วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ข้อบกพร่องในการแต่งกลอน


                       
คุณเหน่งพาไปทานข้าวบางแสน แวะดื่มกาแฟแถวน้ั้นปีหกหนึ่งนี่แหละ

.............ผมเขียนบทกลอนจริงจังมาแต่ปี 2522 นิราศโตเกียวยาว เกือบ 70 หน้า หลังจากนั้นก็เขียนบ้างตามโอกาส  กลับไปอ่านของเก่าก็พบข้อบกพร่องกลอนมากหลาย จนสามารถนำมาเขียนถึงได้ยาวเลยแหละ  นำมาโพสไว้เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นบ้าง......ครั้งแรกโพสเมื่อวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559  จากนั้นก็ปรับแก้บ้าง แล้วแต่อารมณ์ครับ

                                                           ขุนทอง ศรีประจง
                                                           28 ธัวาคม 2561
                                                   วันปรับแก้และโพสครั้งล่าสุด


นิราศโตเกียว  คลิก....๑.http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/1_28.html
                                   ๒.  http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/4.html
                                  ๓. http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/3_28.html                                  ๔. http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/2_28.html
                                   

.......ผมฝึกร้อยกรองด้วยกาพย์ยานี ๑๑  ก่อนโดยใช้ปากเปล่า สนทนากับลูกสาวคนเล็ก ราว 3-5 ขวบ 

นั่งรถไปส่งแม่ที่สอนอยู่ประถม ชวนสนทนาเป็นคำคล้องจองแบบต่อปากต่อคำ  แรก ๆก็ต่อ 2 คำเหมือนให้เด็กที่เรียน ม. 1 เล่นกัน ปรากฏว่าทำได้ จนแม่ขอเล่นด้วย แล้วก็ต่อให้ยากขึ้นเป็น สามคำ สี่คำ และห้าคำ จนเก่งมาก สามารถสร้างคำถามให้เราตอบ....ช่วงเปิดเรียนเขาเรียนระบบสามเทอม โรงเรียนที่พ่อ
สอนระบบสองภาคเรียน พาไปโรงเรียนด้วย พ่อไปสอนเด็กชุมนุมร้อยกรอง ก็ไปนั่งดูพี่ ๆ เขาทำกิจกรรม
ต่อคำกัน มีการแย่งน้องไปนั่งแทรก อยากดูน้องต่อคำได้ไหม ไม่มีปัญหาเพราะซ้อมกับพ่อทุกวัน นี่นากิจกรรมที่เด็กชอบมากคือถามตอบปัญหาเป็นกาพย์ กลอน ให้เขียนคำถามลงสมุดไปวางที่โต๊ะครู 
ถามด้วยกาย์ตอบด้วยกาพย์ ถามด้วยกลอนตอบด้วยกลอน ฮือฮา มากครูภาษาไทยขอยืมตัวเด็กไปแข่งขันโต้วาทีกลอนสดระดับจังหวัด ได้รองชนะเลิศ เพราะคู่แข่งเป็นเด็ก ม.ปลาย เนื้อหาเด็กเขา
ดีกว่า แต่ฉันทลักษณ์เด็กเราเก่งกว่า
..........ผมชอบเขียนร้อยกรองสด ๆบนกระดานดำเมื่อต้องสอนกาพย์กลอน ปรากฏเด็กทึ่งมากทำไม

ครูแต่ง ได้เร็วทันใจดี ความจริงเราฝึกมานาน ฝึกแบบบ้า ๆบอ ๆ ด้วย เคยไปดูงานการสอนครูภาษา
ไทย และลองบันทึก การดูงานเป็นกาพย์ยานี นั่งสังเกตการณ์ไปบันทึกไป บันทึกได้นะ กลับมาเอา
มาตรวจทานและแต่งเพิ่มเติมเป็น รายงานการดูงานการสอนครูภาษาไทยโรงเรียน..กรุงเทพ ฯ วัน
หนึ่งนึกสนุกอยากเขียนเล่านิทานก้อม ก็หยิบเอานิทานเดอร์ตี้โจ้กของชาวบ้านมาเขียน เพื่อนมา
ขออ่านชอบใจเลยมาขออ่านอยู่เรื่อยในที่สุด ก็แต่งกาพย์ยานีค่อนข้างจะชำนาญ สามารถว่ากาพย์
แบบปากเปล่าได้ ส่วนแต่งกลอนมาเริ่มเขียนจริง ๆตอนเรียน กศ.บ. ปี 2519 ครูให้เขียนนิราศส่งเป็นภาคนิพนธ์คนละเรื่อง อย่างหน้อย 3 หน้ากระดาษ ไม่เกิน 5 หน้า พิมพ์หน้าละ 40 บรรทัด บรรทัด
ละ 2 วรรค รวมต้องพิมพ์ 120 บรรทัด ยาวมาก ๆ  จนนอนไม่หลับกลัวจะ ทำไม่ได้ ไปอ่านนิราศ
ต่าง ๆ  ที่ห้องสมุดจนหลับคาหนังสือ ในที่สุดก็ได้คิดว่า น่าจะลองเขียนดู 
...........กางสมุดแผนผังกลอนไว้แล้วก็หลับตานึกถึงการเดินทางจากบ้านมาที่มหาวิทยาลัย นั่งรถ
จักรยายนนตร์ เมียมาส่งคิวรถ นั่งรถยนต์รวดเดียวไปยัง ขนส่งปลายทาง ต่อรถสามล้อเข้าหอพัก
 จบการ เดินทาง จากนั้นก็นึกหัวข้อ จะเขียนอะไร จุดประสงค์จากบ้าน ลาบุตรภรรยา ขอคุณสิ่ง
ศักดิสิทธิ์คุ้มครอง ภรรยาไปส่ง บขส. ขอบคุณเธอ ฝากดูแลบุตรธิดา ..เข้าหอพักที่มหาวิทยาลัย 
รวมแล้ว 70 หัวข้อ สบายมาก เขียนเล่าเป็นกลอนแปด ปรากฏว่ายาวถึงห้าหน้ากระดาษ ส่งครูผู้
สอนไป วิชานี้ได้เกรด เอ บวก ไม่เลวนักหรอก 
...........หลังจากนั้นแต่งกลอนบ่อยมาก เอาอย่างแต่งกาพย์ยานีที่เคยฝึกมาแล้วบทอวยพรต่าง ๆ
 ใคร อยากได้ วานให้เขียน ได้เลย มากมายนับได้เกินร้อยสำนวน ที่แต่งเป็นนิราศก็มีจนวันหนึ่ง
อยากรู้ผล งานที่เคยเขียนมันมี ข้อบกพร่องอะไรบ้าง พบว่าบางบท บางเรื่อง หักคะแนนได้แทบ
ไม่เหลือคะแนนที่ได้เลย วันนี้ก็เลยนึกอยากนำ ข้อบกพร่องที่เจอมาเขียนไว้ให้ลูกหลาน อ่าน ดู
 จะได้รู้ว่า เราคิดว่าตัวเองเก่งเหลือ หลาย ว่ากลอนปากเปล่า ได้ไม่ติดขัด แต่กลอนก็มีข้อบกพร่อง ตั้งแต่บกพร่องเล็กน้อย ไปจนบกพร่อง มาก ๆ ดังจะนำมาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้ 
..............1. ใช้คำขาด ๆ เกิน ๆ กลอนแปด ใช้คำวรรคละแปดคำ คงเพราะ อ่านตำราบอกว่า ใช้ได้วรรคละ
7 - 9 เคยอ่านงานของกวีที่แต่งไว้ ก็มีจริง ๆ เวลาเราแต่งก็ตามสบาย ขาดบ้างเกินบ้าง พอมาอ่านที

หลัง มัน ติด ๆ ขัด ๆ ต้องดู ว่ากี่คำ 7 คำ อ่าน 2-2-3 ลงตัว อ้าววรรคนี้ไม่ได้ต้องอ่าน 2-3-2 ก็เลยรู้และ
ได้คิดว่า ทำไมไม่แต่งให้ลงตัวแปดคำ อ่าน 3-2-3 ลงตัวสบาย ๆ สรุปว่า กลอนแปด แต่งวรรคละแปด
คำแหละดีแล้ว
..............2. คำครบ แต่คร่อมจังหวะ กลอนแต่งเพื่ออ่าน โดยเฉพาะอ่านทำนองเสนาะ มีจังหวะ การ

อ่านแบบ 3-2-3 ทุกวรรค คำขาดคำเกิน ก็ต้องอ่าน 3 จังหวะ ทีนี้คำหลายพยางค์บางคำ คนแต่ง ไม่
ระวัง ปล่อยให้คร่อมจังหวะ ในวรรค อ่านก็สะดุด 8 คำเช่น.. ไปโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา
อ่าน....ไปโรงเรียน/เขียนอ่าน/การศึกษา .........อ่านไม่ติดขัด
.....ถ้าเกิดแต่ง 9 คำบ้าง ลูกเข้าโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา
อ่าน....ลูกเข้าโรง/เรียนเขียนอ่าน/การศึกษา ........อ่านได้ แต่ติด ๆ ขัด ๆ เพราะจังหวะไม่ลงตัว
..............3. เสียงคำท้ายวรรค กลอนอ่านทำนองเสนาะ จะมีปัญหา ถ้าคำลงท้ายวรรค เสียงผิด
ไปจากที่นิยม กลอนไม่ได้ ผิดฉันทลักษณ์ แต่มันอ่านไม่รื่น คนสมัยก่อนท่านนิยมแต่งคำลงท้าย

วรรค บทกลอนกันอย่างไร
.............คำท้ายวรรคสดับ ใช้ได้ทุกเสียง แต่ไม่ค่อยนิยมใช้เสียงสามัญ
.............คำท้ายวรรครับ ต้องใช้เสียงเอก โท หรือจัตวา นิยมใช้เสียงจัตวา ห้ามใช้ 
สามัญและตรี 
.............คำท้ายวรรครอง ต้องใช้เสียงสามัญ หรือเสียงตรี นิยมมากคือเสียงสามัญ ไม่นิยมเอกโท 
และจัตวา
.............คำท้ายวรรคส่ง ต้องใช้เสียงสามัญหรือตรี ที่นิยมมากที่สุดคือเสียงสามัญ ไม่นิยม เอก โท 

และจัตวา
ตัวอย่างกลอนสุนทรภู่
         พระฟังคำอ้ำอึ้งตะลึงคิด (เสียงตรี) .........จะเบือนบิดป้องปัดก็ขัดขวาง (เสียงจัตวา)
สงสารลูกเจ้าลังกาจึงว่าพลาง (เสียงสามัญ)....เราเหมือนช้างงางอกไม่หลอกลวง (เสียงสามัญ)
บทอาขยาน จากเรื่องพระอภัยมณี
.............4..สัมผัสนอกคือสัมผัสบังคับ บทหนึ่ง ๆ จะมี 2 สาย
................4.1 เริ่มที่คำท้ายวรรคที่ 1 ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 2 คำที่ 3 ถ้าจำเป็นอาจเป็นคำอื่นก็ได้ แต่

ต้องมี คำเดียว มากกว่า 1 คำ จะเป็นสัมผัสเลื่อน หรือ เลือน ทำให้กลอนมีตำหนิ
                  บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว    สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา 
           เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา                        ประคองพาขึ้นไปยังบรรพต
.........กลอนที่ยกมาเป็นตัวอย่าง คำที่ส่งสัมผัส บังคับ คำแรกได้แก่ คำ แว่ว ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 2 มี

คำ แล้ว รับ สัมผัส
...............4.2 สัมผัสนอกคำที่ 2 คือคำท้ายวรรคที่ 2 บทกลอนตัวอย่างได้แก่คำ หา ส่งไปท้ายวรรค

ที่ 3 (มา) และต่อเนื่องไปคำที่ 3 วรรคที่ 4 (พา) คำที่รับสัมผัสบังคับแต่ละจุดให้มีได้คำเดียว มีมาก
กว่า 1 จะกลายเป็นชิง สัมผัส หรือสัมผัสเลื่อน เลือน
                       แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์         มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
                   ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด           ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
.............คำมนุษย์ สัมผัสนอก ส่งไปวรรคที่ 2 มีคำ สุด รับสัมผัสคำเดียว พอแล้ว อย่าให้มีมาอีก 

คำกำหนด เป็นสัมผัสนอกเสียงที่ 2 ในบทนี้ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 3 มีคำ ลด รับสัมผัส ห้ามมีคำ 
อื่น ๆ อีก ถ้ามี ก็กลายเป็นสัมผัสเลื่อน สัมผัสเลือน 
..............5. เห่อเล่นสัมผัสใน จนทำให้กลอนบกพร่อง พวกที่อ่านกลอนสุนทรภู่มาก ๆ เหมือนกระผม 
ชอบ มากเรื่องสัมผัสใน จำจนขึ้นใจว่า วรรคละแปดคำ จังหวะ 3-2-3 สัมผัสในวรรคละสองคู่คือ คำที่ 3 กับ คำที่ 4 คำที่ 5 กับคำที่ 7 เกณฑ์นี้ใช้ได้กับวรรค คี่ คือวรรคที่ 1 และ 3 ส่วนวรรคคู่ก็ใช้ได้ ระวังพลาด
วรรคที่ 2 และวรรคที่ 4 ตำแหน่งคำ ที่ 3 ต้องใช้รับสัมผัสบังคับ ไม่ว่างที่จะใช้สัมผัสในกับคำที่ 4 ถ้า

ขืนใช้ จะทำให้คำที่ 4 เป็นสัมผัสเลื่อน หักคะแนนได้ บางคนเอากลอนเก่า ๆ มาอ้าง ก็ช่างกลอน
เก่า ๆ สิ เรารู้ ว่ามันบกพร่องจะเอาอย่างทำไม
.............6. ชอบเล่นสัมผัสใน เล่นให้ถูกจังหวะ อย่าให้กลายเป็นสัมผัสลัดหรือชิงสัมผัส หรืออย่าให้

กลาย เป็นสัมผัส เลื่อนหรือสัมผัสเลือน ตามแผนผังกลอนแปด คำท้ายวรรคสดับ ส่งสัมผัสไปให้
คำที่ 3 วรรครับ ถ้ามีคำอื่นอีกที่รับสัมผัสได้ เรียกว่า เกิดสัมผัสเลื่อน หรือสัมผัสเลือน 
....................อันความรักมักเป็นเห็นแต่ตัว.............เพราะมืดมัวกลัวรักจักห่างหาย
.............อ่านดูมันก็เพราะดี แต่สัมผัสบังคับใช้คำเดียวรับสัมผัสพอแล้ว ตัวอย่างมีทั้ง มัว และ กลัว
รับสัมผัสได้ ถือว่าแต่งผิดฉันทลักษณ์
.............สมมติว่าแต่งต่อไปอีก
..................อันความรักมักเป็นเห็นแก่ตัว.............เพราะมืดมัวกลัวรักจักห่างหาย
.............เกิดเป็นชายหมายรักมิกลับกลาย...........จวบจนตายรักแต่เจ้าเยาวมาลย์
........วรรครับคำท้ายคือ หาย ส่งสัมผัสบังคับไปให้คำท้ายวรรคของวรรครอง ได้แก่คำ กลาย แต่มี

คำอื่นดัก หรือ ชิงสัมผัสก่อนแล้วคือคำ ชาย หมาย ถือเป็นข้อบกพร่อง หักคะแนนได้
.........7.สัมผัสซ้ำ ในเส้นสายสัมผัสบังคับ ห้ามใช้คำซ้ำ หรือต่างรูป แต่เสียงเดียวกัน มาใช้ส่ง รับ

สัมผัสกัน เชน คำ สัน สรรพ์ สันต์ สันติ์ ถือเป็นคำที่มีเสียงเดียวกัน ไม่ให้ใช้ ขัน ขันธ์ ขรรค์ ไม่ควร
ใช้ เป็นต้น
...................โอ้ลมหนาวพัดมาพาหนาวเหน็บ         ปวดใจเจ็บปวดกายวุ่นวายสรรพ์
          พี่คะนึงถึงนวลป่วนจาบัลย์                            เศร้าโศกศัลย์ปวดใจไม่เว้นวาร
สรรพ์ ศัลย์ คนละคำก็จริง แต่เสียงเดียวกัน ไม่ควรใช้ในสายสัมผัสบังคับ
.........8. คำเสียงสั้น กับคำเสียงยาว ไม่ให้ใช้สัมผัสบังคับ เสียง อะ -อา นะ....นา จั น....จาน

มัน...มาน กรรม กำ กัม เสียงเดียวกัน ใน ไน นัย เสียงเดียวกัน ใน...นาย คนละเสียง นาม...น้ำ 
คนละเสียง เรา...เบาเสียงเดียวกัน เงา....ขาว คนละเสียง คำที่ประสมสระลดรูป เปลี่ยนรูป สังเกต
ให้ดี 
......... ...ในจดหมายพี่คะนึงถึงแจ่มจัน................แต่อังคารถึงพุธสุดขื่นขม
..........  ไม่สบายง่วงเหงาจนเศร้าโทรม..............จนนอนซมวันคืนไม่ชื่นบาน
แจ่มจัน..อังคาร จ+อะ+น =จัน ขม...โทรม...ซม ข+โอะ+ม = ขม ทร+โอ+ม = โทรม ซ+โอะ+ม = ซม
.........9. คำลงท้ายบทไม่ควรใช้เสียงเดียวกันติด ๆสำหรับบทกลอนที่แต่งติดต่อกันหลายบท สมมติ
5 บาท บทที่หนึ่ง จบบทด้วยคำ ใจ จบบทสองด้วยคำ ใน เสียงไอเหมือนกันกับบทแรก ควรเว้นซัก

 2 บท ถึงใช้ซ้ำก็ไม่ น่าเกลียด
..................ยังจำได้บอกว่าจะมาเยี่ยม..........พี่ก็เปี่ยมยินดีศรีสมร
..........อุตส่าห์เตรียมของไว้ให้งามงอน........มะพร้าวอ่อนส้มสูกลูกไม้มี
..........ทั้งส้มโอเขียวหวานและส้มเซ้ง..........สวนตาเส็งมากมายนักนวลศรี
..........อย่าลังเลชักช้ารีบมาซี   ....................วันสิบสี่มกรามาไวไว
.........ชวนอาม่าอากูมาดูด้วย.......................จักให้ช่วยเก็บส้มสมสมร
.........พี่คอยมาหลายวันหนาบังอร...............จนรุ่มร้อนรอเจ้าจนเหงาทรวง
..........คำ ศรี ซี สี่ พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน ประสมสระ อี เหมือนกัน ไม่ควรใช้ในสายสัมผัสบังคับเดียวกัน คำสมร ห่างกันบทเดียว ใช้เสียง ออน อีกแล้ว ไม่ผิด แต่ไม่ควรใช้
.........10. คำคู่ที่ถือเป็นคำมาตรฐานไปแล้ว ไม่ควรนำมาสลับตำแหน่งหน้าหลัง มีคำไหนบ้าง ต้อง

ตรวจ สอบกับ พจนานุกรมทันทีที่สงสัย คำที่ถือว่าเป็นคำมาตรฐานไปแล้วเช่น แน่นอน กอบกู้ 
จริงใจ เดียวดาย ปกป้อง บางคำสลับ ตำแหน่งความหมายก็เพี้ยนไปด้วย ทางที่ดีอย่างใช้สลับ
ตำแหน่ง คำที่มักเขียนสลับบ่อย เช่น ขุกเข็ญ งอกงาม ลิดรอน หุนหัน ว้าเหว่ ย่อยยับ ทักทาย 
บดบัง งมงาย ร่ำรวย ชั่วช้า หลายคำสลับที่แล้วความหมาย ผิดเพี้ยนไป เช่น งอกงาม= งามงอก
 หุนหัน = หันหุน งมงาย = งายงม ร่ำรวย = รวยร่ำ ใช้ตามเดิมดีกว่า
.........11. ใช้คำสัมผัสเพี้ยน ๆ ดูรูปคำนึกว่าจะสมผัสกันได้ แต่ลองอ่านดูจะรู้ได้ว่าคนละเสียง เช่น

 เล็ก เป็ด เลข เป็นคำประสมสระ เอ เหมือนกัน แต่ตัวสะกดต่างกัน เลยออกเสียงต่างกัน
................สวัสดีหนูเล็ก............มาเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งหรือ
..........อยากรู้เห็นเลื่องชื่อ.......ว่าเลี้ยงเป็ดมานับนาน
..........ทุ่งนาจะไล่ทุ่ง...............อะไรจูงใจจึงสรร
..........เลือกเช่าที่สำคัญ.........คุ้มค่าไหมที่ลงทุน
.......เล็ก---เป็ด คนละเสียง ทุ่ง กับ จูง สระเสียงสั้นกับเสียง ยาว นาน--สรร---คัญ สระเสียงยาวกับเสียงสั้น
..........12. สัมผัสเผลอ เกิดจากการใช้คำบางคำที่รูปร่างคำคล้ายกัน หรือ ออกเสียคล้ายกัน เช่นคำว่า
น้ำออกเสียงเหมือนคำ น้ำ ย่าม ตาม ลาม ลองแยกคำดู น+สระอำ+ไม้โท เป็น น้ำ ย+สระอา+ม+ไม้เอก คำ ไป ขัย ใน นัย เสียงเดียวกัน แต่ต่างจากเสียง ชาย วาย งาย คำทำนองนี้ถ้าสงสัยให้วิเคราะห์คำดู ว่าประสม เสียง สระอะไร ถ้าเสียงสระเดียวกัน สะกดมาตราเดียวกันไหม ถ้าต่างมาตราสะกด ถือว่าคนละเสียง
...............................ยามเย็นเดินหาดทราย.......น้ำก็ใสแลปูปลา
........................เสฉวนแปลกเสาะหา ...............เปลือกหอยเปล่าเข้าอยู่แทน
.......................นั่นงามนะหอยสังข์ ...................เสฉวนอ้างมันหวงแหน
.......................อยู่นานจนดัดแปลง...................เป็นห้องเช่าส่วนตัวแล
คำทราย กับ ใส คนละเสียง สังข์ กับ อ้าง คนละเสียง แหน กับ แปลง สระแอ แต่สะกด ต่าง มาตรา
..........13. แต่งไม่ระวังกลายเป็นกลอนที่มีละลอกทับละลอกฉลอง ระลอกทับ หมายถึงการมีเสียง

วรรณยุกต์เ อกหรือโท ในคำสุดท้ายของวรรครับและวรรครอง ระลอกฉลอง หมายถึงเสียงวรรณ
ยุกต์เอกหรือโทในคำสุด ท้ายของวรรคส่ง
......................สะดับ      จะกล่าวถึงละลอกทับกับฉลอง..........จับตามองวรรคนี้ให้ดีท่าน          รับ
......................รอง     ละลอกทับรับรองจองการบ้าน................คนโบราณว่าฉลองตรองแบบนี้   ส่ง
.................................มิผิดแบบแต่กลอนมีตำหนิ .....................อย่าพึงริเสกสรรค์ตามวิถี 

.................................หลีกละลอกทั้งสองให้จงดี ....................จึงจะมีมงคลกลกลอนกานท์ ฯ
..........14. ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ในบทกลอนโดยไม่มีเหตุผลสมควร
..........15. ใช้คำภาษาพูด ภาษาปาก เว้นแต่ใช้เป็นการบอกเล่า สนทนา
..........16. ใช้คำภาษาถิ่น โดยไม่จำเป็น เว้นแต่ต้องการเน้น การนำเสนอศิลปะการใช้ภาษา
..........17.ใช้คำภาษาต่างประเทศ แบบคำทับศัพท์ในบทกลอน ไม่ควรใช้
................................ไอเลิฟยูยูก็รู้ว่าพี่รัก................แล้วไยจักมัวอายคล้ายผลักไส
................................แค่มองอายก็รู้หัวอกไอ..........หอบรักไว้มอบยูรู้ยังเธอ
18.. อื่น ๆ เอาไว้นึกได้ค่อยมาต่อเติม ตอนนี้หยุดไว้ก่อน สวัสดีครับ


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตลาดขวัญเรียม มีนบุรี

ก่อนเข้าตลาดชักฮูปก่อน

ตลาดตำนานแห่งความรัก หัวใจกุหลาบแดงนะ
ตลาดน้ำขวัญเรียม
.......๒๘  ตุลาคม ๒๕๖๑ คุณยายธนัญธร สั่งให้แต่งตัวจะพาไปทานข้าวนอกบ้าน ก็ขำ ๆนะนานๆจะได้ยินชวนไปนอกบ้าน เพราะไม่มีรถ เฝ้าบ้านประจำไม่อยากไปไหน ...ก็เอาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จส่องกระจกดูก็เจอตาแก่คนหนึ่งหน้าตาคล้ายเรา ทำไมแก่กว่าเราเยอะเลย เรา 74 ขวบแล้ว ตาแก่ในกระจกคงใกล้ 80 แล้ว ดูไปดูมา ก็เรานั่นแหละ... ไม่ได้ส่องกระจกนานเห็นสภาพสังขารตัวเองก็ตกใจ
......แต่งตัวเสร็จออกมา แม่บ้านปล้ำหมา ทาโร่ กะ คุกกี้ ยายบอกจะเอาหมาไปด้วย ใส่เสื้อ ใส่ห่วงรัดอก ร้อยเชือกจูง หล่อเหมือนหมาเลยนะเอ็ง เราเลยนั่งเปลชิงช้ารอหมาแต่งตัว ทาโรเสร็จก่อน กระโดดมา
นั่งเบียดเราก่อนจะนั่งตัก พยายามจะเลียปากให้ได้ แหมเอ็งทักด้วยการเลียปากนี่พวกหมาเองนั่นแหละ อย่าเอามาใช้กะคน....ก็โดนเคาะกระลาสิ นั่งเรียบร้อยหน่อย ไม่นานคุกกี้ก็แต่งตัวเสร็จมีสายจูงเหมือนกันเลยจูงไปรอที่ประตูใหญ่หน้าบ้านติดถนน ไม่นานลูกสาวก็ขับรถมาเทียบ สองหมาขึ้นท้ายรถมีกรงวางรออยู่ คนนั่งเต็มเก๋งรถกระบะ 4 ที่นั่ง สบายหน่อยแยกหมาไปไว้ข้างหลัง มีแม่บ้านชื่ออาชาน กับลูกชายสอง กำปั้น กับต้น มาด้วย แค่นี้ก็พร้อมระเห็จโดยรถยนต์...สะดวกกว่าสมัยเจ้าฟ้ากุ้งที่ท่านเสด็จทางเรือ
.......ออกจากบ้านเข้าถนนใหญ่เลี้ยวซ้ายเข้าศรีโสธรตัดใหม่วิ่งไปสุดสายเจอถนนจักรพรรดิ เลี้ยวซ้ายอีกที จะพาไปไหนน้า....ผ่านสถานีรถไฟ แยกบางปะกง ไม่เลี้ยวตรงไปทางถนนสุวินทวงศ์ นี่มันทางจะไปกรุงเทพฯนี่นา ผ่านแมคโคร เลยแยกสตาร์ไลท์ ไม่เลี้ยวขวาเคยไปบางน้ำเปรียวแวะตรงนี้ วันนี้ผ่าน ......อาชานบอกถึงตลาดที่ชื่อสุวินทวงศ์พาแวะร้านขายสินค้าจากพม่าด้วย พวกพม่าที่มาทำงานโรงงานต่าง ๆแถวนั้นเยอะ เลยมีคนเปิดร้านค้านำสินค้าจากพม่ามาบริการ อาชานเป็นมอญบ้านอยูเมียววดีใกล้แม่สอด ชอบมาอุดหนุนบ่อย พวกแป้ง ครีม ขนม อาหารแห้ง เราไม่ลงหรอก มีแต่ยายลงไปอุดหนุนช่วยเขา ได้ของแล้วก็เดินทางต่อ ผ่านร้านส้มตำขาประจำนึกว่าจะแวะ หิวแล้วนา ยายบอกเดี๋ยวสิ จนกระทั่งถึงร้านข้าวแกงร้อยหม้อ ทักทายอ้ายเท่ง อ้ายหนูนุ้ย หน้าร้านแล้วก็เข้าไปหาของกินกัน
........ยายสั่งกับข้าวแบบตักใส่ถ้วยมานับดู 7 อย่าง 8 กับน้ำพริกกะปิที่บริการฟรีพร้อมผักสด 2 ถาด ไม่กลัวขาดทุนเลยนะ กินน้ำพริกกะผักก็อิ่มแล้ว แต่กับข้าวเขาอร่อย จนต้องเติมข้าวสวยอีกคนละชาม
ห้าคน อิ่ม สองร้อยกว่าบาท ไม่แพง (ยายท้วงมาว่าจ่ายหกร้อยเชียวนาไม่ใช่สองร้อย)มิน่าลูกค้าเต็มร้าน เสร็จธุระร้านข้าวแกงก็เดินทางต่อ จะไปตลาดขวัญ-เรียม ถามกูเกิลได้ความว่าสถานที่ตั้ง : ริมคลองแสนแสบ ระหว่างซอยเสรีไทย 60 และ ซอยรามคำแหง 187 บริเวณวัดบำเพ็ญเหนือ และ วัดบางเพ็งใต้ เห็นป้ายถนนเสรีไทย 60 เลียวซ้ายไปไม่ไกลก็เห็นป้ายชื่อตลาดขวัญ-เรียม นึกว่าจะไกล เลี้ยวมาก็เจอวัดแล้ว บำเพ็ญเหนือ วัดนี้มั้งรถนักท่องเที่ยวแน่นวัด เร่หาอยู่นานได้ที่จอดตรงข้ามศาลาบำเพ็ญกุศล แดดเปรี้ยงสะใจ จนต้องเอาหมาน้อยลงเดินไปเที่ยวด้วย
                               
                                                  ยายกับหลาน ขอเดินชมตลาดก่อน

......จากที่จอดรถเลี้ยวขวาลงไปทางคลองแสนแสบ มีทางเดินเลียบคลอง เห็นป้ายตลาดน้ำขวัญ-เรียมไม่ไกล ยายกับเจ้ากำปั้นเดินไปหยุดที่ร่มไม้ใหญ่ นั่งอยู่ใกล้ก้อนอะไรสีชมพูคล้ายรูปหัวใจพอมาถึงใช่เขาทำเป็นรูปหัวใจขนาดใหญ่ บอกให้รู้บริเวณนี้เป็นแดนที่มีตำนานรักของขวัญและเรียม ก็ดูดีมีคนเข้าคิวถ่ายรูปกันมากมายเราก็เอามั่งเนาะยาย ถ่ายรูปแล้วก็ชมตลาดต่อ เขาบอกตลาดเปิดให้นักท่องเที่ยวมาชมกันเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ คลองแสนแสบมีน้ำเยอะ เรือวิ่งไปมาได้สะดวกใกล้ตลาดมีเรือสำหรับนักท่องเที่ยวนั่งชมทิวทรรศน์สองฝั่งคลองไป-กลับ บัตรที่นั่งละ 40 บาท
                                         
                                     ชีวิตนี้มีหมานำ ภาษาอีสาน นำ หมายถึงไปด้วย ทาโร่เลยนอนย่ามนำ
....ถามคนแถวนั้นว่าทำไมเรียกตลาดขวัญเรียมยังกะชื่อหนังเพลงมนต์รักลูกทุ่ง เขาบอกใช่ ชื่อขวัญเรียมดูที่ฝั่งวัดบางเพ็ญใต้ต้นไทรเขาปั้นรูปควาย มีหุ่นหนุ่มสาวขี่ควายนั่นชื่อขวัญกับเรียม เรื่องราวตำนานก็แบบที่เล่าในหนังนั่นแหละ หนังเรื่องแผลเก่า นิยายของไม้เมืองเดิมเล่าถึงตำนานรักของขวัญกับเรียม จนคนจำติดใจ เมื่อมีตลาดนัดอยู่ติดสองฝั่งคลองแสนแสบ เลยเอาชื่อขวัญ กับเรียมมาป็นชื่อตลาด ทำให้คนจดจำได้ง่าย... อ้อคลองแสนแสบ เชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยา กับแม่น้ำบางปะกง สมัยก่อนคนไปมาหาสู่กันคงใช้เส้นทางนี้ไม่น้อย แต่เดี๋ยวนี้ถนนหนทางสะดวกนั่งรถสบายกว่า
                                                ขอจูงทาโร่หน่อย จะได้เหมือนนางแบบ
........วันหยุดเช้า ๆ มาทันตักบาตรทางน้ำก็คงแปลกดี เขาจะจัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นสภาพความเป็นอยู่สมัยก่อน พระพายเรือรับบิณฑบาต โยมลอยเรือตักบาตรมั่ง นั่งริมฝั่งก้มตักบาตรบ้าง สมัยนี้ไม่มีจนต้องจัดพิเศษให้ได้ชม เรามาเกือบสี่โมงเช้าแล้ว ไม่เห็นหรอก อีกฝั่งถามเขาบอกว่าศาลขวัญเรียม
ใต้ต้นไทรที่เคยพรอดรักกัน  เคยชมหนังเรื่องแผลเก่าที่ขวัญกับเรียมรักกันปานจะกลืนแต่ที่สุดก็ไม่สมหวัง จนคนสมัยต่อมาสร้างหุ่นคู่กันไว้ที่ศาลต้นไทรขอให้อยู่คู่กันชั่วกัลปาวสาน
.........ตลาดขวัญเรียม วันนี้วันเสาร์ ตลาดมีคนมาเที่ยวเยอะพอสมควร...ในคลองไม่เห็นพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายของ แต่มาอยู่บนฝั่งแทน มีทั้งสองฝั่ง เดินฝั่งเหนือก่อนเนาะยาย จับทาโร่ยัดลงย่ามพาเดินชมตลาด เด็ก ๆมองชอบใจ ทาโร่ไม่สนเพลินชมของกินมากมาย เออจะซื้อให้ไปรถค่อยกินแล้วกัน ลูกชิ้น น้ำจิ้มกับผักไม่ต้องเอ็งกินไม่เป็นหรอก ตลาดเขามีของกินขายเยอะเหมือนกัน ขนมนมเนยก็หลากหลาย เลือกชมได้ตามใจชอบ สาว ๆมองมาแล้วก็ยิ้มให้ รู้น่ายิ้มให้หมาทาโร่ มัน ไม่ได้ซื้ออะไรเดินชมเฉย ๆ แม่ค้าก็รุ่นขวัญกับเรียมโน่นแหละมั้ง สาว ๆไม่เห็นชอบมาช่วยพ่อแม่ขายของมั่งเลย เดินข้ามไปฝั่งใต้ดีกว่า
.......สะพานข้ามคลองแสนแสบ ทำเป็นกระดูกงูท้องเรือสำเภาใหญ่แปลกตาดี ลงฝั่งวัดบางเพ็งใต้ ตรงร่มไม้ที่ขวัญกับเรียมขี่ควายคู่กันไม่ยอมไปไหน รักกันจริงนะพ่อคุณ ก็หุ่นน่ะครับไม่มีใครพรากสองเจ้า
ได้อีกแล้ว เขาทำสวยงามดี มีคนไปจุดธูปเทียนบูชากันเยอะ คนไทยเรามีน้ำใจ เลื่อมใสศรัทธาไม่ยาก
มีม้าแคระรอกินแครอท เขาวางขายใกล้ ๆปากมันนั่นแหละ ตัวอัลลาปาก้าก็กินด้วย แกะก็กิน ใครชอบใจป้อนก็เชิญรับรองมันไม่ปฏิเสธ ใจดีมากเนาะ
                                    สะพานข้ามคลองแสนแสบ ภาพจากกูเกิล ถ่ายเองไม่สวย

.......เดินผ่านไปในตลาด แม่ค้าขายเสื้อผ้า ขนมนมเนย คล้ายฝั่งเหนือแต่ทางใต้จะมีเยอะกว่า มีอาคารร่มรื่น คนเลยเยอะไม่ต้องร้อน ยายรีบจ้ำไปพร้อมกับจูงคุกกี้ไปด้วย ดีหมาแถวนั้นไม่มีเลยไม่ต้องทะเลาะกับหมา ส่วนทาโร่ยังยึดย่ามเราตามเคย เราไปดูอะไรก็ไปด้วย เด็ก ๆ สาว ๆ ยิ้มให้ บางคนก็ชี้ไม้ชี้มือ วันหลังกูไม่เอามึงมาด้วยแล้วทาโร่ เสียเปรียบเอ็ง...เห็นเต่ายักษ์ 3 ตัว บิ๊ก ๆ ทั้งนั้น กำลังกินอาหารสำเร็จ รูป ผักหญ้า วางอยู่ไม่สน สงสัยอยู่ตลาดขวัญเรียมมานาน พัฒนาไปเยอะนะพ่อเต่ายักษ์ทำไมไม่ลอง 
มาม่า ไวไว มั่งหละ เอ๊ะ คงได้ลองแน่ คนเยอะ คงมีพวกชอบโยนขนมให้กิน  อีกกรงคล้ายจิงโจ้สีขาว ๆ ตัวเล็กน่ารัก ถามเอ็งชื่ออะไรมันเงียบเลย ป้ายก็ไม่มี ผ่านไปก่อนแล้วกัน ทางนี้มีแต่ขนม เสื้อผ้า ของเล่นพวกเด็ก ๆ นักท่องเที่ยวไม่มากนัก เดินสบาย ๆ
ตลาดขายของบริการแก่นักท่องเที่ยว

.......เดี๋ยวเดียวรอบตลาดฝั่งใต้ เมื่อยขา กลับมานั่งที่เก้าอี้นั่งเล่นตรงทางเข้าตลาด ยายเห็นเรานั่งก็มานั่งบ้าง เอาน้ำมาแจก ขอหลอดจะให้ทาโร่มั่งมันหิวน้ำ ยื่นมาให้จริง ๆ เปล่าหรอกคนหิวขอดูดก่อน ของแกต้องไปซื้อกาแฟดำเนาะ ข้าดูดกาแฟหมด เหลือน้ำแข็ง เทน้ำเปล่าใส่ แกก็กินน้ำได้ไง ทาโร่ชอบ บอกไม่ต้องใข้หลอดครับ ป๋มใช้ลิ้นตะวัด ๆๆๆ ก็กินได้คุกกี้เห็นทาโร่กินน้ำ ขอลองมั่ง 
.........พลอยช่วยจูงทาโร่ ว่าง ๆ เลยขอเดินชมวัดมั่ง ไปสนใจควาย 3 ตัวกำลังท้องตัวหนึ่ง สนใจหนุ่มทุยเขากำลังงาม ไปลูบหัวเคาะเขาเล่น ไม่ว่าอะไร เลยตักน้ำมารดหัวให้ อากาศกำลังร้องสงสัยจะชอบยืนให้ราดน้ำให้จนเปียกโชก ราดจมูกให้เลียกินใหญ่เลย คงกระหายน้ำ อากาศร้อน...คงเป็นควายวัด แบบมีคนไถ่ชีวิตไว้แล้วเอามาถวายวัด คงไม่ใช่พระไปหาซื้อมาเลี้ยงหรอก บริเวณวัดมีแต่ลานซีเมนต์ ควายคงไม่มีหญ้าให้เล็ม..นี่ก็เห็นหญ้าแห้งกองอยู่  กินแทนฟางมั้ง หญ้าสด ๆ คงยากแหละเนาะ...เล่นกับควายครู่หนึ่งก็เดินไปศาลาใกล้ ๆแค่เดินข้ามถนน เป็นที่ทำทานสาระพัดวิธี ตั้งแต่เซียมซี ขายดอกไม้ธูปเทียน  ดูดวง หยอดตู้ ฯลฯ ทำบุญหยอดตู้ช่วยค่าปฏิสังขรณ์กุฏิศาลา ไปตั้งยี่สิบบาท สะเทือนไปทั่วโลก บุญเยอะ
.........เห็นพลอย แม่ อาชานและเด็ก ๆมารถนานแล้ว ออกรถไม่ได้ ทางคนเก็บตังค์ค่าที่จอดรถไปช่วยโฆษณาหาเจ้าของรถที่ขวางทางออก มาช่วยเลื่อนรถหน่อย นานสองนานค่อยออกได้ ถามว่าไปไหน
ต่อ ไม่มีใครตอบงั้นหลับดีกว่า.... ลืมตาอีกทีเข้าบ้านแล้ว ก็ควรจบได้แหละ ไปเที่ยวตลาดขวัญเรียม 
ภาพรวมก็ดีนะ มีของขายนักท่องเที่ยวมากพอสมควร ของที่ ระลึกโอกาสมาเที่ยวตลาดขวัญเรียม ไม่เห็นมี  มุมถ่ายภาพสวย ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ก็ไม่มี แต่ก็สนุก เดินจนเหนื่อย โอกาสหน้าคงได้ไปอีก เพราะไม่ไกลนี่นา









ยายอิ่มแล้วเลยเมินปลาเผา




เห็นนกกะเรียนคงไม่น้ำลายสอนะ



เห็นรองเท้าไม่ได้อยากซื้อ


อาชานกับลูกชายสอง มาเที่ยวกับยาย

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เขียนถึงยายภา






สงกรานต์ รดน้ำให้เด็ก ๆ เขามาขอพร

..........ได้รับแจ้งว่าทำไมไม่เขียนถึงยายบ้าง ดีแต่เขียนถึงคนอื่น เออเนาะเราก็ชอบทักทายเพื่อนฝูงไปทั่ว แต่ไม่ค่อยทักยายที่นอนอยู่ข้างตัวเลย....ก็เรื่องปกติครับ อยู่ด้วยกันมีความสุขกายสบายใจเราก็สบายใจด้วย เลยไม่ค่อยได้เขียนถึง จนถูกทักนี่แหละ จริงครับวันนี้เขียนถึงยายซะหน่อย
...........ยาย ไม่ใช่แม่ยายที่เป็นแม่ของแม่เรา อ้อไม่ใช่คุณยายที่ลูกสาวยายเป็นภรรยาเรา อ้าว...แล้วยาย คือใครล่ะ อ๋อก็คือยายนั่นแหละ เป็นแม่บ้านแม่เรือนของเรา ให้เกียรติยกย่อนับถือเสมอด้วยเป็นคุณยายนั่นแหละ เลยเรียกยายครับ ยายวิภา ยายนิภา ยายอรภา ยายธนัญธร ได้ยินคนเรียกขานหลายชื่อแต่ก็คนเดียวนั่นแหละ แหมถ้า 4 คนละก็น่าดูสิเนาะ ยายคนเดียวก็สุดยอดแล้วผมมาอยู่กับยายตั้งแต่ปี 2548 ด้วยการมาขอกับคุณยายบุญเติม ท่านก็ใจดียกให้เป็นสมบัติส่วนตัวแต่นั้นมา เอ...ใช่ไหมนี่
...........มีผู้รู้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า ยาย(สมัยเป็นวัยรุ่น) เป็นลูกหลานทางเจ้าเมืองแปดริ้ว เติบโตมาจากจวนข้าหลวง พูดจาฉะฉานตรงไปตรงมา ไม่กลัวใคร แต่ใจดี ก็คงใช่ตามข้อมูลที่ได้รับมา จนทุกวันนี้ยายก็ยังเหมือนเดิมแบบที่ว่านั่นแหละ ที่เปลี่ยนไปคือขาไม่ค่อยจะดี เลยไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรเพราะยังไงก็วิ่งไม่ทันเราหรอก ขนาดหมาน้อยมันเห่าเพราะชอบเย้าหยอกจะตีหัวมันยังวิ่งตามมันไม่ทันเลย
..........ยายวันนี้วัยใกล้ 70 แล้ว โดนดุว่าฉันยังไม่แก่ปานนั้น แหมอีก 8 ปีก็ถึงแล้วน่า สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี รักลูกหลานคงเส้นคงวา ใจดีว่างั้นเถอะใจบุญสุนทาน รอตักบาตรตอนเช้า ดีใจได้ทำบุญ เลยแกล้งพูดให้ได้ยินบ่อยๆว่าทำบุญ 3 ช่องทางนะ ทานสิ่งของ ได้บุญ ทานสิ่งเป็นนามธรรม ได้บุญ  ปฏิบัติศีลได้บุญ ภาวนาอบรมก็ได้บุญ อย่ารอตักบาตรอย่างเดียว บุญน้อยกว่าอย่างอื่น ถือศีลวันเดียวบุญมากกว่าไปทอดกฐินซะอีก ยายก็เถียงว่ามากกว่าตรงไหน แหมไปทอดกฐิน ใส่ซองแค่ร้อยเดียวเอง จะมาสู้ถือศีลตลอดวันได้ไง
......เดี๋ยวนี้ยายฉลาดทำบุญมากนะ ตื่นเช้ามาสมาทานศีลเองก็เป็น ก็แค่พนมมือตั้งใจบอกตนเองว่าวันนี้จะปฏิบัติศีลทั้งวันมิให้ขาด ไม่ต้องท่องคำบาลีหรอกถือว่าสมาทานศีลห้าแล้ว อ้าวไม่ออกปาก รู้ได้ไงว่าศีลห้า แหมอย่างเราถือแค่ห้าข้อแหละ คงไม่กล้าขยับไปแปดข้อหรอก ขนาดตาจำได้หมดนะ 8ข้อ 10 ข้อ แต่ก็ถือเอาแค่ศีลห้า พอสมาทานเสร็จบุญก็มาเป็นระยะ ๆ ตราบที่ศีลไม่ขาด บุญก็มาเรื่อยเลย เห็นไหมดีกว่าตักบาตร ตักเสร็จก็จบ ยายก็ถึงบางอ้อ  เดี๋ยวนี้ขยันสมาทานศีลทุกวัน .....ภาวนามัยเป็นการอบรมให้เกิดสติปัญญา การหลับหูหลับตาบริกรรม ถ้าไม่เกิดสติปัญญาอะไรก็ไม่ได้บุญ...ยายงงทำไมจะไม่ได้นั่งจนขาเป็นเหน็บ ก็เลยขยายความบุญจากการภาวนา เนื่องจาก เป็นการฝึกอบรม ต้องมีผลเกิดขึ้นจึงจะได้บุญ การอบรมสมถ...ผลคือ สมาธิ ฌานสมาบัติ นั่นแหละบุญ  ส่วนการภาวนาที่เป็นการอบรมทั่วไป จะเกิดผลบุญคือสติปัญญา เหมือนไปอบรมวิธีการสอดท่อหายใจช่วยคนไข้หนัก อบรมเสร็จได้ความรู้และทักษะ นั่นแหละบุญจากการอบรมละ
........สวดมนต์ต้องไปสวดห้องพระ เพราะยายมีพระพุทธรูป พระเครื่อง มากพอ ๆกับที่วัดแถวบ้านตา จนจัดห้องพระต่างหาก จุดธูปเทียนไหว้พระหอมคลุ้งเชียวแหละ เห็นแล้วสงสารพระ เลยหาธูปเทียนไฟฟ้ามาให้ บอกว่าใช้นี้แทนดีกว่าพระท่านก็คงชอบเพราะเหม็นควันธูปเทียนมานาน ทีนี้เปิดพัดลมก็เย็นสบายไม่มีกลิ่น พระคงชอบใจน่า...มองหน้าเราอีก คงสงสัยทำไมตาไม่ค่อยไหว้พระในห้อง
........ก็ต้องบอกว่าตาไหว้พระทุกวันที่ตื่นนอนและก่อนนอน แต่การไหว้ด้วยการนึกในใจที่เรียกว่าวิธี
อนุสสรณะ โดยการทบทวนว่าเราเคารพนับถือพระรัตนตรัยและปฏิบัติตามคำสอนพุทธศาสนาเสมอ เพราะพระรัตนตรัยเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา ถ้านับถือพระรัตนตรัยก็จงปฏิบัติตามคำสอนพุทธศาสนานั่นเอง.....คำสอนคือ (สัพพปาปัสส อกรณัง กสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปปนัง)ไม่ทำบาป สั่งสมกุศลและชำระใจให้หมดจดจากกิเลส  โดยการปฏิบัติตามแนวทางของพุทธศาสนาที่เรียก สิกขา 

3 คือ สีลสิกขา จิตสิกขาและปัญญาสิกขา
..........สีลสิกขาก็ศึกษาศีลห้าแล้วถือปฏิบัติตลอดวัน....จิตสิกขาก็ศึกษาจิตให้เข้าใจจิตหม่นหมอง

เพราะอะไร จิตจะผ่องใสมั่นคงได้อย่างไรแล้วฝึกจิตใจ ให้สะอาด มั่นคงมีสมาธิที่ดี....ปัญญาสิกขา ก็ศึกษาปัญญาที่เป็นกุสลปัญญาพยายามสั่งสมเอาไว้ให้มาก ก็ถือปฏิบัติเช่นนี้ก็จะเป็นการปฏิบัติตามแนวทาง ไตรสิกขา ด้วยเหตุนี้การไหว้พระสวดมนต์ ก็เป็นการทบทวน(อนุสรณะ)แนวปฏิบัติไตรสิกขานั่นเอง ทบทวน เช้า และเย็น พอสมควรแล้ว จะอยู่บ้านหรือไปค้าที่อื่นก็ อนุสรณะได้เสมอ ยายก็เข้า
ใจนะ ช่วงปวดขาเดินไม่สะดวกเห็นนั่งบ่นในห้องนอนพึมพัม ๆ อ๋อยายสวดมนต์นั่นเอง
.........ยายเป็นคนรักหมา ก่อนเคยเห็นแกเลี้ยงหมาแบบขังกรง ดุ คนมาเห่ายังกะจะกัด แต่เดียวนี้เลี้ยงแบบปล่อยวิ่งเล่นบ้าง หมามันก็ชอบเล่นกับยายแต่เล็กจนมันโต บางตัววิ่งชนหงายหลังก็บ่อย จนต้องถือไม้เท้าประจำ ตัวไหนดื้อก็โดนเคาะกะลาบ้าง แต่มันไม่กลัวหรอก มีตัวใหญ่ 4 ซนทุกตัว เปิดกรงห้าโมงครึ่ง ปล่อยตลอดคืน เช้าเจ็ดโมงก็วิ่งไปเข้าแถวรอหน้ากรง รอให้ยายไปตรวจแถวก่อนค่อยเดินเข้ากรงให้ยายปิดกรงให้ เลยบอกว่าหมามันรักยายไม่เห็นยายไม่ยอมเข้ากรง เห็นยิ้มใหญ่เลย
........มีหมาพันธุ์ตัวเล็ก 2 ตัว คุกกี้ ทาโร่ ขี้ประจบ ตัวใหญ่เข้ากรงก็ปล่อยได้ตั้งแต่แปดโมงจนเลิกเรียน กลับเข้ากรง สองตัวนี่เลยเป็นของเล่นให้ทุกคนได้อุ้มได้ตีตามใจชอบ ตีแล้วอย่าลืมแจกรางวัลล่ะ ขนม อาหารสำเร็จ อิ่มทั้งวันเลยแหละ เขาปล่อยวิ่งมาหาถึงที่นั่งทำงานอยู่ มาเลียขาจนแสบ สงสัยมันคงเค็มเหงื่อเนาะ เลยเลียใหญ่จนต้องด่าเอาจึงยอมถอย เวลาโดนคนอื่นด่า จะตี ชอบวิ่งมาแอบข้างหลังเก้าอี้เรา เออหมาก็เหมือนคนเนาะ รู้หาที่กำบังภัยถ้าอยากแกล้งยาย พอตัวใหญ่เข้ากรง ลองปล่อยตัวเล็กออกมา มันจะวิ่งหายายจนเจอ ทาโร่เจอยายก็จะเห่าแบบทักทายดีใจพันแข้งพันขา ไม่นานก็จะได้ลูกชิ้น หรือไม่ก็ไก่ย่างเป็นรางวัลที่ประจบเก่ง จนเดี๋ยวนี้ยายไปตลาดหรือไปธุระกลับมาจะมีของฝากติดมือมาเสมอ อย่าไปชิมก่อนล่ะ ของฝากหมายายเขา ไม่ใช่ฝากคน
.........นอกจากรักหมา ยายยังรักเด็ก แม่บ้านเขามาทำงานเข้ามาเย็นกลับช่วงมีลูกน้อยก็ไม่ต้องลาหยุดเลี้ยงลูก ให้เอาลูกมาเลี้ยงด้วย อุปกรณ์ต่าง ๆสำหรับเลี้ยงเด็กอ่อน จัดให้ อู่อย่างดี รถเข็น กระเป๋าอุ้มเด็ก ผ้าอ้อม จัดให้ดูไปก็ขำ ๆยังกะจะเลี้ยงลูกตัวเอง ก็ใช่นะ แม่จะตีลูกยังต้องมองหน้ายายก่อน ถ้ายายอยู่อย่าเชียว โตพอเข้าเรียนก็พาไปฝากเข้าเรียน จัดอุปกรณ์การเรียนให้ดูเหมือนจะรักเด็กมาก ๆนะยาย
.........ยาวไปแล้วนะยาย ยังมีอีกเยอะที่ไม่ได้เขียนถึง เอาไว้คราวต่อไปค่อยเอามานินทาอีก แค่นี้ก็นอนหลับแล้วแหละเนาะยาย... สวัสดีจ้า


เอาภาพหมามาลงก่อน เดี๋ยวขอยายก่อนมีภาพอะไรบ้างมาเพิ่มทีหลังแล้วกัน 


                                                      คุณบั๊ก น้องชายยายให้มา ชื่อเดิมเขา
       

คุกกี้ หมาตัวโปรด 



                                                                       ทาโร่ ขี้ประจบ              




ซูการ์ 



ซู่ซ่า ลูกซูการ์ 


บึ๊ก แม่เขาเป้นหมาประจำบ้านมาก่อนใคร

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561

คุยโตโอ้อวด


ไปเยี่ยมชมวิหารเซียนพัทยา ชลบุรี
  ลูกสาวคนเล็ก หมู นัฐพล กับศิริกัญญา ลูกครูนก นกลูกสาวคนโต 
                                                                 และเราถ่ายภาพเซลฟี




......ผมเป็นคนขี้อวดว่าตัวเองเรียนเก่ง เลยโดนกระแหนะกระแหนว่าเก่งจริง หรือแค่โม้ เลยต้องเตือนตัวเองเสมอว่าจะศึกษาเล่าเรียนอะไรให้ตั้งใจเรียนให้มาก กว่าปกติ เรื่องนี้เกิดเมื่อปี 2498 สอบไล่ป.4 ข้อสอบกลางของอำเภอ คะแนนสูงสุด คนที่คะแนนรองก็เพื่อนกัน เขาให้ทุนเรียนต่อมัธยม 6 ปี เสียดายครอบครัวย้ายจาก บ้านเกิดไปอยู่จังหวัดอุดรธานี ผิดเงื่อนไขรับทุน ที่ 2 เลยรับแทน ทราบว่าได้เรียนต่อ จนจบ ป.กศ.สูง โชคดีไป ส่วนเราพ่อคงสงสารส่งให้เรียนจนจบ ม. 6 ความอวดเก่ง ยังไม่หมดเชื้อ สอบได้ที่ 1 ตลอด 6 ปี สมัยนั้นมี 3 เทอม ครองทอปทุกเทอมแหละ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ขี้โม้โอ้อวดได้ไง... .
........จบ ม. 6 อายุ 16 ปีบริบูรณ์ ย่าง 17 ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนทหารกองเกิน เพื่อนไปสอบบรรจุเป็นครูประชาบาล พนักงานเกษตรตำบล เราจบ ม.6 จากโรงเรียนเกษตร มีสิทธิ์ทั้งสองอย่าง ขาดแต่อายุ 18 
ปีบริบูรณ์ถึงสอบบรรจุได้ ก็อกหักสิ เพื่อนไปสอบ ได้บรรจุกันหมด เหลือคนเก่งเคว้งอยู่บ้านคนเดียว เรียนต่อเขาให้โควต้า บางพระ 3 แม่โจ้ 3 เรามีสิทธิ์เลือกก่อน แต่พ่อไม่มีทุนจะส่งให้เรียน ก็ทำเกษตร
ที่บ้าน แทน ทำไร่ทำนาน่ะ โดนเพื่อนบ้านเยาะเย้ยถากถาง พูดไม่ออก เขาบอกว่า เรียนไป ก็แค่นั้น
ไม่ได้ทำการทำงานอะไรหรอก เสียเงินเสียเวลา บางคนถึงกับให้ลูกออก เมื่อเรียนไปแค่ ม.3 เจ็บใจ
นะแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันจริงแบบเขาว่า 
........ปี 2504-2510 ช่วงนี้ตกงานอยู่บ้านได้รับคำนินทาเยาะเย้ยจนถือเป็นเรื่องปกติก็หันมาศึกษาวิถี
ชีวิตพื้นบ้าน ต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่แบบชาวบ้านเข้าได้ ลูกผู้ชาย ต้องทำอะไรเป็นบ้าน โอกาสฝึก
ช่างฝีมือต่าง ๆที่ละเลยไป 6 ปี ที่เรียนต่อ รีบซ่อม เสริมให้ครบ เช่นการถักทอ ฟั่นเชือก ถักทอสวิง 
แห เครื่องจักสานทุกชนิด ทำ ได้ดีด้วย ขยันด้วย จนคนที่เคยเยาะเย้ยถากถางต้องประเมินกันใหม่ 
เพราะเป็นหนุ่ม ที่มีวิชาความรู้สามัญ ด้วยขยันทำมาหากินแบบหนุ่มชาวบ้านด้วย อย่าเลย รู้ทันน่า
เจอเราคุยแต่เรื่องลูกสาวให้ฟัง มันขยัน มันเก่ง....555
........ปี 2510 พ่อแม่ขอให้บวช 1 พรรษา ออกพรรษาจะจัดแต่งงานให้ คงเห็นเราชอบพูดคุยกับสาว
ที่ทำนาติดกัน สาวเจ้าก็ขยันเกินขุดดินทำคันนาเก่งกว่าราอีก จับ คันไถไถนาก็เก่ง ลงดำนาได้แต่
เช้ายันเย็น ใครก็อยากได้เป็นสะใภ้ แม่ว่าถ้าแกได้ เมียแบบนี้รับรองไม่อดตาย แต่เราเฉย ๆ ก็เคย
คุยกันแบบคนรู้จักกันเฉย ๆ พอบวชกลับ ติดลมเพราะชอบการศึกษาเล่าเรียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สอบได้ทุกปี นักธรรมตรี โท เอก เปรียญ 2-3-4 แถมสอบเทียบ พ.กศ. และ พ.ม. ได้อีก เลยต้องสึก
ออกมา สอบบรรจุเป็นครูปี 2516 อ้อเป็นครูโรงเรียนมัธยมครับ เขาให้สอนวิชาศีลธรรม .
........ปี 2518 สอบศึกษาต่อ กศ.บ.ตั้งใจจะสอบคณิต-วิทย์ อ่านตำราเข้าใจยาก ไปสมัครสอบเอก
ภาษาไทย ปรากฏสอบได้ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะเรียนภาษาไทย ไหน ๆก็สอบติดแล้วก็เลยเรียนภาษา
ไทย คะแนนสอบต่ำมาก โปรไฟล์วิชาชุด พ.ม. ภาษาไทยสอบได้ 53 %คะแนนสอบคัดเลือกภาษา
ไทย อันดับ 39 จาก จำนวน 40 คนที่รับ อาจารย์แนะแนวเรียกไปพบและแนะนำให้ขยันศึกษาเล่า
เรียน ขอบคุณอาจารย์แนะแนว เพราะทำให้เราตื่นตัวเลิกคิดว่าตัวเองเก่ง ผลก็คือได้ เกียรตินิยม
พ่วงท้าย กศ.บ.(เกียรตินิยม) แบบนี้ไงโก้มากนา
..........จบเอกภาษาไทย ถามว่าสอนภาษาไทยใช่ไหม เปล่าเลยโรงเรียนเขาให้สอน ศีลธรรมตั้ง
แต่แรกบรรจุแล้ว จบเอกไทยก็ตามครูภาษาไทยเยอะแยะ แต่ครูศีล ธรรมไม่มีครูสังคมก็ไม่อยาก
สอนศีลธรรม มีครูจบเปรียญ 2 คน นักเรียน 46 ห้อง แบ่งคนละครึ่งสอนศีลธรรม ภาษาไทยก็ใส่ลิ้น
ชักไว้ .
..........หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทยย้ายเพื่อนครูขอให้รับหน้าที่หัวหน้าหมวด วิชา ก็รับไว้จนกว่า
เขาจะหาคนได้ เพราะเราทำหน้าที่ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการอยู่ เกือบ ปี ถึงมีครูจบปริญญาตรีกลับมา 
ก็มอบหมายให้เขารับไป ช่วงที่รับหน้าที่หัวหน้า หมวดวิชาได้ช่วยสอนวิชาวรรณคดีไทย 6-10 
ชั่วโมง สอนกิจกรรมชุมนุมร้อยกรอง รับเด็ก ม. 1 เพียง 12 คน เพื่อทดลองบทเรียนร้อยกรองเรื่อง
กาพย์ ยานี ๑๑ และกลอนแปด ผลเกินคาด เด็กแต่งกาพย์กลอนได้รวดเร็ว ถูกฉันทลักษณ์  ดูใจ
ความดี ส่งแข่งกลอนสดกับพวก ม.ปลาย ได้ รองชนะเลิศ เด็กไม่พอใจเพราะ กลอนที่ชนะเลิศมี
ข้อบกพร่องมาก ต้องปลอบใจด้วยพาไปเลี้ยงข้าวก่อนพากลับ
............กรรมการตัดสินกาพย์กลอน ควรมีความรู้เชี่ยวชาญพอสมควร จะได้ ตัดสินได้ถูกต้อง บท
กลอนที่ให้ชนะวันนั้นมีทั้ง สัมผัสเลือน สัมผัสลัด ละลอกทับ ละลอกฉลอง ดีอย่างเดียวคือใจความ 
เด็กเรายังรู้เลยว่าบกพร่องอย่างไร ทำไม กรรมการไม่รู้ เราก็ไม่กล้าท้วงเดี๋ยวจะเป็นการหักหน้า
กรรมการที่เรียกผู้ทรงคุณวุฒิจากอุดมศึกษา
............ฝึกเขียนร้อยกรอง สนใจฝึกจริงจังเมื่อจบ กศ.บ.(เกียรตินิยม)ถึงไม่ได้สอนภาษาไทย ก็
ควรมีผลงานภาษาไทยไว้อวดเขาบ้าง แรก ๆ เขียนกาพย์ยานีเล่น ๆ เอานิทานโจ้กพื้นบ้านมาแต่ง
ราวสามสิบเรื่อง พิมพ์ใส่คอมไว้ เพื่อน ๆมาอ่านเล่นขอ ปรินท์ไปอ่านกัน ขอให้ทำเป็นเล่ม ไม่กล้า
ทำหรอก เดอร์ตี้โจ้กทั้งนั้น ที่สุดก็หาย ไปหมด เหลือแต่นิทานธรรมดา ๆ อย่างอีสป 100 เรื่องเป็น
ต้น จากกาพย์ก็กลอน ชอบเขียนเป็นนิราศ ยาวเกิน 100 บทกลอนทั้งนั้น เช่น นิราศสมุย นิราศไทร
โยค นิราศดอยอ่างขาง โคลงก็ชอบเขียนเช่น นิราศภูกระดึง นิราศเมืองเหนือ ในที่ สุดเลยมีผลงาน
ที่เขียนเป็นร้อยกรองมากมาย 
............มีเทคนิคอะไรไหมที่จะทำให้เราเขียนคำร้องกรองได้ดี ตอบไม่ยากแต่ทำอาจยากหน่อย 
ร้อยกรองทุกชนิดเหมือนกันหมดคือ เขียนมาก ๆ จะเกิดความถนัด ไม่ติดขัดเมื่อจะแต่ง อย่าคิดพึ่งพรสวรรค์ถ้ารู้ว่าเราไม่มี พรขยันชนะพรสวรรค์ได้เชื่อเถอะ ผมฝึกแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน แต่
ละชนิดต้องเกิน 1000 บท ถึงจะเชื่อว่าตัวเองแต่งได้ ณ วันนี้เกินกำหนดที่ตั้งไว้แล้วทั้งหมด เลยคุย
โม้ได้ว่าแต่งคำร้อยกรองได้ทุกชนิดไม่มีติดขัด 
...........มีผลงานเผยแพร่บ้างไหม คงหมายถึงพิมพ์เผยแพร่ ไม่มีหรอก ที่เผยแพร่ทางเวบไซท์ ทาง
เฟซ พอมีบ้าง จะพิมพ์เป็นหนังสือคงได้หลายสิบเล่ม(เรื่อง) เอาไว้ให้ลูกหลานเขาอยากทำเลือก
ไปทำแล้วกัน เพราะส่วนตัวเองแล้วไม่พิมพ์หรอก เพราะ ค่าใช้จ่ายจัดพิมพ์ไม่มี พิมพ์ก็คงพิมพ์แจก 
ขายไม่ออกหรอก สมัยนี้คนอ่านร้อยกรองแนวโบราณหายาก งานเขียนที่แต่งด้วย กาพย์ กลอนโคลง
และฉันท์ มีมากจนจำไม่ได้ จะจดจำได้ก็พวกที่อัพโหลดไปไว้ที่เวบไซท์ อยู่ในคอมนับไม่ถ้วน เอา
มาให้ดูแล้วกัน
---------------------------
เวบขุนทองเขียนกาพย์กลอน ข้อเขียนร้อยกรองเยอะมาก
http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/2.html
เวบขุนทองเขียนร้อยแก้ว ตั้งใจจะรวมเรื่องเล่าต่าง ๆแต่มีร้อยกรองแทรกอยู่บ้าง
https://mykht.blogspot.com/
เวบขุนทองเว้าพื้นบ้าน เนื้อหาตามนั้น แต่มีร้อยกรองปนอยู่นิดหน่อย
http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/26.html

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เล่าเรื่องกาพย์ยานี



ไปหาซื้อขนมตาล น้ำตาลสด หมู่บ้านตาลสด บางคล้า เจอตลาดนัดที่วัดปากน้ำโจ้โล่ 
เห็นโบสถ์สวยดี ถ่ายรูปไว้ดูเล่นครับ


ล่าเรื่องกาพย์ยานี

........กาพย์ หมายความถึงคำพูด ถ้อยคำ อย่างที่ผู้เฒ่าพูดคุยกัน "เป็นกาพย์เป็นกลอน" พจนานุกรมไทยก็ให้ความหมายไว้ว่า
.......กาพย์ น. คําร้อยกรองประเภทหนึ่ง มีหลายชนิด เช่น กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ยานี กาพย์ขับไม้. (ส. กาวฺย).กาพย์กลอน น. คําร้อยกรอง.
.........รู้จักกาพย์ จากหนังสือเล่มเล็ก ๆ ในงาน "งันเฮือนดี" เป็นสำนวนอีสาน กาพย์ปู่ สอนหลาน กาพย์พระมุนี กาพย์-ผญา อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะไม่มีความรู้เรื่องคำ ร้อยกรองอีสาน ก็ได้รู้ว่ามีคำกาพย์อีสานมาแต่โบราณ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ศึกษาจริงจัง แค่ รู้จักว่ามีกาพย์อีสานมานานแล้ว เท่านั้นเอง
..........จะคุยเรื่องกาพย์ แบบเล่าประสบการณ์จากการแต่งกาพย์ ไม่ใช่ตำรานะขอออกตัว ไว้ก่อน ดังนั้นเลยไม่ค่อยจะมีหลักเกณฑ์หรอก ว่ากันทื่อ ๆไปเลย เนาะ ผมแต่งกาพย์ยานี 11  ก่อน กาพย์อย่างอื่น เพราะใช้คำประหยัด แค่บาท ละ 11 คำ สองบาท 22 คำ ก็ได้ 1 บทแล้ว ใช้คำน้อย น่าจะเหมาะกับคนขยันน้อยอย่างเรา โตจนเป็นครู โท แล้วยังแต่กาพย์ กลอนไม่เป็น บรรจุใช้วุฒิ พม. เขาให้สอนศีลธรรม เหมา ม.ต้น 18 ห้อง ส่วน ม.ปลายยก ให้เพื่อนอีกคน มหาเปรียญ 6 ไป เรา แค่ เปรียญ 4 รับ ม.ต้น ดีแล้ว นี่แหละทำให้ไม่สนใจเรื่อง กาพย์กลอน เอาแต่เทศน์ให้เด็กฟังทุกวัน
.........ต่อมาสอบไปเรียนต่อได้เอกภาษาไทย จบมาเขาให้สอนภาษาไทย วิชาที่คนอื่นไม่ชอบ วรรณคดีไทยนั่นไง เลยเป็นความจำเป็นต้องสอนร้อยกรองไปด้วย ต้องอ่าน ทบทวน กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ หยิบกาพย์ยานี 11 ก่อน ฝึกด้วยการเขียนลงกระดาษข้อสอบเก่า อยู่ห้อง วิชาการ เครื่องโรเนียวมีกระดาษเขาทิ้งเป็นกล่อง ๆ นานทีมีพ่อค้ามาขอซื้อ เราเลือก ที่มันพอ ใช้ได้มาเย็บ 10-20 แผ่น เอาไว้เขียนเล่น ก็สนุกดีนะ ลงมือฝึกจริงก็พอเขียนได้
..........เขียนบทเรียนสำเร็จรูปการแต่งร้อยกรอง ทำเป็นภาคนิพนธ์ส่งครูวิชาการประพันธ์ ที่ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ใช้กาพย์ยานีเป็นหัวข้อเรื่อง เขียนจนกระทั่งว่ากาพย์ยานี 11 ปากเปล่าได้ จบมาเอามาใช้กับนักเรียน ม.1 เด็กสามารถโต้วาทีด้วยกาพย์ได้ เป็นเด็กชุมนุมร้อยกรอง มีสมาชิก 12 คน ขอหมวดวิชาภาษาไทยเขาให้จัดเด็ก ม.1 ให้ อ้อเราเป็นผู้ช่วยฝ่ายวิชาการครับ ไม่ต้องสอนกิจกรรมอะไรก็ได้ แต่อยากลองวิชา ผลเกินคาด เล่นกาพย์เบื่อ ขอกลอน ครูภาษาไทย มาเห็นชอบใจ เขามีกิจกรรมทางวิชาการระดับจังหวัด มีรายการโต้กลอนสดด้วย เราส่งเด็กไปแข่ง ม. ต้นได้เหรียญทอง ครูภาษาไทยไม่ได้ส่งทีม ม.ปลาย มาขอเด็กเราไปลงแข่ง เด็กเราไม่กลัว ม.1 สู่กับ ม.5-6 ได้รองชนะเลิศก็ดีใจมากแล้ว
........มัวแต่โม้เนาะ เมื่อไรจะถึงกาพย์ยานี ซะที ขออภัย นิสัยเดิมกำเริบ แต่งกาพย์ก็ต้องรู้แผน ผังบังคับก่อน แล้วแต่งตาม จะรู้จากไหนล่ะ เปิดตำราก็ได้ แต่ผมไม่เปิดหรอก ไม่มีหนังสือส่วน ตนเอง ไปห้องสมุดก็อยู่ห่างไป เลยใช้บทท่องจำใช้สอบวิชาชุดครู ยังจำได้อยู่ 

..........วิเคราะห์ แจกแจงดู ยานี 11 จำนวนคำที่ ใช้ วรรคอยู่แถวหน้า 5 คำ แถวหลัง 6 คำ วางรูปแบบบรรทัดละ 1 บาท 2 บาทเรียก 1 บท ตัวอย่างที่ยกมามี 3 บท ชื่อยานี 11 มาจาก จำนวนคำในแต่ละบาทนั่นเอง 
...........สัมผัสบังคับ บทหนึ่งมีสองแห่ง คือ (1)คำท้ายวรรคที่ 1 ส่งให้คำที่ 3 ในวรรคที่ 2 และ(2)คำท้ายวรรคที่ 2 ส่งไปให้คำท้ายวรรคที่ 3 บังคับแต่ละบทมีแค่นี้
..........แต่ยาวกว่า 1 บท ต้อง มีส่งต่อจากบทแรกไปยังบทถัดไป โดยคำท้ายบทแรก ส่งไปให้ คำท้ายวรรคที่ 2 บทถัดไป ส่ง-รับแบบนี้ไปเรื่อยจนจบความ แบบนี้ไง


                                     

............รู้แผนผังบังคับแล้วก็แต่งได้ แต่เพราะไม่เพราะอีกเรื่องหนึ่ง เพราะการแต่งกาพย์เพราะมีเรื่อง
ต้องรู้เพิ่มอีกคือความร่ำรวยถ้อยคำ นึกหาคำ ไหลมาไม่หยุดยังกะน้ำลำธาร ใช้ได้ และเรื่อง
จังหวะ สัมผัสนอก และสัมผัสใน เนื้อหาสำคัญก็จริงแต่ไม่มีวิธีแนะนำ ต้องหาประสบการณ์เอง
อ่านมาก ๆ จะได้แนวคิดพัฒนาเนื้อหา ส่วน 3 เรื่อง พอจะบอกกันได้
........จังหวะกาพย์ยานี วรรค 5 คำ จังหวะ 2 - 3 เพราะกว่า 3-2
.........วรรค 6 คำ 3 - 3 เท่านั้น อย่างอื่นไม่เพราะ
.........สัมผัสนอก ก็ให้ตรงตามแผนผังบังคับ ดีที่สุด อนุโลมได้ไหม วรรค 1 ไปวรรค 2 กำหนด
คำที่ 3 รับ เคยเห็น คำที่ 1-4 คำใดคำหนึ่งรับสัมผัส ได้ แต่ใช้คำเดียวนะ มีมากกวา 1 ไม่ได้เขา
เรียกสัมผัสเลื่อนเปื้อน ไม่ดี
.........สัมผัสใน มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ส่วนมากอยากใส่สัมผัสใน เพราะคิดว่าจะช่วยให้เพราะ
มากขึ้น ก็ไม่ผิดหรอก แต่ใส่ให้เป็น สัมผัสในที่เป็นสัมผัสพยัญชนะ(สัมผัสอักษร) ไม่ค่อยมีปัญหา
ใส่ได้ใส่เข้าไป แต่สัมผัสในที่เป็นสัมผัสสระ ต้องระวัง อย่าให้เสียงไปซ้ำกับสังผัสบังคับเข้า ทำ
ให้กาพย์ชำรุดเสียหายได้
........น่าจะพอแล้วนะหลักเกณฑ์ของกาพย์ยานี 11 มาดูตัวอย่างกาพย์ยานี แบบต่าง ๆ ดังนี้
.........1. แต่งกาพย์ยานี 11 วรรคหน้า 5 คำ หลัง 6 คำ จดจำมาแค่นี้ ลุยเลย ได้กาพย์แบบนี้
..............กาพย์ยานีกำหนด...............จดจำบังคับแผนผัง
............สิบเอ็ดคำระวัง......................ใส่ให้ครบครันจึงดี
.............กาพย์อ่านจังหวะ 2-3 และ 3-3 วางคำคร่อมจังหวะ อ่านยาก จนไม่อยากอ่านอย่าลืม
จังหวะกาพย์สำคัญไม่น้อย
..........2.แต่งกาพย์ไม่เคร่งฉันทลักษณ์
............ลองแต่งกาพย์ยานีสิบเอ็ด..............ให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง
............ห้าบทหนาอย่าโกง.........................สบายสบายไม่ต้องกังวล
.......การนับคำในร้อยกรอง นับเสียงพยางค์เท่ากับหนึ่งคำ ถึงจะอนุโลมได้บางคำ ก็ไม่ควรใช้บริการ
พรรษายังน้อย ว่าตามกฏข้อบังคับไปก่อน แก่พรรษาแล้ว แต่งผิด คนเห็นยังว่าเป็นแบบใหม่...55
..........3. สัมผัสในแพรวพราว
..............แต่งกาพย์ซาบซึ้งถึง................คะนึงครวญรวนเรเสน่หา
............ถึงคนรักสลักจิตสนิทอุรา.............แก้วกานดาอย่าลืมปลื้มเปรมใจ
.........สัมผัสในช่วยให้อ่านเพราะก็จริง แต่ก็ทำให้ใจความเป๋ไปได้ง่ายเหมือนกัน ใช้ให้เป็น
........ติโน่น เตือนนี่ แบบครูคนอื่น ๆน่าแหละ แต่งให้ดูบ้างสิ มีน้ำยาแค่ไหน อันนี้พูดแทนคน
ที่อ่านแล้วหมั่นใส้ ครับผม จะแต่งให้อ่านดู เอาเรื่องมีสาระหน่อยแล้วกัน การนับถือพุทธศาสนา....
...........กระผมเป็นชาวพุทธ...............จิตพิสุทธิ์สรณัง
.......ไตรรัตน์จงเจตน์ตั้ง.....................เป็นที่พึ่งถึงโดยคุณ
........สัพพะปาปัสสะ..........................บาปจักละมิใช่บุญ
.........ทำให้เกิดเรื่องวุ่น.....................พลอยกังวลหม่นหมองใจ
.........กุศลสัมปทา.............................ทำมากพาจิตสดใส
.........อิ่มเอมเปรมหทัย......................จิตผ่องแผ้วปราศนิวรณ์
.........สามเรื่องพุทธศาสตร์................ที่ปวงปราชญ์รับคำสอน
.........สืบทอดทุกบทตอน...................อนุศาสน์มานับนาน ฯ
........พอแหละเนาะ กาพย์ยานี เอาไว้เขียนกาพย์อย่างอื่นมั่ง ...


ขุนทอง ศรีประจง 
22-ส.ค.-61 

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หัดแต่งกาพย์



.......วันนี้ 28 มิถุนายน 2561 อยากเล่าประสบการณ์การแต่งกาพย์สู่กันฟัง โดยเฉพาะท่านที่ชอบอ่านบทร้อยกรองที่กระผมเขียน ซึ่งแต่งด้วยกาพย์มาก กว่าร้อยกรองชนิดอื่น บททักทาย อวยพรวันเกิด บันทึกเรื่องราว ชอบใช้กาพย์ มากกว่าโคลงกลอน สาเหตุเพราะถนัด โดยเฉพาะกาพย์ยานี กาพย์ชนิด อื่น ๆ ก็แต่งบ้างแต่ไม่มาก


.......แต่งกาพย์ก็เหมือนร้อยกรองชนิดอื่น ๆ นั่นแหละ สิ่งแรกคือจดจำแผน ผังบังคับ บทกาพย์ยานีที่ช่วยผมจำแผนผังบังคับได้ดี...ได้แก่
.......พระเสด็จโดยแดนชล.........ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
........กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย.......พายอ่อนหยับจับงามงอน ฯ
........ทบทวนแผนผังบังคับจากบทนี้ บทหนึ่งมี 2 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรควางข้างหน้า 5 คำ ข้างหลัง 6 คำ รวมวรรคหน้า + หลัง บาทละ 11 คำ เวลาอ่านจังหวะจะเป็น 2-3 และ 3-3 เช่นนี้ทุกบาท สังผัสนอกคือบังคับว่า.....
........สัมผัสบังคับ คำท้ายวรรคที่หนึ่ง ส่งให้คำที่ 3 วรรคที่ 2
........สัมผัสบังคับ คำท้ายวรรคที่ 2 ส่งสัมผัสห้ำท้ายวรรคที่ 3 จบบังคับ
........คำท้ายบทจะส่งสัมผัสให้บทถัดไป ตรงคำท้ายวรรคที่ 2
........ข้อสังเกต วรรคที่ 3 และวรรคที่ 4 ไม่มีบังคับสัมผัสแบบกลอนแปด
........ความไพเราะของกาพย์ยานี นิยมใช้สัมผัสในช่วย ตัวอย่างที่ยกมาจัด
เป็นกาพย์ที่แต่งได้ไพเราะมาก
.........1..วรรคที่ 1 สัมผัสพยัญชนะ ด 3 คำ
.........2. วรรคที่ 2 สัมผัสพยัญชนะ ฉ 2 คำ
.........3. วรรคที่ 3 สัมผัสพยัญชนะ ก 2 คำ พยัญชนะ พ 2 คำ และมี
สัมผัสสระเสียง แอว 2 คำ
........4. วรรคที่ 4 มีสัมผัสเสียงสระ อับ 2 คำ สัมผัสพยัญชนะ ง 2 คำ
........หมายเหตุ สัมผัสในที่เกิดมากมายเช่นนี้ มิใช่กฏหรือข้อบังคับ แต่เป็นรสนิยมของผู้แต่ง ท่านทราบกาพย์ยานี จะมีความไพเราะมากขึ้น ถ้า
........มีสัมผัสใน ประเภทสัมผัสพยัญชนะ มากกว่าสัมผัสสระ
........เสียงท้ายวรรคในบทหนึ่ง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติ การอ่านทำนองเสนาะจะคล่องรื่นไหลดี ถ้าวรรคที่ 2 ลงด้วยเสียงสูง โดยเฉพาะเสียงจัตวา วรรคอื่น ๆส่วนมากมักเป็นเสียงสามัญ ส่วนเสียงอื่นก็มีบ้าง
.........ลองแต่งกาพย์ยานี..........บังคับมีตามแผนผัง
.........สิบเอ็ดคำระวัง................แต่งให้ครบตามกระบวน
.........แต่งให้ครบจำนวนคำตามแผนผัง ไม่ได้นึกถึงความไพเราะ ได้สัมผัสในคู่เดียวคือ แผนผัง คำมันบังคับเสียง ผ 2 คำ จะลองเสริมสัมผัสในเพิ่ม
..........กรองกานท์กาพย์ยานี.......คำควรมีพบแผนผัง
..........สิบเอ็ดพากเพียรยัง...........ลงคำครบจบกระบวน
..........เสริมสัมผัสในมีทุกวรรค อ่านรื่นมากขึ้น เลยได้ข้อสรุปว่าแต่งกาพย์ยานี ต้องรู้จังหวะการอ่านออกเสียงของกาพย์ ตือ 2-3 และ 3-3 อย่าให้มีคำคร่อมจังหวะ เพราะจะอ่านสะดุด เช่น
..........พระเสด็จโดยแดนชล พระเสด็จ 3 พยางค์ แต่มีสองคำ เสด็จพยางค์แรกเสียง ลหุ ลงจังหวะกาพย์ 2 คำ เลยไม่ติดขัด
..........พระดำเนินโดยทางเรือ ดำ ถือเป็นลหุจริง แต่เสียงหนัก ทำให้คร่อมจังหวะต้องอ่าน พระดำ...เนิน โดยทางเรือ กลายเป็น 6 คำ ผิดฉันทลักษณ์วรรคหน้า 5 คำ จังหวะ 2+3
...........กาพย์ยานีสิบเอ็ด...........คำ กาพย์ยานี คร่อมจังหวะ 2+3
...........เฉลิมขวัญวันเกิด............คำ เฉลิมขวัญ อ่านแยกไม่ได้ คร่อมจังหวะ
...........สดุดีราชัน....................คำ สดุดี คร่อมจังหวะ
...........จากตัวอย่างจะพบว่า จำนวนคำวรรคหน้ากำหนดให้มี 5 คำ/พยางค์กาพย์ยานีสิบเอ็ด เฉลิมขวัญวันเกิด และคำ สดุดีราชา จำนวนคำครบตามบังคับแต่อ่านจังหวะ 2-3 ไม่รื่นติดจังหวะต้องอ่านฉีกคำ กาพย์ยา...นีสิบเอ็ดเฉลิม...ขวัญวันเกิด สดุ...ดีราชา อ่านได้แต่ดู ตลกดี จัดคำลงให้พอดีกับ
จังหวะจะอ่านเพราะกว่า
...........นับคำกาพย์ยานี อ่าน 2-3 ได้
...........เฉลิมวันเกิดนุช...เฉลิมอ่านลำพังไม่ต้องพ่วงคำขวัญ
...........ราชันสดุดี..........อ่าน2-3 ได้
...........กรณีวรรคหลังกำหนดมี 6 คำ จังหวะ 3-3 ก็ควรเลือกคำลงให้พอดีถ้ามีคำคร่อม ก็จะทำให้อ่านสะดุด ไม่เพราะ เช่น
...........กระบวนจะยาตรา.........มหากษัตริย์ดำเนิน
...........ชลมารคพระก็เพลิน......ชมปลาชมนกมากมี
...........ปลาชะโดสวาย.............ปลากรายปลาเค้าแปลกสี
...........ปลาสลาดกระดี.............ปลาเสือปลาแรดกดคัง
...........จำนวนคำใส่วรรคหน้า 5 วรรคหลัง 6 บังคับสัมผัสก็ตามแผน แต่อ่านยังไงก็ไม่เป็นกาพย์ยานี 11 ให้ เพราะจังหวะคำวางไม่ดีนั่นเอง ลองปรับจังหวะให้เป็น 2-3 และ 3-3 ดู
............กระบวนจะยาตรา อ่าน 2- 3 ได้.....ขัตติยาจักดำเนิน อ่าน 3-3 ได้
............ชลมาร์คพระเพลิดเพลิน อ่าน 2-3 ได้ ปรับคำนิดหน่อยให้สัมผัส พ
.............มัตสยานานามี อ่าน 3-3 ได้
.............ชะโดแลสวาย อ่าน 2-3 ได้
.............งามปลากรายเค้าหลากสี อ่าน 3-3 ได้
.............สลาดปลากระดี่...อ่าน2-3 ได้
.............แรดกดคังโน่นเสือปลา อ่าน 3-3 ได้
.......กระบวนจักยาตรา................ขัตติยาจักดำเนิน
.......ชลมาร์คพระเพลิดเพลิน........มัตสยานานามี
.......ชะโดแลสวาย.....................งามปลากรายเค้าหลากสี
........สลาดปลากระดี่..................แรดกดคังโน่นเสือปลา
........พอจัดคำลงจังหวะได้ อ่านก็เป็นกาพย์ยานี 11 ได้ทันทีเหมือนกัน แสดงว่าจังหวะของกาพย์ยานี 11 สำคัญไม่น้อย เวลาฝึกแต่ง นอกจากจะจดจำจำนวนคำแล้ว ยังต้องรู้จังหวะแต่ละวรรคด้วยจะช่วยให้กาพย์ อ่านง่ายขึ้น
.........สรุปสาระจากเรื่องที่นำเสนอคือ แต่งกาพย์ยานี 11 ทุกบาทมีจังหวะเป็น2-3 และ 3-3 คล้ายกันตลอด ผู้ฝึกแต่งควรวางคำให้ตรงจังหวะการอ่านด้วย จะช่วยให้กาพย์ที่แต่งอ่านคล่องมากขึ้น กาพย์จะอ่านเพราะถ้ามีสัมผัสในย จะใช้สัมผัสสระก็ดี สัมผัสพยัญชนะ ก็เพราะ กวีที่แต่กาพย์ยานี อ่านเพราะมาก ๆ พบว่าท่านนิยมสัมผัสในเป็นสัมผัสพยัญชนะมากกว่าสัมผัสสระ......... ดูกาพย์อย่างอื่นมั่ง

ลองแต่งกาพย์สุรางคนางค์

.......ผมใช้วิธีเดิม ๆ ครับ คือหาบทกาพย์ที่จำได้มาศึกษาแผนผังบังคับ เคยดูแผนผังกาพย์สุรางคนางค์ จะมี 4 บรรทัด บรรทัดแรกวางไว้วรรคเดียว ที่เหลือวาง 2 บรรทัดบทที่จำได้ดีจากกาพย์พระไชยสุริยาครับ
................................พระชวนนวลนอน
เข็ญใจไม้ขอน ...........เหมือนหมอนแม่นา
ภูธรสอนมนต์..............ให้บ่นภาวนา
เย็นค่ำร่ำว่า.................กันป่าไภยพาล
..............................วันนั้นจันทร
มีดารากร..................เป็นบริวาร
เห็นสิ้นดินฟ้า...............ในป่าท่าธาร
มาลีคลี่บาน................ใบก้านอรชร
.............................. เย็นฉ้ำน้ำฟ้า
ชื่นชะผะกา............... วายุพาขจร
สาระพันจันทน์อิน.......รื่นกลิ่นเกสร
แตนต่อคลอร่อน.........ว้าว่อนเวียนระวัน
..........กำหนดแต่งวรรคละ 4 คำ จำนวน 7 วรรค ลงตัว 28 คำตามชื่อกาพย์ วางจังหวะคำแบบ2-2 ทุกวรรค สัมผัสนอกหรือบังคับ ดังนี้
.........1. คำท้ายวรรคแรกส่งให้คำท้ายวรรคที่ 2 จบ ไม่ต่อไปวรรค 3
.........2..คำท้ายวรรค 3 รับสัมผัสระหว่างบท และส่งต่อคำท้ายวรรคที่ 5
.........3. คำท้ายวรรคที่ 5 ส้งสัมผัสให้คำท้ายวรรคที่ 6 จบสัมผัสบังคับ
.........กาพย์ท่านสุนทรภู่ แถมสัมผัสเกินมาที่ไหนบ้าง (คำท้ายวรรค 2....วรรค 3)อย่างด้วยก็ได้ บอกไว้ตรงนี้เพื่อทราบเฉย ๆ(คำท้ายวรรค 6 ....วรรค 7) แผนผังไม่ระบุให้มี ท่านสุนทรภู่แถมมา อ่านไพเราะดี จะเอา แผนผัง วางแบบนี้ จะดูง่ายไม่ตาลาย


.........ความไพเราะกาพย์ใช้สัมผัสในช่วย สัมผัสพยัญชนะใข้ได้ทุกวรรค ส่วนสัมผัสสระควรระวังอย่าใช้เสียงสระเดียวกันกับสระที่เป็นสัมผัสบังคับ เหมือนตัวอย่างที่ยกมา ทำให้สัมผัสเลื่อน สัมผัสเฝือ ท่านสุนทรภู่ชอบสัมผัสในอยู่แล้วท่านก็แต่งเอาไพเราะเป็นสำคัญ ส่วนเรา ๆ แต่งตามแบบแผนไปก่อน เก่งแล้วค่อยลองนอกแบบ
.....................................................ลงธารชมปลา
..................ยากนักแลหา..............น้ำมันขุนมัว
...................เห็นน้ำกระเพื่อม.........แลเลื่อมชวนหัว
..................คงจักเห็นตัว................กลับเป็นก้อนดิน
......................................................เด็กยิงกระสุน
..................หนังยางยิงวุ่น..............เสียวหัวลูกหิน
..................โดนเจ็บจริงแท้.............คงแย่ลูกบิน
...................แสบแสนสุดสิ้น............คงได้ด่ากัน
.......................................................ลอยเต็มท่าธาร
....................ถุงซองปลาหวาน.........ขยะสาระพัน
....................พลาสติคกระดาษ.........ประหลาดนักขัน
.....................อีกหน่อยคลองตัน.......ขยะเต็มมากมาย
........................................................อยากให้ช่วยกัน
.....................จัดที่จัดสรร................ขยะเหลือหลาย
.....................ทิ้งให้เป็นที่.................มิมีวุ่นวาย
......................ขจัดอันตราย.............ขยะควบคุม
........................................................บ้านเรือนสดใส
....................ขยะหายไป..................มลพิษมิรุม
.....................ต้นหญ้าเริ่มงอก...........ไม้ดอกไม้พุ่ม
.....................มินานครอบคลุม...........เต็มบ้านเต็มเมือง
........................................................จัดระเบียบดี
.....................คัดรูปคัดสี...................ประเทิงประเทือง
....................งามตางามใจ.................ดอกไม้ขาวเหลือง
....................แลรุ่งแลเรือง.................จัดให้ดูงาม

..........กาพย์สุรางคนางค์ แต่ยากตรงจัดสัมผัสตามแผน ถ้าจัดวางแบบนี้จะสังเกตง่ายหน่อยท้ายวรรคหนึ่งส่งท้ายวรรคสอง ตัด ท้ายวรรคสามรับสัมผัสบทก่อนหน้าและท้ายวรรค ห้าวรรคห้าส่งให้วรรค หก และตัดแค่นี้ แถวหน้า 3 วสรรค มีส่งสัมผัสวรรคเดียวคือวรรค 4
ข้อสังเกตเพื่อจำง่าย มีสัมผัส 3 เส้นทางคือ

..............1. คำท้ายวรรคที่ 1 ส่งคำท้าย ววรค 2 ตัดไม่ส่งต่อ

..............2. คำท้ายวรรค 3 รับสัมผัสบทก่อนน้า และส่งให้คำท้ายวรรค 5 ส่งต่อไปท้ายวรรค หก

..............3. คำท้ายวรรค 4 ส่งคำสองวรรคห้า

.............กาพย์จังหวะ 2-2 อ่านสนุกดี จัดสัมผัสก็ไม่ยากเกินไป น่าจะลองแต่งเล่นดู ชมนก ชมไม้

ชมปลา ก็ง่ายดี ลองดูครับ


ลองกาพย์ฉบังมั่ง

..........ฉบัง 16 เป็นกาพย์ที่ผมจำได้มากมาย จะเอามาเป็นแบบศึกษาแผนผังบังคับเลยไม่ยากจากบทสวดมนต์ประจำสัปดาห์ครับ จากบทสวดมนต์วันศุกร์ที่โรงเรียนน่ะครับ


สวดระลึกธรรมคุณ

(นำ) ธรรมะคือคุณากร...............(รับพร้อมกัน) ส่วนชอบสาธร

ดุจดวงประทีปชัชวาล...............

แห่งองค์พระศาสดาจารย์...............ส่องสัตว์สันดาน

สว่างกระจ่างใจมนท์...............

ธรรมใดนับโดยมรรคผล...............เป็นแปดพึงยล

และเก้ากับทั้งนฤพาน...............

สมญาโลกอุดรพิสดาร...............อันลึกโอฬาร

พิสุทธิ์พิเศษสุกใส...............



เป็นกาพย์ฉบัง 16 สบายผมเลย การจัดจังหวะ 2 คำตลอด เป็น 2-2-2....2-2...2-2-2 เป็น 3 วรรครวมคำ 6+4+6 เป็น 16 คำพอดี สัมผัสบังคับ ดังนี้

.........1. คำท้ายวรรคแรก ใช้รับสัมผัสระหว่างบทด้วย

.........2. สัมผัสในบทมีคู่เดียวคือ คำท้ายวรรที่หนึ่ง ส่งให้คำท้ายวรรคที่ สอง

........จากตัวอย่าง คงแต่งไม่ยาก เพราะจังหวะคำเป็นคู่ ๆ ชมนก ชมปลา ง่ายดี

เพราะส่วนมากชื่อพยางค์เดียว

..........ปลาช่อนปลาหมอปลาหลด..............ปลานิลปลากด

...........ปลาบู่ปลาคังปลากราย

...........นกเขานกขาบปีกลาย.......................นกเจ่าตัวร้าย

...........นกยางอีลุ่มกาแวน

..........สรุปจะแต่งกาพย์ฉบังให้นึกบทสวดมนต์เอาไว้แทนแผนผังบังคับ จังหวะคำเป็นคู่ ๆ 3 วรรค 6-4-6 คำ สัมผัสบังคับในบทมีคู่เดียว คำท้ายวรรคหนึ่ง ไปคำท้ายวรรคสองคำท้ายบทส่งให้คำท้ายวรรคที่สองบทถัดไป....สัมผัสในนิยมสัมผัสพยัญชนะมากกว่าสัมผัสสระ



เมือผมฝึกแต่งร่าย


ถ่ายที่สวนนงนุช พัทยา

.........สมัยไปเรียนเทศน์ พระอาจารย์แนะนำว่าการเทศน์ที่ดี ต้องเลือกสรรถ้อยคำ ที่สุภาพ เรียบร้อย ถูกต้องในเนื้อหา ท่วงทำนองไพเราะ น่าสนใจ ก็เข้าใจนะที่ท่าน แนะนำ แต่ทำไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะสำนวนโวหารที่มีสัมผัสต่อเนื่องกันไป ท่านก็แสดง เป็นตัวอย่าง บ่อย ๆ...เช่น

.........สวัสดีญาติโยมทั้งหลาย....ทุกท่านหมายสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา ณเพลา นี้อาตมภาพจักสาธก และหยิบยกเอาคำพุทธภาษิต.....ที่โบราณลิขิตเป็นคำบาลีเอาไว้ มีใจความว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...อัตถวโรแห่งภาษิตอันแยบยล ความว่าตนแลเป็น ที่พึ่งแห่งตน......สาธูชนทั้งหลาย....อาตมภาพขอขยายอรรถให้ชัดเจน.....โยมจะได้ แลเห็นแหละเข้าใจได้โดยง่าย.....ดังจะสาธยายธรรมต่อไป..ฯลฯ ด้วยประการฉะนี้ ฝึกเทศน์อยู่สามปี ได้บ้าง ตกหล่นบ้าง ก็พยายามปรับปรุงแก้ไข เมื่อสอนภาษาไทย
ถึงได้ทราบสำนวนการแสดงธรรมเทศนาที่พระอาจารย์สอนให้เทศน์ ก็คือคำร้อยกรอง ประเภทร่ายยาวนั่นเอง นึงถึงทีไรก็อดภูมิใจไม่ได้

.........เมือไปเปิดตำราร้อยกรองหาอ่านฉันทลักษณ์คำประพันธ์ชื่อ ร่ายยาว พบว่าเป็น คำประพันธ์ที่เน้นสำนวนคำสละสลวย จำนวนคำแต่ละวรรค มากบ้าง น้อยบ้าง ไม่เท่ากัน มีการร้อยคำระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจากคำท้ายวรรคหน้า ไปยังคำที่1/2/3 วรรคถัด ไป จะยาวกี่วรรดไม่จำกัด ร่ายยาวนี้ใช้แต่งเทศน์ หรือบทสวด ที่ต้องว่าเป็นทำนอง เช่น เทศน์มหาชาติ เทศน์ธรรมวัตร เมื่อจบความตอนหนึ่งๆมักลงท้ายด้วยคำว่า นั้นแล ฉะนี้แล นั้นเถิด นี้แล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น เมื่อจะเขียนแผนผังรายยาว จะเป็น ดังนี้


........เห็นแผนผังแล้วก็ชักคันไม้คันมือ ขอลองหน่อย เพราะยังไงก็คงง่ายกว่าเทศน์ เนื่องจากมีเวลาแก้ไข เทศน์ว่าปากเปล่านี่นา แก้ไม่ได้ ผิดก็ผิดไปเลย ขอลองหน่อย
.......โอมจะขอสาธยาย..........รายอย่างยาวคราวตรึกจะศึกษา........แลหาแผนผังฉันท ...ลักษณ์ประจักษ์ได้.......ใช้คำมากหลากสีสันพรรณนาความ........ตามกำหนดห้าคำนั่น ...อย่างน้อยดอก.......บอกเคยแต่งวรรคยี่สิบห้าหาลงยาก..........คนพูดมากเขียนเลยยาว ...สาวไปเรื่อยเฉื่อยดังลมพัด.......ส่วนสัมผัสมิหลงลืมท้ายทุกวรรคส่ง........ตรงคำต้นวรรคถัดไป....คำไหนก็ได้อย่าใกล้ท้ายวรรคแหละจึ่งควร.....ครบกระบวรร่ายยาวถึงคราวจะจบลง... ฉันนี้แล

..........ร่ายสุภาพ ก็คือร่ายธรรมดา ๆ ที่ครูอาจารย์ท่านกำหนดไว้ แต่งวรรคละ 5 คำ ยาวกี่วรรคก็ได้ ระหว่างวรรคร้อยสัมผัสต่อเนื่องกันไปตลอด ระหว่างคำท้ายวรรคหน้ากัน คำที่1/2/3 วรรคถัดไป จนกว่าจะจบ ให้จบด้วยโคลงสองสุภาพ หรือโคลงสามสุภาพ ดูจาก
แผนผังบังคับร่ายสุภาพจะเป็นดังนี้


........ก็ขอลองเขียนร่ายสุภาพ ดูบ้าง


.....สาธุจะข้อไหว้...คุณพระไตรพระพุทธ...พิสุทธคุณทั้งสาม....ตามตำนานบอกไว้ ..นัยบุพเพนิวาสน์ สามารถรู้จุติ.........วิชาชาญอุบัติ.........ปรมัตถ์กำจัด..ขัดอาสวะสิ้น.....หมดมลทินเกาะติด....จิตพิสุทธิ์พิสัย.....อัฏฐนัยวิทยา.....วิปัสสนาญาณ....ชาญมโนมยิทธิ......อติทิพย์โสต....รุ่งโรจน์ชาญเจโต........
ฯลฯ ทรงคุณจรณา.......เตวิชชาพรั่งพร้อม....งามหมู่พระ
แวดล้อม......ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา
.........ร่ายดั้น
.................ร่ายดั้นก็คือร่ายสุภาพ ถ้าจบด้วยโคลงสองสุภาพ ก็ถือเป็นร่ายสุภาพ ถ้าจบโดย โคลลงสองดั้น ก็เรียก ร่ายดั้น นึกว่าจะมีอะไรพิเศษถึงเรียกร่ายดั้น เมื่อเราเรียนโคลง ก็จะมีโคลง สุภาพ มีโคลงดั้น และโคลงกลบท โคลงที่นำมาต่อท้ายตอนจบเวลาแต่งร่ายมี 2 อย่างคือโคลง สองสุภาพ และโคลงสองดั้น เลยเป็นตัวกำหนดชื่อร่าย จบด้วยโคลงสองสุภาพ เรียกร่ายสุภาพ จบด้วยโคลงสองดั้น เรียกร่ายดั้น

.........(ทรงคุณจรณา)... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหม่ะรัแวดล้อม ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา ที่ตัดมานี้
นับในวงเล็กด้วย คือโคลงสามสุภาพ ถ้านับแค่ เตวิชชาพรั่งพร้อม ไปจนจบ ก็เป็นโคลงสองสุภาพ
ยกมาแล้วก็จะแปลดงให้เป็นโคลงดั้น ตรงไหน
............1. ตัด วรรสุดท้าย 4 คำ เหลือสองคำคือ ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระแวดล้อม ยิ่งล้วน
............2.ย้ายคำโทให้ไปอยู่วรรคหน้า
................เตวิชชาพรั่งพร้อม....งามหมู่พระล้วนล้อม....ยิ่งงาม (เติมคำงาม อ่านได้ความพอดี)
ก็ได้โคลงสองดั้นตามต้องการ
.............3. โคลงสามดั้น..(ทรงคุณจรณา)... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระล้วนล้อม ยิ่งงาม
............นำต้นแบบโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้นมาให้ดุ
.............4. นำโคลงดั้นที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วในข้อ 2 หรือข้อ 3 ไปต่อท้ายร่ายสุภาพ ตรงที่ป้าย
ตัวอักษรสีแดง ก็จะจบร่ายด้วยคำว่า.....
.....เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระแวดล้อม ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา เรียกชื่อว่าโคลงสองสุภาพ
.... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระล้วนล้อม ยิ่งงาม ดัดแปลงคำท้ายบท ให้มีคำโทคู่ และวรรค
ท้ายตัดเหลือ 2 คำ เรียกโคลงสองดั้น
เปรียบเทียบแผนผัง โคลงสอง

.....ทรงคุณจรณา.. เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระแวดล้อม ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา เรียกชื่อว่า

โคลงสามสุภาพ

......ทรงคุณจรณา... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระล้วนล้อม ยิ่งงาม ดัดแปลงคำท้ายบท
ให้มีคำโทคู่ และวรรคท้ายตัดเหลือ 2 คำ เรียกโคลงสามดั้น

เปรียบเทียบแผนผังโคลงสาม
.........จากตัวอย่าง และแผนผัง จะเห็นได้ชัดเจนว่า จำนวนคำที่ใช้ ปกติวรรคละ 5 คำ และวรรค
ท้ายบทให้ 4 คำ ถ้ามี 3 วรรค ก็เป็นโคลงสอง มี สี่ วรรคเป็นโคลงสาม
.........ข้อสังเกต วรรคสุดท้ายมี 4 คำ เป็นโคลงสุภาพ วรรคสุดท้ายมี สองคำเป็นโคลงดั้น
.........โคลงดั้น ตัดคำวรรคท้ายออกสองคำ คำโทจะย้ายไปวรรคหน้า ทำให้มี โทคู่ สองคำที่
เหลือจึงคือแค่ คำเอกและคำสุภาพ
..........สัมผัสบังคับ ดูตามแผนผังก็พอทราบได้ โคลงสามที่เพิ่มมา 1 วรรค 5 คำ คำท้ายจะส่ง
สัมผัสให้วรรคถัดไป ตรงคำที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 คำท้ายวรรค 2 เป็นคำโท ส่งสัมผัสให้คำท้ายวรรค
ถัดไปที่เป็นคำโทเช่นกัน คำท้ายบท ส่งสัมผัสให้วรรคแรกบทถัดไป คำที่1 2 หรือ 3
...........กำลังเขียนถึงร่าย อยู่ ๆ ก็ตัดเข้าโคลงสองโคลงสาม เพราะคำลงท้ายของร่าย ต้องใช้
โคลงสองหรือโคลงสาม ถ้าจบด้วยโคลงสุภาพ ก็เป็นร่ายสุภาพ ถ้าจบด้วยโคลงดั้น ก็เรียกร่ายดั้น
ดังนั้นโคลงจึงเป็นตัวกำหนดชื่อร่ายสุภาพหรือร่ายดั้น
..........สรุปการแต่งร่าย มีสองรูปแบบคือ ร่ายที่ใช้ในการแสดงธรรมเทศนา ที่เรียกร่ายยาว ไม่ได้
จำกัดจำนวนคำต่อวรรค จัดให้พอดีกับการแสดงและการหายใจ ตกระหว่าง 5-15 คำกำลังพอดี
สัมผัสระหว่างวรรค จากคำท้ายวรรคหน้า ส่งให้วรรคถัดไป คำที่ 1 2 3 4 5 ตามแต่จะพอใจ แต่ก็
ไม่ใกล้คำสุดท้ายวรรคเกินไป แต่ยาวกี่วรรคก็ได้ จนกว่าจะจบเรื่อง และจบลงด้วยคำ เอวังก็มีด้วย
ประการฉะนี้ หรือใช้คำ ฉะนี้แล นั่นแล ก็ได้
.........ร่ายที่มีรูปแบบ กำหนดค่อนข้างชัดเจน วรรคละ 5 คำ แต่งยาวกี่วรรคแล้วแต่พอใจ ต้องมี
ส่งและรับสัมผัสระหว่างวรรคต่อวรรคไปตลอดจนจะจบเรื่อง ค่อยยกโคลงสามหรือคลองสองปิด
ท้ายแสดงว่าจบบทร่าย โคลงสองหรือโคลงสามที่นำมาปิดท้าย ถ้าเป็นโคลงสุภาพ ก็เรียกร่ายนั้น
ว่าร่ายสุภาพ ถ้าเป็นโคลงดั้น ก็เรียกร่ายดั้นด้วย
สวัสดีครับ