นไปตามแผน เราออกเดินทาง ตีสี่ครึ่งพอดี ตั้งโปรแกรมเนวิเกเตอร์ไปอำเภอนครไทย ทันใจดีจริง มันขี้ดเส้นให้เราขับรถเข้าในเมือง ยังไม่มีคนตื่น สงสัย อากาศหนาวเย็น ไม่นานก็ออกจากเขตเทศบาลเป็นจุดเริ่มต้นถนนหมายเลข 115 มีรถเราคันเดียว ไฟข้างถนนส่องสว่างพอเห็นทางไม่มืดนัก นาน ๆ จะมีรถสวนมาซักคัน อากาศข้างนอกหนาวเย็น อ้าวยายก็หลับ หมูก็หลับ ตื่นเจ้าทาโร่ตัวเดียว มันปีนมาขอนอนตัก ก็โอเคให้นอนได้อย่ายุ่งเหยิงแล้วกัน ดูน้ำมันรถที่เติม เต็มถังวานนี้ เหลือ 1 ใน สี่ ของถัง ถ้าเจอปั้มคงต้องเติมอีก เจอหลายปั้มเหมือนกัน แต่ยังไม่เปิดบริการ ผ่าน ไปซัก 50 นาทีเจอปั้มเล็ก ๆเปิดเติมน้ำมันรถอื่นอยู่ เลยไปต่อคิว เติมเต็มถัง พันกับแปดสิบบาท ทีนี้ก็วิ่งรถ สบาย ๆ ไม่ต้องกลัวน้ำมันหมด
.........ตีห้าครึ่งแล้วยังมืดอยู่ รถเริ่มออกมาวิ่งมากขึ้น สังเกตดูด่านที่ตั้งชื่อซะโก้ว่าหน่วยบริการประชาชน มีเป็น ระยะ ๆ มาเจอด่านหนึ่งสุมไฟผิง เลยแวะไปดู เจ้าหน้าที่สาวสามคนทำงานกับพวกผู้ชาย หน้าตาน่ารักดี ดูจาก เครื่องแบบน่าจะเป็นพวกอาสา สง่างามดีมิน่าพวกผู้ชายจึงหนาวผิดปกติจนต้องสุมไฟช่วย ก็แวะทักทายถามไถ่กันเขาถามทำไมขับรถดึกดื่นคนเดียว มาจากไหนจะไปไหน พอให้ข้อมูลก็หัวเราะ ตาเจ็ดสิบขวบแล้ว มาจาก แปดริ้ว คืนนี้พักกำแพงเพชร จะไปต่อที่จังหวัดเลย ผู้ช่วยขับรถน่ะมี ตอนนี้หลับอยู่ ลูกสาวตาเอง เขาแจกกาแฟ แถมยิ้มให้เลยซัดหมด 1 ถ้วย พักหายง่วงแล้วก็ลา เดินทางต่อ
.........หกโมงเช้าแล้วถึงทางแยก เนวิเกเตอร์ให้เลี้ยวซ้าย เจอแผงขายกล้วยติด ๆ กันหลายสิบแผง แม่ค้าเปิด แล้วสองสามแผง ยายลงไปเดินสำรวจ ส่วนเราเลยไปสุดแถวแล้วจับหมาน้อยลงให้เดิน จะ  ได้ขี้เยี่ยวและหากัดกิน ยอดหญ้าเล่น ไม่นานยายได้กล้วยสุก และมันมา หมาน้อยขึ้นรถแล้วหมูน้อย   ขอขับช่วย สว่างแล้วเห็นทางสะดวก รถไม่มากนัก วิ่งรถตามสบาย ๆ เข้าเขตพิษณุโลกแล้ว ข้างทางมีตลาดสดเป็นช่วง ๆให้เห็น ผู้คนออกมาจ่ายตลาด อยากไปช่วยจ่ายตลาดกับเขาบ้าง ต้องรีบ ๆไป เดี๋ยวยายเอาจริง เพราะของชอบถ้าได้เดินตลาดสด หมูน้อย ตั้งเนวิเกเตอร์ใหม่ ไปด่านซ้าย เพราะอยากเห็นมันให้ขึ้นเขาตรงไหน เลี้ยวไปนครไทยตรงไหน พอเลยวังทอง ก็ไปทางขวามือ เส้นทางนี้มาบ่อยทางเลียบเขาและแก่งหน้าฝนมีน้ำตกให้แวะชมเป็นช่วง ๆ เห็นปั้มใหญ่เลย ชวนกันแวะไปดู มีข้าวสารมาวางขาย สินค้าโอทอป ร้านอาหาร ร้านขนม ถูกใจจริง ๆ ยายเดินหายไปเลย ให้หมู ตามไปช่วยหิ้วของ เราได้มะขามป้อม 1 ถุง หาสมอไม่มี ไปเห็นผักแพวในถุงดำและต้นนกน้อย ต้นละยี่สิบ ซื้อมาสี่ต้น กว่าจะกลับกลัวเฉาไม่กล้าซื้อมาก เก็บของแล้วไปดูร้านอาหาร ขายข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน ยายบอกกำลังหิวเลยชวนทานข้าวเช้า สามคนก็สามอย่าง หมูกินก๋วยเตี๋ยว ยายสั่งข้าวราดแกง เราต้มเลือดหมูสูตรมาตรฐาน เสร็จอาหารเช้ายายสั่งต้มเลือดหมูสองถุง พอถามบอกจะเอาไปฝากหมา โหยาย ประชดกันรึปล่าวนี่ ยายบอกที่บ้านต้มโครงไก่ให้หมามัน แม่ค้าไม่มีต้มแบบนั้นเลยเอาไอ้นี่ หมาคง  ชอบ เออยายรักหมาเท่าเราแล้ว
........เดินทางต่อ รถทางเราไม่มาก แต่รถสวนจะไปทางเหนือค่อนข้างมาก ช่วงนี้ถนนสี่เลนวิ่งสบาย ๆ ยายบอกให้หาโลเกชั่นดี ๆ หน่อยพักรถซักครู่ พอดีผ่านมาเห็นลานหญ้าเรียบ ๆ ด้านซ้ายมือเป็นแนวเขา ด้านขวามือเป็น แหล่งท่องเที่ยวไปชมน้ำตก เลยให้หมูแวะจอดรถ ยายอุ้มคุกกี้ ทาโร่ ลงไป หากระบะอาหารมาคลุกข้าวกับต้ม เลือดหมู เลยด่าทาโร่"อ้ายห่า มึงกินเหมือนกูเลยนะ" หมามันไม่สนหรอก คงชอบ หมายายจะกินข้าวต้อง เลือกโลเกชั่นด้วยนะ อยู่บ้านเห็นกินข้างกองขยะ มาเที่ยวทำเป็นเลือกที่  สวย ๆงาม ๆ  หมาจริง ๆ
.........สองโมงเศษถึงทางแยกบ้านแยง เลี้ยวซ้ายเข้าทางนครไทย ถนนว่างดีเลยของีบมาตื่นอีกทีที่ปั้มใหญ่ เลยตัวเมืองมาแล้ว ยินสำเนียงอีสานแบบหลวงพระบาง นึกว่าไทเลย เปล่าหรอกคนนครไทยก็สำเนียงแบบ หลวงพระบางเหมือนไทยเลย สมัยพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางท่าว อพยพมาตั้งอยู่ด่านซ้ายหลายเดือนจึง ข้ามมาทางนครไทย จนเกิดเมืองบางยาง เมืองราด คงมีพวกตกหล่นอยู่เขตเลยและเขตนครไทยไม่น้อย สอง เขตนี้จึงมีคนสำเนียงหลวงพระบางคล้ายกัน ยายกับหมูเข้าห้องน้ำแล้วก็เดินทางต่อ หมูน้อยขับรถต่อ ไปจนถึง บ้านบ่อโพธิ์ ให้จอดขอซื้อเกลือ 1 ถุง 10 บาท เกลือสินเธาว์น่ะยาย บ้านนี้เขามีบ่อน้ำเค็มตามธรรมชาติ หน้าฝน เค็มน้อย แต่หน้าแล้งนี่เค็มมาก ขนาดตักมาต้มให้น้ำแห้ง เหลือแต่เกลือ ชาวบ้านจึงมีเกลือวางขายหน้าบ้านกันสุดถนนในหมู่บ้าน ชิมดูสิเค็มเหมือนเกลือเลยนะ ยายบอก ก็ใช่สิยายมันเป็นเกลือสินเธาว์ แถวบ้านตาที่กาฬสินธุ์ นามีดินเค็มมาก หน้าแล้งเกิดขี้เกลือลอยขึ้นบนผิวดิน ชาวบ้านจะไปกวาดดินและเกลือมาใส่รางไม้ เทน้ำราดลงไป ให้ละลายเกลือกรองเอาน้ำเกลือไปเคี่ยว ก็จะได้เกลือสินเธาว์เหมือนกัน แต่บ้านบ่อโพธิ์โชคดีกว่า ไม่ต้องกรอง ทรายปนเกลือยาก ตักเอาน้ำเค็มในบ่อไปต้มเกลือกันได้เลย สาวขายเกลือเล่าว่า หน้าแล้งจะทำบุญขุดลอกให้บ่อ
สะอาด แล้วปล่อยให้น้ำซึมใหม่ เป็นบ่อส่วนรวมใครขยันก็ตักเอา จะเข้าหน้าฝนความเค็มน้อยถึงเลิก     ทำเกลือ กัน
........ลูกสาวจอดรถชมวิวเมืองด่านซ้าย กลางวันก็เห็นหลังคาบ้าน กระจายไปทั่วแอ่งเขา เห็นภูเขาสลับซับซ้อน แบบเมืองเลย มีบ้านคนแทรกตามไหล่เขา เห็นควันไฟลอยเหนือหมู่บ้าน ยังกะกลุ่มเมฆ ถ้าเป็นกลางคืนไม่เกิน สามทุ่มจะสวยมาก เพราะชาวบ้านเปิดไฟทุกบ้าน มองไปไฟระยิบระยับยังกะดวงดาว กลางคืนจะเห็นรถจอด ชมดาวกันเป็นแถว ถ่ายรูป ฮือฮากัน นึกว่ายืนอยู่บนฟ้า ดวงดาวอยู่ต่ำกว่าที่เรายืน เราขับรถลงเขาให้ลูกเพราะ สูงชันและคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา หมูบอกหวาดเสียวพ่อช่วยหน่อย เราผ่านตรงนี้ไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว ก็ไม่ นึกกลัวค่อย ๆลงไปไม่นานก็ถึงจุดหมายวัดเนรมิตวิปัสสนา เลี้ยวขวา 5 เมตรก็ประตูวัด ปีนขึ้นเขาอีกสักพักก็เป็น พระอุโบสถศิลาแลงหลังใหญ่มาก เห็นหลวงพ่อพันธุ์บอกตั้งงบไว้ 100 ล้านบาท แต่มันเกินแล้วเพราะแต่งเติม ไม่หยุดจนกลายเป็นวัดที่สวยงามมาก คนมาเที่ยวนมัสการไม่ขาด วันนี้คนไม่มาก เลยนมัสการกันเต็มที่ไม่มีคนแย่ง เรามาวัดนี้เพื่อกราบศพหลวงพ่อ เขาไม่ได้เผานะ ใส่โลงจำปาเก็บไว้บนศาลาเฉพาะ จากนั้นก็ลงไป ถ่ายภาพสวนหย่อมสวย ๆ ทั้งนั้น เสร็จแล้วค่อยเข้าไปกราบพระในพระอุโบสถ ทำบุญช่วยวัดค่าน้ำค่าไฟและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาวัดวาอาราม จะกลับแล้วไม่เห็นยาย รออยู่นานค่อยโผล่มาทราบว่าไปถวายสังฆทาน สังฆทานวัดนี้ก็หมือนวัดอื่น ๆเขาจัดเป็นครุพลาสติคหุ้มกระดาษแก้ว และแบบผ้าไตร ชุดละ 50 บาท ชุดละ 100
บาท เขาเอาแต่เงินนั่นแหละ ของก็เอาไปวางไว้ให้คนเช่าต่อไป จัดไว้อย่างละ 20 ชุด ไม่เคยหมด สาธุกระผม มากราบคารวะท่านแล้วนะหลวงพ่อ ยังซึ้งในพระคุณที่ท่านเคยเมตตาไม่ลืมครับ


........ออกจากวัดเลยมาไม่ถึงสามร้อยเมตรก็เป็นที่ตั้งพระธาตุศรีสองรัก สัญญลักษณ์จังหวัดเลย ที่เล่ากันว่าสร้าง สมัยพระเจ้าจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยากับพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งเวียงจันทร์ทำสัญญาไมตรีต่อกันเพื่อช่วยรบ กับพม่าที่ชอบราวีทั้งอยุธยาและเวียงจันทร์ ตกลงสร้างพระธาตุไว้ที่ชายแดนเป็นหลักฐาน เป็นพยานแห่งสองกรุงศรี คือศรีอยุธยาและศรีสัตนาคนหุต ไม่ใช่เจดีย์เก็บอัฐิธาตุใด ๆ เลยเรียกชื่อ พระธาตุศรีสองรัก(กัน) แวะขับรถไปดู ยกมือไหว้แล้วออกมา ยายบอกไม่ลงหรอกคนแน่นมาก มาไหว้หลายครั้งแล้ว ผ่านไปเถอะ
.........ขับรถในเขตเมืองเลย ขึ้นเขาลงเขาเป็นเรื่องปกติ ออกจากด่านซ้ายสามโมงแล้ว มาถึงโพนงามมีทางสามแพร่ง ไปหล่มเก่า ไปภูเรือและไปด่านซ้าย หมู่บ้านนี้ตกแต่งถนนสวยงาม ไม้คริสตมาสสีแดงเต็มเกาะกลางถนน เพลินตาดี ผ่านหน้าโรงเรียนวังโพนงาม เคยมาบรรยายการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน หลายครั้ง แนะนำให้ครูสร้างเวบไซท์ ให้โรงเรียนติดตั้งศูนย์เครือข่ายออนไลน์ แนะนำตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เชียวนะ จนเรา เกษียณกระทรวงเพิ่งตื่น แต่ดูจะไม่เอาจริงเห็นพยายามแจกแทปเลตขณะที่ครูยังไม่มีศูนย์บริการเครือข่ายเพื่อ การสอน เด็กต้องเปิดแทปเลตใช้ข้อมูลที่คนขายเครื่องจัดให้ ที่สุดก็มีแต่เกม เสียดายเหมือนกัน เราผ่านเข้าเขต อำเภอภูเรือ เห็นชาวบ้านเพาะชำกล้าไม้ดอกไม้ประดับสุดสองฝั่งถนน มิน่าผลผลิตถึงได้มากมาย ขนาดเคยส่ง ไปช่วยงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ ส่งไปประดับถนนราชดำเนินสีเหลือง สีแดงเต็มเกาะกลางถนน ไปจากที่นี่เอง เขา สั่งให้เพาะไว้เป็นหมื่นเป็นแสนต้น เศรษฐกิจภูเรือดีมาก ๆ เลยมาเป็นสวนองุ่นหมอชัยยุทธ เคยแวะชมแต่ตอนนี้เห็น ว่าไม่มีองุ่นให้ชม เลยไม่แวะ จนถึงบ้านร่องจิก ทางเข้าเกษตรที่สูงภูเรือ
..........ทางเลี้ยวขวาเข้าไป 25 กิโลเมตร เคยเข้ามารู้จักสภาพถนนต้องปีนเขาหลายลูก ดีที่ไม่สูงมาก แค่ ใจหายใจคว่ำ มาครั้งก่อนถนนลูกรัง ฝนตกอย่าเลยลื่นมาก มาวันนี้ลาดยางตลอดค่อยสบายล้อรถหน่อย ยายกอดอกเงียบไม่พูดไม่จา สงสัยนับยอดเขาที่ปีนอยู่ มากกว่ายี่สิบลูกแล้วกันค่อยเห็นป้ายเกษตรที่สูงภูเรือ มีนาย ทวารบาลแต่งตัวยังกะพนักงานโรงแรม โบกให้จอดถามไถ่ไปมายังไง แนะนำให้รู้ว่าที่นี่คือศูนย์วิจัยเกษตรที่สูง ตอนนี้มีไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกไว้กำลังสวยคนมาเที่ยวชมวันละมาก ๆ บางคนมาค้างแรมด้วยนะ ที่พักก็มี ถ่ายภาพสวย ๆ ด้านโน้น ไม้ดอกสวยงามมากต้องด้านนี้ ครู่หนึ่งก็ให้ผ่านเข้าไป เรานำรถไปลานจอด แล้วยายกับหมู ก็พากันไปหาถ่ายภาพ ดีนะสมัยนี้ใช้มือถือแทนกล้อง แบตหมดก็ชาร์ทไฟรถได้ หมูมีพาวเวอร์แบงค์ 1 ตัว ตา ก็มี 1 ตัว เชิญตามสบายหายห่วง ลานสวนไม้ดอกไม้ประดับ คนเยอะจริง ๆ เป็นไม้เมืองหนาวก็เยอะ มิน่าคนถึง ชอบมาถ่ายภาพกัน เราเดินไปดูแปลงไม้กฤษณา มาครั้งก่อนยังต้นเล็ก ๆสูงแค่เมตรสองเมตร วันนี้โตมากแล้ว สูงห้าหกเมตรได้ หันไปมองรอบ ๆ ภูเขาทั้งนั้น นับดู 1 2 3...50 เลยเลิกคือมันมากจริง ๆ มิน่าเรียกเกษตรที่สูง เหนื่อยเดิน  ก็กลับมาที่รถ เราเอาสองหมาลงมาเดิน ถามเจ้าหน้าที่แล้วไม่ห้าม เดินผ่านเจ้าหน้าที่สาวสองคนนั่งยิ้ม
ให้เลยแวะถามนั่งทำอะไรกัน เธอชี้ให้อ่านป้าย อ๋อบริการข้อมูลแก่ผู้มาเยี่ยมชม มีอะไรบริการบ้างล่ะ อยากได้ ข้อมูลศูนย์ทำอะไรบ้างมีไหม เธอบอกไม่มี อ้าวแล้วมีอะไรบ้างล่ะ ที่พักค่ะ บ้านพักสองหลัง ลานกางเต้นสามแห่ง บ้านพักต้องจองล่วงหน้า เพราะมักจะเต็ม ส่วนเต้นเอามาเองเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท เช่าคืนละ 200-300 ตามขนาดเล็กใหญ่ ตาจะค้างกะเราไหมคะ แหมหนูถามแบบนี้เดี๋ยวหัวนาคราชก็โผล่หรอก ปฏิเสธการพักแล้วเดินไปหายาย เห็นบ่นหิว ไปร้านอาหาร สั่งต้มยำ ปลาทอด ส้มตำ ข้าวสวย ข้าวเหนียว อร่อยเกินสงสัยเดินเหนื่อยมาก ซัดซะเต็มอิ่ม ออกมาเจอผักกาดขาว หัว  ละกิโลขายยี่สิบ ซื้อมาห้ากิโลกรัมจะเอาไปฝากเขา ทานข้าวเสร็จก็ลาจาก เดินทางต่อ กลับทางเดิมมาบ้านร่องจิก เลี้ยวขวาไปทางอำเภอภูเรือ สองข้างทางสวนเพาะชำไม้ดอกไม้ประดับของ อำเภอภูเรือ ผ่านหน้าโรงเรียนภูเรือวิทยา นี่ก็มานิเทศบ่อย ทั้งเรื่องภาษาไทย และนวัตกรรม การวิจัยชั้นเรียน ผู้
บริหารคุ้นเคยกันเลยเรียกใช้บริการบ่อย ผ่านไปหน้าที่ว่าการอำเภอ กำลังจัดงานเทศกาลไม้เมืองหนาว แผงขายสินค้า แผงขายต้นไม้ดอกไม้ประดับ เต็มสนาม คนขวักไขว่ไปมา ถามยายจะดูไหม ยายส่ายหน้าบอกเหนื่อย ก็ผ่านไป 






.........ภูเรือวันนี้นักท่องเที่ยวมากันเยอะ รีสอร์ท ที่พักผุดขึ้นมากมาย ออกนอกเขตอำเภอมาก็เห็นบ้านสีชมพู คนพาเด็ก ๆ เข้าชม เคยพาหลานมาเที่ยว วันนี้ขอผ่าน จนมาถึงโค้งเกินร้อยศพ แต่ป้ายยังเรียกร้อยศพอยู่ เมื่อปี 2540 ผ่านมาเห็นเรียก โค้ง 100 ศพแล้ว ผ่านมาถึงวันนี้เกินแล้วแหละ ทางมันลงเขาโค้งไปมาแบบเขาพับผ้า พวกเมาแล้วขับไม่รอดหรอก เขาเลยตั้งศาลใกล้ป่าข้างทางไว้ให้ ลงเขามาไม่นานก็ถึงบ้านไร่ม่วง แวะตลาด อบต.ไร่ม่วง สับปะรดไร่ม่วงอร่อยมาก แม้หน้าทนี้จะเปรี้ยวนิดหน่อยแต่ก็ยังอร่อยเลยซื้อมาสิบกิโล จากนั้นก็เดินทางต่อ เข้าเขตเทศบาลเมืองเลย จะผ่านไปทางเชียงคานก่อน มีเป้าหมายไปตลาดสดบ้านนาอ้อ หาซื้อผักและของกินก่อน เวลาบ่ายสี่โมงพอดี ได้ของแล้วก็กลับเข้าบ้าน  ไปถึงบ้านไม่มีเจ้าของบ้าน เลยยึดบ้านซะเลย ลูกสาวคนโตพาครอบครัวไปปีใหม่ที่ขอนแก่น แถม มันสั่งให้เราเลี้ยงหมาให้ด้วย หมาตัวใหญ่มากแต่ไม่ดุกับเราเพราะมันจำเราได้มาบ่อย เลยจับไปมัดโซ่แล้วหาข้าว ให้กิน ตัวเล็กสองตัวยายจัดการให้นอนในกล่องเอาเข้าในบ้าน คนก็ได้กับข้าวที่ซื้อมาทานกันอร่อยมากเพราะมัน เหนื่อยและหิว ได้อาบน้ำอุ่นแล้วก็ได้ดูละครและหลับคาหน้าจอทีวี คืนนี้พักบ้านเลขที่ 65 ถนนมะลิวัลย์ ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย 42000 ก่อนเคยเป็นบ้านเรานะ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นของลูกสามคน ถึงเวลาแบ่งกันเอง มีอีกแปลงสวนต้นสักก็ให้พวกเขา ตอนนี้ตาไม่มีสมบัติอะไรแล้ว ไปไหนมาไหนไม่มีห่วงสมบัติ พักดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ 






--------------
ตาเฒ่าเขียน 4 มกราคม 2560

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560

1. ป้าทุมกำแพงเพชร







ไปเยี่ยมพี่สาวที่กำแพงเพชร
.......30 ธันวาคม 2559 -2 มค.2560 ลูกสาว คุณสาวิตรี ศรีประจง ได้หยุด 4 วัน เลยชวนให้ไปเยี่ยมป้า จุดแรก ไปที่กำแพงเพชร ป้าทุม หอมจันทร์(เดิมสกุลศรีประจง) จุดที่ 2 ที่อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัว ลำภู ป้าพุด ศรีประจง อยู่บ้านหนองลุมพุก หยุด 4 วันน่าจะไปเยี่ยมได้ ตกลงไปกัน ถามแม่บ้านคุณธนัญธร ให้เอารถใหญ่ไป จะเอาหมาน้อยสองตัวไปด้วย คุณคุกกี้ คุณทาโร่ ก็เลยหาของฝากให้พร้อมแล้วจะเดินทางวันที่ 30 ธันวาคม 2559
........เช้ามืดเราออกเดินทางประมาณตีสี่ ตาขับรถเอง ออกไปทางถนนสุวินทวงศ์ ดึกขนาดนี้ถนนคงไม่แน่น ใช่จริง ถนนโล่งขับสบาย ๆ ตีห้าเศษก็ถึงบ้านพักหมู รับลูกแล้วก็ออกเดินทาง วางแผนไว้จะไปถนนเส้น 340 ผ่านสุพรรณ สามชุก ชัยนาท แต่พอขึ้นทางด่วนปรากฎว่าถนนไม่แน่น รถไม่มาก เลยไปเส้นถนนเอเซีย คุณหมูอยากขับ แต่เห็นง่วงอยู่เลยให้พักก่อน ตาขับไปเรื่อย ๆ มีรถประสบอุบัติเหตุ สองสามราย ไม่เสียเวลาเพราะเขากันรถออกจากจุด เกิดเหตุไม่ให้ไปมุงดู ส่วนมากเป็นเฉี่ยวชน คงเพราะง่วง บนถนนรถไม่แน่นเลยพอวิ่งได้ 100-120 เราก็ไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นอะไรหรอกยังเช้ามืดอยู่ จนเข้าเขตจังหวัดนครสวรรค์ แวะปั้มข้างทาง เห็นร้านขายต้มเลือดหมู ข้าวราดแกง ก็ไปลองอร่อยใช้ได้ ไม่แพง อ้อได้ปล่อยหมาน้อยลงไปเยี่ยวบ้าง มันนั่งมานาน
........สว่างแล้วรถเริ่มแน่นถนน เราออกจากที่หยุดพัก มาเห็นแผงขายปลาแดดเดียว ปลาช่อน ปลานิล ปลาตะเพียน ยายสงสัย ทำไมมีปลาแดดเดียว ถามแม่ค้าบอกมีคนเขาทำมาส่ง นครสวรรค์มีแม่น้ำมารวมกันหลายสาย ปลาชุม แต่ยังราคาแพงอยู่ เพราะคนกินมากกว่าคนหาปลา ยายซื้อไปฝากญาติพี่น้องได้ปลากล่องใหญ่ แล้วก็เดินทางต่อ ช่วง นี้หมูน้อยอาสาขับให้ไม่ง่วงแล้ว โถพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจะไปง่วงทำไม ขับก็ขับ ได้เลย
........ยายถามว่าหมูขับได้เหรอ เห็นขับแต่แจสคันเล็ก ๆ ขับรถใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง เราก็ขำ ๆนะ ยายคงลืมไปแล้ว ว่าตอนหัดขับรถใหม่ ๆ เราให้ใช้คันนี้หัดขับจนไปสอบใบขับขี่ได้ มาขับวันนี้จะไปแปลกอะไร หมูคุ้นรถเราอยู่ แล้วก็เลยไม่มีปัญหา ปัญหาน่าจะมาจากถนนรถแน่นไหม ปรากฏว่าถนนว่าง ขับสบายถึงทางเลี่ยงเมืองมีป้ายบอก ไปกำแพงเพชร ดูเนวิเกเตอร์ก็ขี้เส้นสีชมพูให้เลี้ยวซ้าย ไม่มีเสียงบอก หมู ถามว่าทำไม เมื่อก่อนพูดบอกทางเสมอ ก็บอกว่าปิดไว้เพราะมันพูดดังจนหนวกหู เลยเปิดให้ฟังเสียง หมูบอกเสียงดังไป ปิดไว้ดีแล้วพ่อ ดูหน้าจอเอา เก่งนะวิ่งเกือบ 100 กม./ชม. ประมาณสองโมงเช้าก็ถึงกำแพงเพชร ถามเนวิเกเตอร์ รีสอร์ทที่จองไว้อยู่ตรงไหน มันขึ้นแผนที่ให้ ดูเลย หมูถามว่ามันบอกได้ขนาดนี้เลยหรือพ่อ อ๋อมันไม่รู้หรอก มันนึกว่าเราถามแผนที่มันเลยบอกอยู่ตรงไหน ขีดเส้นให้ดูด้วย เลยพาเข้าที่พักก่อน ทางรีสอร์บอกห้องพักว่าง เอาของไปเก็บไว้ก่อนได้ บ่าย ๆ ค่อยกลับมา รีสอร์ท อยู่ริมฝั่งน้ำปิง ใกล้ราชภัฏกำแพงเพชร มาพักแถวนี้บ่อย ถนนเส้นนี้มีที่พักหลายสิบแห่ง เสร็จธุระเรื่องที่พัก ก็จะออก ไปเยี่ยมป้า
........บ้านป้าอยู่ไหนพ่อ หมูน้อยถาม เลยกดเนวิเกเตอร์ให้ดู บ้านหนองกองเหนือ ตำบลนาบ่อคำ ยี่สิบกว่ากิโล เมตร ขับรถคงไม่ถึงสามสิบนาที หมูหัวเราะบอกไปตามเส้นสีชมพูนี่แหละพ่อสบายมาก กำแพงเพชรวันนี้เป็นเมือง ท่องเที่ยว มีโบราณสถานได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เช้าอยู่ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก ถนนหนทางก็ว่างดี วิ่งรถมาไม่ถึงสิบนาทีจากตัวเมืองมุ่งไปนาบ่อคำ ผ่านแผงส้มตำนึกเปรี้ยวปากเลยแวะไปคุยกับสาวแม่ค้า จนได้ข้อมูลว่า ตำได้หลายสูตร ปูปลาร้า ตำไทย ตำทะเล ตำป่า ตำถาด ได้หมด ก็เลยแซวว่า ตำแบบคนแก่ให้หน่อย ตา 72 ขวบ แกหัวเราะย้อนถามว่าตำแบบไหน พริก 2 เม็ด กระเทียมสามกลีบ มะเขือเทศเล็กนี่ 5 ลูก มะขามมะนาวไม่เอา ปูเค็มไม่เอา น้ำตาลไม่เอา ปลาร้า 2 ช้อน อ้อเธอมีมะกอกขอครึ่งลูกนะ ชูรสใส่ได้นิดหน่อย น้ำปลาชิมก่อนค่อยเติม สาวงง ๆ ทำเสร็จแล้วชิมส่ายหน้า หนูไม่เคยตำสูตรนี้ เราชิมให้เติมน้ำปลานิดหน่อยก็จบ ใส่ถุงจะเอาไปกินบ้านป้า มีไก่ย่างด้วย ขอแบบส้นตีนล้วน ๆ สาวมองหน้าถามว่ากินได้หรือคะตา ได้สิหนูถึงฟันไม่ดีแต่มีตัวช่วยนะ อะไรหรือ คะ อ๋อ บนรถมีหมาน้อยสองตัว มันชอบย่างกระดูกขาไก่ ตาแทะนิดหน่อยที่เหลือปล่อยพวกมันจัดการ เธอหัวเราะ จัดมาให้ 5 ไม้ 50 บาท
.........หลานสาวโทร.ถามว่าถึงไหนแล้ว เลยแกล้งบอกว่า กำลังหาทางเข้าบ้านป้าอยู่ อ้าวมาหลายครั้งจำไม่ได้หรือ เขาเลยอธิบายใหญ่เลย ที่จริงเรานั่งอยู่กับป้าทุมแล้วแหละ เห็นหลานสาวมันไม่อยู่บ้านให้เรามาเก้อก็เลยแกล้งมัน ป้าทุมปีนี้ 80 ขวบแล้ว แก่กว่าเรา 8 ปี สุขภาพก็ร่วงโรยไปตามอายุขัย เห็นตู้ซักผ้าใหม่แกะกล่องวางอยู่ เลยถาม ว่าเอามาจากไหน ป้าบอกลูกสาวเอามาลงให้ อ้าวใครคนไหน แก่ปูนนี้มันจะให้แม่ซักผ้าให้หรือ ป้าหัวเราะบอกว่าเปล่า เขาเห็นเราใส่เสื้อผ้าเก่า ๆไม่สะอาด คงนึกว่าเราไม่ค่อยซักผ้า เลยหาเครื่องซักมาให้ ใช้เป็นไหมล่ะ ป้าว่าเขาสอน พี่ชายถึงวิธีใช้คงรู้กันแล้ว ก็เข้าใจ ถามหาของกิน แกยกออกมามี น้ำพริก ทอดเขียดแดดเดียว ทอดปลาส้ม ส้มตำ เราก็เอาของกินที่เตรียมมาออกมาวางบ้างแล้วก็กินข้าวเที่ยงกัน แต่ป้าไม่กินด้วยบอกอิ่มแล้ว เห็นแกมาเยี่ยมฉันกิน ไม่ลง มันอิ่มแล้ว อร่อยนะของกินแบบเดิม ๆ สมัยเด็กป้าทุมเขาทำแจ่วบอง ต้มผัก ให้กินก่อนไปโรงเรียนบ่อย ๆบางวันก็มีกบ เขียด กะปอม ไข่ต้ม วันนี้ได้ชิมฝีมือป้า
.........ทานข้าวเสร็จก็ถามข่าวสุขทุกข์กัน ยายธนัญธร มีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้นะ ก็คุยกันได้ดีเพราะมาหลายครั้งแล้ว กับหมูน้อยก็คุยกันได้เรื่องได้ราวมาครั้งที่สี่แล้ว เสร็จทักทายกันพอสมควรก็จัดพิธีบังสุกุลเป็นให้ป้าทุม บอกแกว่า ทำตอนป้ามีชีวิตอยู่นี่แหละ จะได้รู้ว่าเอาอะไรมาทำบุญบ้าง เสื้อกันหนาวก็หลายผืนนะ ใส่เองก็ได้ ให้ลูกหลานก็ได้ มีเสื้อใส่เล่นไว้แจกลูกหลานอีก ส่วนในซองปัจจัย 1000 บาท สำหรับไว้ซื้อของกิน ซื้อยากินยามไม่สบาย พวกเรามาเยี่ยมโอกาสปีใหม่ มาขอสมมาคาระวะ ของโทษขออภัยหากเคยล่วงเกินด้วยกายวาจาใจ ก็อโหสิกรรม ให้พวกเราด้วย และโอกาสนี้พวกเราขอตั้งความปรารถนาดี วานสิ่งศักด์สิทธิ์ช่วยบันดาลให้ป้ามีแต่ความสุขความเจริญปลอดจากโรคภัย ขอให้แข็งแรงอายุมั่นขวัญยืน อยู่กับลูกหลานนาน ๆ สาธุ ป้าแกก็ให้ศึลให้พรเราบ้าง จบการเยี่ยม ป้าทุม เวลาที่เหลือจะพากันไปชมอุทธยานประวัติศาสตร์ ยายต้องเฝ้าบ้าน ลูกหลานไม่อยู่ซักคน ก็เลยไปกันเอง
...........อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อ 12 ธันวาคม 2534 ข้อมูลทราบว่าทาง องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัย ชื่อว่า"เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns)" มีสถานที่สำคัญ ๆ หลายรายการเช่น สระมน พิพิธภันฑ์ ศาลพระอิศวร วัดพระแก้ว วัดพระธาตุ วัดพระสี่อิริยาบถ และวัดช้างรอบเป็นต้น ตาเองเคยมาหลายครั้งแล้ว มากับหมูน้อยครั้งหนึ่ง ส่วนยายธนัญธรบอกปวดขาไม่อยากเดิน มาก เลยชวนเข้าไปชมพิพิธภันฑ์ ก่อนค่อยนั่งรถชมทั่วบริเวณ
...........ภาพ รูปปั้น สิ่งของ สมัยโบราณที่นำมาจัดแสดงล้วนน่าสนใจ เจ้าหน้าที่บอกว่า ส่วนมากเป็นของที่ได้จาก พื้นที่ มีทั้งที่ขุดพบเองและชาวกำแพงเพชรนำมามอบให้ มีทั้งพวกปูนปั้น ดินเผา โลหะ เดิมเป็นส่วนประกอบของร รูปปั้น เจดีย์ วิหาร เทวรูป พระพุทธรูป เครื่องมือ ของใช้ และอาวุธ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนสมัยโบราณ ถ่ายภาพไว้ค่อนข้างมาก น่าสนใจทั้งน้ัน
...........นั่งรถชมบริเวณอุทธยานประวัติศาสตร์ ชมพระพุทธรูปปางยืน ปางนั่งและปางนอน ขาดไปปางเดิน ก็มัน ทำยากนี่นา ถ้าเป็นวีดีโอ ก็พอไหวนะยาย ตรงนี้เขาเรียกวัดพระสี่อิริยาบถ ดูความยิ่งใหญ่ของคนสร้างต่างหาก อีกวัดชื่อวัดพระแก้ว เหลือแต่ซากปรักหักพัง มีพระพุทธรูป เจดีย์ เสาก่ออิฐ ให้เห็นเป็นร่องรอยความสามารถของ ช่างสมัยโบราณ อ่านดูประวัติเป็นเล่าว่าพระแก้วมรกตเคยถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่พระอุโบสถวัดนี้ จึงได้ชื่อวัด พระแก้ว ก่อนที่จะถูกนำไปประดิษฐานที่เชียงราย สิ่งของมีค่ามากถูกนำไปไว้หลายแห่ง เคยไปเที่ยวเวียงจันทร์ มีชื่อวัดพระแก้ว ที่พระแก้วมรกตเคยอยู่ที่นั่น เห็นว่าเป็นองค์เดียวกัน วัดช้างรอบ มีเจดีย์ใหญ่ที่เหลือแต่ฐาน มี กำแพงช้างรายรอบเป็นรูปหัวช้างยืนหันหน้าออก เลยเห็นแค่สองขาหน้า อ่านคู่มือเห็นบอก 68 เชือก ไม่เคยนับนะ ดูแล้วก็ชื่นชมความพยายามของคนสมัยนั้น ช่างอดทนทำได้ยิ่งใหญ่จริง ๆ
.........เหนื่อยกันแล้วก็พากลับ ไปหาซื้อกับข้าวในตลาดไปทานที่รีสอร์ท ทางรีสอร์มาบอกให้ย้ายไปพักด้านหลัง เพราะมีสุนัขมาด้วย แต่ยังไม่ทันได้ย้าย คุณทาโรไปฉี่ใส่ผ้าเช็ดเท้าเขาก่อน เลยตกลงให้พักตามเดิม เราจองไว้สอง ห้อง ก็สะดวกดี บรรยากาศเงียบสงบ อากาศดี แต่มีหมาไปเยี่ยวใส่ก่อน ยายขอโทษเจ้าของรีสอร์ทเขา ความจริง เรามีกล่องหมานอนมาด้วย แต่ยังไม่ทันได้กาง เราทานอาหารเสร็จก็แยกกันเข้านอน ตกดึกหมูน้อยไอถี่ ๆ เลยพาไป โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ 1.4 กม.เอง ได้ยามากิน กลับมาที่พักก็ตีสี่แล้ว เลยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมเดินทางไป จังหวัดเลย ขนกระเป๋าใส่รถไว้ ให้หมาน้อยเฝ้าบนรถ ตายืนข้างประตูด้านขวา ยายกับน้องหมูไปแจ้งทางเจ้าหน้าที่ มาตรวจความเรียบร้อยห้องพัก เพราะเราจะเดินทางตอนเช้า เขามาตรวจแล้วกลับไปนอน ไม่บอกซักคำว่าเรียบร้อย หรือมีปัญหาอะไร ยายชวนหมูไปถาม กลับมาจะออกรถ หมาน้อยหายไปทั้งสองตัว ยายตกใจวิ่งหากันใหญ่ แถมว่า เราไม่ดูหมาอีก เลยจีบปากส่งเสียงเรียก เดี๋ยวเดียวเจ้าทาโร่วิ่งมาหา พออุ้มมันจะเลียปากให้ได้ บ้าจริง ตูเห็นนะ
ทาโร่ แกดมตูดคุกกี้มาหยก ๆ จะมาเลียปากกันได้ไง ยายหัวร่อ ได้มาครบแล้วก็ออกเดินทาง ตีสี่ครึ่ง หมูน้อยหาว หวอด ๆ ไม่ได้นอนมั่วแต่ไอ เลยให้นั่งหลับไปก่อน พ่อจะขับให้ตื่นแล้วค่อยมาเปลี่ยนกัน