วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Item Bank


Item Bank 

ขุนทอง ศรีประจง

คลังข้อสอบ เป็นหลักการที่ดี น่าจะนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ผมเคยมีความคิดอยากจะทำ ด้วยการหยิบข้อสอบ ที่ครูใช้สอบกลางภาค ปลายภาค นำมาวิเคราะห์หาค่า p ค่า r แล้วจะเก็บเข้า Bank พอดีเจอข้อสอบบางข้อมา จากแบบฝึกที่สำนักพิมพ์เขาทำจำหน่าย เลยหมดแรง พอดีได้ออกไปทำงานที่จังหวัด ไม่มีคนช่วยสานต่อเลยปิดโครงการ ไป เสียดายเหมือนกัน วันนี้ได้เขียนถึงการวิเคราะห์ข้อสอบไปแล้ว ก็อยากเลยไปถึงคลังข้อสอบ บ้าง
..........คลังข้อสอบที่ผมอยากได้คือที่เก็บรวบรวมข้อสอบแบบเลือกตอบ 4 - 5 ตัวเลือก โดยเก็บเป็นรายข้อ รายวิชา แยกเป็นรายจุดประสงค์การเรียน เมื่อก่อนต้องใช้วิธีพิมพ์บัตร กระดาษแข็ง ขนาด กระดาษ A 4 ตัด 4 ส่วน ใช้เป็นบัตร เก็บข้อสอบ 4 ข้อ พร้อมรายละเอียด แต่เดี๋ยวนี้ โปรแกรมเอกเซล สามารถนำมาประยุกต์ใช้แทนบัตรเก็บข้อสอบได้



ตัวอย่างคลังข้อสอบที่ใช้ตารางเอกเซล ข้อละ 5 บรรทัด ตารางหนึ่งยาว 1,048,576 บรรทัด เก็บได้ 2 แสน ข้อ เหลือเฟือ เวลาต้องการ ก็ใช้ความสามารถโปรแกรม ค้นหาเฉพาะรายวิชา เฉพาะระดับชั้น ได้ จึงคิดว่าน่าจะสะดวกสำหรับครูที่คิดอยากทำ

..........วิธีดำเนินการ เพียงแค่ครูพิถีพิถันการออกข้อสอบ เก็บข้อมูลอย่างมีหลักการ มีตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ สรุปผลได้ชัดเจนว่าจุดประสงค์ขอไหน ออกข้อสอบวัด กี่ข้อ สร้างข้อสอบ 4-5 ตัวเลือก แล้วนำไปใช้ทดสอบกับนักเรียนตามปกติ ทดสอบเสร็จ ก็จัดเก็บข้อมูลการทดสอบมาวิเคราะห์หาความยากง่าย เพื่อบันทึกลงคลังข้อสอบ ถ้านักเรียนที่สอบ ไม่เกิน 100 คน ควรใช้ทั้งหมด นำคะแนนมาเรียงอันดับ แบ่งครึ่งเป็นกลุ่มสูง กลุ่มต่ำ นำไปกรอบตารางวิเคราะห์หาค่า p ค่า r ได้ ถ้านักเรียนเกิน 100 คน 10-20 อาจตัดใจเอามาวิเคราะห์หมดก็ได้ หรือจะใช้วิธีสุ่ม เช่น นักเรียน 300 ทำสลาก 1 2 3 สุ่มจับ 1 ใบ จับได้เลข 3 เลือกคนที่อยู่ลำดับที่ 3 จับใหม่ ได้หมายเลข 1 คือคนที่ได้ลำดับที่ 4 ต่อไปสลากของหมายเลข 7 8 9 คือจับทีละ 3 ฉบับ เลือก เอา 1 จนได้ครบ 100 ฉบับ เป้นตัวแทนของ 300 ฉบับ นำไปใช้กับตารางวิเคราะห์

..........ตารางวิเคราะห์ แนะนำให้ใช้ตารางเอกเซล เริ่มแต่คีย์ข้อมูลกระดาษคำตอบนักเรียนทีละฉบับ ซึ่งยากพอสมควร แต่ก็คุ้ม เพราะพอบันทึกเสร็จ ผล คะแนนที่ได้ ค่า pและค่า r ก็ปรากฏให้เห็นทันที ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข แถมแม่นยำด้วย



        ตารางวิเคราะห์ข้อสอบกลุ่มสูงกลุ่มตำ ออกแบบเหมือนกัน ใช้ร่วมกันได้ ข้อสำคัญ การใส่สูตรคำนวณ และการคัดลอก สูตร ตรวจสอบให้ดีว่าสูตรถูกต้องและคัดลอกไปแล้วก็ถูกต้อง ผลวิเคราะห์จะได้ไม่ผิดพลาด สะดวกจริง ๆครับ หลังการวิเคราะห์ข้อสอบ ทำให้เราได้ทราบว่า ข้อสอบที่เราเขียนกับมือ เป็นข้อสอบที่ ยาก ง่าย แค่ไหน ดูค่า p r มี ความสามารถจำแนกเด็กเก่งไม่เก่งได้ดีหรือไม่ ดูค่า r แล้วบันทึกผลการใช้ลงในแบบเก็บข้อสอบในคลัง ข้อสอบบางข้อ สถิติดี ก็เก็บไว้ใช้ได้เลย ส่วนข้อที่บกพร่องก็ปรับปรุงแก้ไข นาน ๆเข้าครูก็จะมีข้อสอบวัดจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อเดียว มีหลายคำถาม
หลายตัวเลือก แต่ละข้อมีประวัติการนำไปใช้ และประวัติค่าสถิติจากการวิเคราะห์ จนพบว่าข้อสอบจำนวนหลายร้อยข้อเป็นข้อสอบ ที่มีคุณภาพดี แวลาเลือกมาทำแบบทดสอบ ครูก็นำตารางวิเคราห์จุดประสงค์ไปเลือกเอาข้อสอบจากคลังได้เลย กำหนดได้ด้วย ว่าจะเอาข้อสอบแบบยาก ปานกลาง หรือง่าย หน่อย อยากทำแบบทดสอบคู่ขนาน ก็ทำได้ วัดจุดประสงค์การเรียนข้อเดียวกัน ค่า p r ใกล้เคียงกัน เพราะมีให้เลือกหลายข้อ คลังข้อสอบช่วยได้ครับ
        ปล การอ้างอิงเซลในตารางเอกเซล เป็นการกำหนดให้เซลที่เราต้องการ แสดงผลเหมือนเซลที่เราอ้างอิง เช่น ผมพิมพ์ชื่อ ผมไว้ที่ เซล B100 ผมอยากให้ชื่อปรากฏที่เซล B200 ด้วยวิธีอ้างอิงเซล ผมเอาเมาส์คลิกเซล B200 ตามด้วยแตะแป้นเครื่อง หมายบวก แล้วเมาส์เลื่vนไปเซล B100 พบชื่อพอดี เมาส์คลิก B100 เคาะแป้น Enter จบ ชื่อโผล่เซล B200 ได้เลย เรียกว่าอ้าง อิงเซล เราใช้วิธีเดียวกันนี้ อ้างอิงเซลที่มีสูตร ฟังชั่น ต่าง ๆ ได้ครับ
       การคัดลอก ปกติเราจะเลือกเซลต้นฉบับแล้วใช้คำสั่งคัดลอกก่อ จากนั้นไปเลือกที่จะวาง ค่อยใช้คำสั่งวาง สิ่งที่คัดลอกไว้ จะปรากฏให้เห็น ลองเลือกที่วางมากกว่า 1 เซลดูว่าผลจะเป็นอย่างไร วิธีนี้แหละครับเราใช้คัดลอกสูตร ฟังชั่น ที่ใช้แบบเดียวกัน เช่นจะรวมคะแนนนักเรียน 120 คน เราใช้ฟังชั่นเฉเพราะเลขที่ 1 จากนั้นคัดลอกสูตรไปใช้กับคนอื่น ๆ มันง่ายใช่ไหม ลองดูสิ

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

รบกับหอบหืด

......................ยาพื้นบ้านแก้หอบหืด.............
-------------
.............แม่บ้านผมเป็นหอบหืดตั้งแต่ปี 2520 ได้ช่วยดูแลรักษาตามสภาพ พาไปหาหมอ หายาพื้นบ้านมาให้ ดีขึ้นเป็นพัก ๆ แล้วก็เป็นอีก ก็อยากนำประสบการณ์มาเล่าให้ฟัง แยกเป็น 2 ตอนแล้ว กัน ตอนแรกพูดถึงการแพทย์สมัยใหม่ ว่าเคยไปรับรักษาอย่างไร บ้าง ช่วงหลังพูดถึงการใช้วิธีรักษาแบบพื้นบ้าน 
..........บ้านเราอยู่ในเขตเทศบาล เจ็บป่วยก็ไปหาหมอ เล็ก ๆ น้อย ไปคลินิค จนหมอจำหน้าได้ถ้าอาการหนักก็โรงพยาบาล ห่างแค่กิโลเมตรเดียว เริ่มแรกเธอไอติดต่อกันเป็นสัปดาห์ ไม่แรงแต่ไม่หาย ก็ไปคลินิค หมอบอกสงสัยจะเป็นภูมิแพ้ ถามหาญาติพี่น้องมีใครเป็นบ้าง อ้อคุณยายเป็นแบบคันตามตัว พี่ชายหอบหืดอย่างแรงพี่สาวแพ้รถยนต์ แปลกกว่าเพื่อน คือแกนั่งรถไม่ได้เลยเพียงบอกจะได้นั่งรถโดยสารเท่านั้นแหละอาเจียนก่อน คราวหนึ่งผมพาแม่บ้านมารับปริญญาลูกจบปริญญาตรี ม.เกษตร ป้าพี่สาวแกขอมาด้วยจะไปอยู่กับลูกชายที่ทำงานอยู่แถวบางนา เราเช่ารถตู้เขามา จะออกรถตอน สามทุ่ม ถึงรุงเทพ ฯ คงเช้า พี่แกเริ่มอาเจียนตอนหกโมงเย็นไม่รู้เพราะอะไร ถามไปถามมาเมารถ ยังไม่ได้ขึ้นนั่งรถซะ
หน่อย เป็นเอามาก พาไปคลินิคหมเขาให้ยานอนหลับมากิน เดินทางจากเลยเข้ากรุงเทพ ฯ แกมาตื่นแถวโรงเรียนนายร้อยนครนายกจอดพักทานข้าวต้มกัน เพราะจวนสว่างแล้ว ป้าตื่นมาอ้วกจนจะเป็น
ลม เลยพาไปโรงพยาบาล หมอให้ยาอาการดีขึ้น ก็เดินทางต่อ เข้าที่พัก โทรเรียกลูกชายมารับที่ ม.เกษตร เราก็ไปร่วมกิจกรรมงานพระราชทานปริญญา
........โดยสายเลือดแม่บ้านมีภูมิแพ้อยู่แต่ยังไม่แสดงอาการ พอโดนกระตุ้นด้วยกลิ่นบุหรี่ เราเองน่ะแหละสูบบุหรี่ก็เลยแสดงอาการ ทำให้ต้องเลิกบุหรี่ แต่หอบหืดไม่หยุด มันเดินหน้าไปเรื่อยหมอขา ประจำแนะให้ไปตวจที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า เขากำลังวิจัยโรคภูมิแพ้ โดยการทดสอบว่าแพ้อะไร แล้วให้ยากระตุ้นความต้าน ทานสารที่แพ้นั้น เห็นว่าน่าจะตรงกับอาการที่เราเป็น ก็พากันมาขอรับการรักษา ฟังหมออธิบายทราบและเข้าใจว่า ยังไม่จบงานวิจัย ยังรับรองผลเต็มร้อยไม่ได้ มาพบหมอทุก 3 เดือน ก็มาติดต่อกัน 3 ปี ก็เลิก เพราะสรุปอาการคนของเราไม่ดีขึ้น อาการหอบหืดชักรุนแรงขึ้น เป็นทีก็ต้องเรียกหาออกซิเจน เลยปรึกษาหมอ หมอสั่งอุปกรณ์ควบคุมการปล่อยออกซิเจน หลอดกรองอากาศ หน้ากาก
ครอบจมูก ก็ช่วยได้เยอะ เพราะบางทีไปโรงพยาบาล ดมออกซิเจน พักหนึ่ง หมอให้กลับบ้านได้ ยังกะไม่เคยหอบ พอมีถังไว้ที่ห้องนอนมีอาการก็เปิดให้ ครู่เดียวก็ได้หลับ ยาที่หมอให้ก็พวกยาแก้แพ้เม็ด
สีเหลือง ๆ กินแล้วง่วงมาก แล้วก็พวกยาอันตรายแบบเม็ดสีขาว ๆหมอบอกเป็นพวกสเตียรอยด์ อันตรายใช้ตามหมอสั่ง อย่าซื้อ มากินเอง เคยไปซื้อยาลูกกลอนที่ชาวบ้านเขาบอกแก้หอบหืดดีมาก ถุงละ 150 บาท เอาไปให้หมอดู แกหัวเราะ บอกวาผมทำให้ก็ได้ ที่กิน 3 เม็ดมันหยุดหอบหืด เพราะเขาแอบเอายาสเตียรอยด์ปนไว้ กินแล้วปวดแข้งขาก็หาย หอบหืดก็หาย แต่ชั่วคราวนะ ผลข้างเคียงคือกินอร่อย กินจุ อ้วนเอา ๆ
........มีข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องการผ่าตัดต่อมหืดที่โรงพยาบาลโคกเคียน นราธิวาสน์ เลยพยายามสืบหาข้อมูล ทราบว่ามีอยู่จริง ค่าใช้จ่ายไม่แพง ตอนนั้นซื้อรถปิคอัพใหม่ ๆ ไม่ถึงปี เลยกล้าจะลองไปดู ระยะทางขนาดนี้ สองวันน่าจะถึง ชวนพี่ชายซึ่งแกก็เป็นหอบหืดเพราะสูบบุหรี่มากไปด้วย มีคนป่วยหอบหืดสองคน ติดถังออกซิเจนใหญ่ 1 ถัง ลูกสามคนไปด้วย ปัญหาคือยังไม่กล้าขับรถ เข้ากรุงเทพ มาถึงอยุธยาก็แวบออกสุพรรณบุรี ทะลุนครปฐม ไปราชบุรี เพชรบุรี คืนแรกนอนหัวหิน เขากำลังขยายถนนเป็นสี่เลน มีการก่อสร้างเป็นระยะ ๆ ขับรถยากเหมือนกัน แต่ดีตรงที่ไม่มีรถวิ่ง เร็ว หวาดเสียว มีแต่รถค่อย ๆคลานไปคืนที่สองนอนที่ ปัตตานี วันรุ่งขึ้นไปถึงโรงพยาบาลโคกเคียน ราวสองโมงเช้า ไปพบหมอ เขารีบจัดคิวให้ เพราะคิวยาวมาก เป็นพวกต่างประเทศจากจีน สิงคโปร์ มาเลย์ คนไทยไม่มาก นอนที่นราธิวาส 1 คืน หมอให้กลับได้ เป็น การผ่าตัดเล็กที่ตรงต้นคอ เอาต่อมเล็ก ๆ เท่าสิวหัวช้างออก เอามา
ให้เราดูเลยดองใส่ขวดเล็ก ๆให้คนละขวดของใครของมัน วันต่อมาหมอให้กลับได้ ขากลับอาการดูจะเบาบางลง เลยแวะเที่ยวชมบ้านเมืองบ้างเช่นไปดูด่านเบตง ดูหาดทราย ตามรายทาง สองคืนเช่นเคย ผลพี่ชายหายขาด แต่แม่บ้านยังหอบอยู่
........เคยใช้ยาพื้นบ้านอะไรบ้างไหม อันนี้เยอะมาก ใครว่าอะไรดีก็หามาลอง จะลองรวบรวมดูว่ามีขนานใดบ้าง อย่างแรก ผมบนหัวคนนี่แหละ ล้างสะอาด เอามาคั่วให้ไหม้เอาไปผสมน้ำแล้วกรองให้ สะอาด ใส่แก้วดื่มเช้าเย็นเจ็ดวันหาย ดื่มแล้วอาเจียนได้อาเจียนดี จนต้องหยุด เหนื่อยมาก.......ต้นใต้ใบทั้งห้าส่วน ราก ต้น ใบ ดอก ผล ล้างสะอาดตำให้ละเอียด ผสมน้ำ กรองเอาถ้วยชาหนึ่ง ดื่มเช้าเย็น ติดต่อกัน 3 วัน
ตำราบอก หาย แต่หอบหืดแม่บ้านยังอยู่
.......ผัดเผ็ดเนื้อจระเข้ ผสมสุรา น่าอร่อย เสียดายจับจระเข้ไม่ได้ 
สั่งพวกไปทำงานใกล้ฟาร์ม มันหามาให้เป็นกระดูก เอามาขัดเอาฝุ่นกระดูกผสมน้ำดื่มทีละแก้วเช้าเย็น เห็นคุยว่าเจ็ดวันหายขัดซะจน กระดูกเหี้ยน หืดก็ยังสบายอยู่
.......เม็ดบวบขม แกะเอาแต่เนื้อใน ซัก 10 เม็ด บดผสมเหล้า 1 ก้ง กินให้หมดกรึบเดียว ชอบมาก เว้นอีกวัน กรึบที่ 2 เพิ่มบวบเป็น 20 เม็ด เว้นวันหนึ่งค่อยกรึบที่ 3 ใช้บวบ 30 เม็ด ยาขนานนี้คนไข้ชอบ ขอเปลี่ยนเป็นเหล้าแดง เหล้าขาวแรงไป กินแล้วอาเจียนจนแทบสลบ ตำราบอกอาเจียนมากดี รังขี้หืดจะได้ออกหมด หายแล กินจนเข็ดขยาด หืดยังไม่หายขาดหรอก ผ่านไปซัก 2 สัปดาห์มันมาอีก
.......พ่อตาเปิดตำราสุมนไพรพบว่าไข่ไก่ที่มีเชื้อผมสมน้ำส้มสายชูดื่มสด ๆ ก่อนอาหารเช้าเย็น 15 วันอาหารหอบหืดจะทุเลา กินติด ต่อไปอีก 3 เดือนหายขาด น้ำส้มสายชูพอหาซื้อได้ แต่ไข่แบบมีเชื้อ นี่ต้องไปหาซื้อพวกเลี้ยงไก่พื้นบ้าน เขาไม่ยอมขายหรอก ต้องไปโรงฟักไข่ นี่ก็ไม่อยากขาย ต้องไปนั่งอธิบายยืดยาว ขอซื้อแค่ 2 ถาด เลือกให้หน่อย คิดราคาสองเท่าก็ยอม ได้ไข่มาทดลองให้รับประทาน วันละ สองฟองเช้าเย็น แรก ๆ ก็ทานยาก หลายวันเข้าทำกินเอง เห็นบอกมันอร่อยดี แต่หอบหืดยังเฉย ๆ
......กระเทียมโทน พริกไทย หัวแห้วหมู อย่างละเท่า ๆ กัน ตำให้แหลก ตากแห้ง บดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาเท่านิ้วก้อย ทานครั้งละ 3 ก้อน เช้าเย็น แก้หอบหืดดีนักแล ตำราว่าอย่างนั้น ทานอยู่กึ่งเดือนก็เลิก เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
......รากต้นดอกปีปหรือกันของหรือกาสลองนั่นแหละ ขุดเอามามัดหนึ่งต้มเอาน้ำมาดื่มเช้าเย็นครั้งละถ้วย อาการไอจะเบาบางลง อันนี้ไม่บอกหอบหืดจะหาย ที่บรรเทาลงคงไม่น่าสงสัย เพราะไอ หอบหิดนี่ถ้าเจอของร้อน ๆ อาการไอจะผ่อนคลายลงได้เสมอ
.......หนุมานผสานกาย สังกรณี ปลูกข้างบ้านงอกงามดี ใบดก เพิ่งรู้เป็นยาหอบหืด เด็กมาสองใบล้างดีแล้วเคี้ยวดูดกินน้ำจนจืดค่อยคายทิ้ง ทำวันละสองครั้ง เช้า เย็น หอบหืดจะเบาบางลงจะใช้ใบแห้ง2-3 ใบ ชงดื่มเหมือนชงชาก็ได้ผลเช่นกัน อาจต้มใบสดเอาน้ำใส่กระติกน้ำชาดืมตลอดวันก็ยิ่งดี ก็เหมือนเดิมครับ จนต้นมันซีดจะตายต้องหยุดให้มันงอกใบก่อน
.......มะนาวหั่นชิ้นเล็ก ๆ มะแว้งเด็ดเป็นลูก ๆ วางใส่จาน พร้อมถ้วยเกลือ ให้ทานเล่นแก้ไอ ตอนแรกก็ว่าขม ทานทานมา ให้กินลูกเดียว เล่นทีละพวง บอกกำลังหิว ก็ไอห่าง ๆนะ คงเพราะกำลังกินเลยลืมไอ
.......ใบลำโพงหั่นฝอยตากแห้งเหมือนยาสูบ เอามามวนด้วยใบตองกลายเป็นบุหรี่ใบลำโพงจุดสูบเวลามันจะหอบหืด ช่วยบรรเทาหอบหืดดีนัก ใช่ดีเพราะมันมัวแต่อาเจียนน้ำหูน้ำตาไหล ลืมหอบหืดไปเลย หายอาเจียนแล้วหอบหืดก็กลับมาอีก
........ยาประเภทเผาเอาขี้ถ้ามาละลายน้ำ กรองด้วยผ้าขาวสะอาดใส่แก้วให้ดื่มเช้าเย็นมี หลายขนาน แต่ละขนานก็ว่าเด็ด ๆ ทั้งนี้ ได้หามาลองดู มีอะไรบ้าง......
.......ขี้ไก่โป่ ภาษาอีสานครับ ขี้ไก่ก้อนใหญ่ ๆ เอาแค่ 3 ก้อนนะ มาตากแห้งเป็นขี้ไก่หลายแดดหน่อย แล้วเอามาเผาไฟ นำขี้เถ้าเย็นแล้วไปห่อด้วยผ้าขาวสะอาด นำไปแช่น้ำในแก้ว บีบหน่อยฝุ่นยา
จะได้ไหลออกมา ให้ดื่มไปเห็นเฉย ๆ นะ คนไข้ถามว่าอะไรรส มันแปลก ๆ พอบอกขี้ไก่เท่านั้นแหละอาเจียนออกมายังกะเมารถสิบล้อเชียว หืดหลบไปหลายวัน
........น้ำแช่เจ้าโลกขนาดยักษ์ ตัดเอาไปตากแดดให้แห้ง เวลาจะใช้เอามาถู ๆ กับหิน เอาผงไปละลายน้ำให้ดื่ม ก็เหมือนเดิมครับ ดื่มได้ แต่พอรู้ว่าน้ำจ้าวโลกช้างตากแห้งเท่านั้นแหละ อ้วกเป็นชั่วโมงเลย หอบหืดหลบไปนาน แล้วก็กลับมาอีก
........น้ำขี้สีก อันนี้ไม่ต้องมีส่วนผสมอะไร แค่ไปขุดบ่อน้ำเล็ก ๆ ลึกแค่คืบ ในบริเวณน้ำขี้สีกไหลผ่านมาใกล้ ๆ ดักเอาน้ำให้มันซึมผ่านดินกรองให้หน่อย ได้น้ำที่ใสสะอาด ดื่มทีละแก้ว เช้าเย็น วันแรกไม่มีปัญหา วันที่สองมีคนบอกน้ำขี้สีกเท่านั้นแหละ วันที่ 3 ไม่ยอมดื่ม แล้วหืดก็ไม่หาย อ้อน้ำขี้สีกมันคือน้ำอะไร บ้านที่เขามีชาน มีตุ่มน้ำดื่มน้ำใช้อยู่ที่ชาน ใช้น้ำแล้วน้ำบางส่วนจะไหลลงพื้นดิน ดินอิ่มน้ำก็ไหลลงไปทางระบายน้ำ อันนี้เขาเรียกน้ำขี้สีก การขุดบ่อดักเอาน้ำ เพื่อให้ดินกรองน้ำให้ไม่น่าเกลียดเท่านั้นเอง
........พกแมว เวลาแมวมันคลอด จะมีรกพันลูกมันออกมา ปกติมันเลียกินหมด มีบางคนรู้ว่ามันเป็นยาหอบหืด คอยแย่งเอามาตากให้แห้งเก็บไว้ทำยา บ้านนาหนองใกล้ ๆ กันมีป้าคนหนึ่งแกมีพกแมวตากแห้ง ไปขอแกทำยาหอบหืด ค่าครูแกยี่สิบบาท ได้ยา 1 ขวด เอามาให้ดื่มทีละแก้วขวดเดียวหายแกบอก หายจริง ๆ คือหายไปเลยไม่กลับไปหาแม่หมออีก
........กระดูกอูฐ....แม่บ้านได้มา ผู้ปกครองนักเรียนไปทำงานซาอุ เอามาฝาก เพราะรู้เป็นยาหอบหืด เขาขายคนอื่นแต่ครูไม่ขายให้ อ้าวแล้วทำไงล่ะ อ๋อเขาให้ฟรีฝากลูกสาวมาให้ คุยใหญ่ ก็วิธีเดิม เอาไปขัดถูกกับหินเอาผงละลายน้ำให้ดื่ม ก็จนกระดูกมันหมดแหละ หืดยังสบายดี
........เอ็นจระเข้....แม่บ้านได้จากผู้ปกครองนักเรียนที่ไปทำงานอยู่ที่ฟาร์มจรเข้ สมุทรปราการ เนื้อแดดเดียวก็ได้ แต่เนื้อสด ๆ ไม่มี ขอบคุณผู้ปกครองนะที่มีน้ำใจ เขาสอนเด็กประถม ป. 1 ยังกะเลี้ยงลูก เด็กรักมาก ผู้ปกครองรู้กิติศัพท์ พลอยรักและนับถือครูด้วย ก็ลองดู เนื้อแดดเดียวไม่ยากทอดไส่จานหนึ่ง เห็นแบ่งกินสองวันก็หมด ไม่มีผลอะไร มีอย่างเดียวคืออร่อย กินคนเดียว คนอื่นอย่ายุ่ง มันเป็นยา แกบอกอย่างนั้น วันหลังค่อยได้ทำ เอ็นถูกับหินเอาผงละลายให้กินทีละแก้วก็กินง่าย จนหมดแท่งเอ็นตากแห้งนั่นแหละหอบหืดยังเป็นปกติ เป็นมากก็ไปคลินิคตามเดิม
.......พี่สาวจากกำแพงเพชรแวะมาเยี่ยมที่บ้านเล่าให้ฟังว่า หลามผากต้นลุมพุกซิ เด็ดมากแก้หืดชะงัดนัก ตำรายาแม้วเชียวนะ ของหายาก ต้นลุมพุกน่ะรู้ เพราะโตมาที่บ้านหนองลุมพุก ผากหรือกาฝากมันซิหายาก เจอหลายต้นแล้วแต่ไม่มีกาฝาก เลยบ่นให้เพื่อนครูฟัง วันหนึ่งเขาก็เอามาฝาก ขอบคุณมาก ๆเลย หาแทบตาย เขาบอกที่ไร่เขามีต้นหนึ่งกาฝากมันเยอะ ถ้าไม่พอจะพาไปเอาเลยบอกรอก่อน เพราะคาดเดาได้อยู่ว่าผลจะเป็นแบบไหน ล้างดีแล้วก็สับแหลก ยัดใส่กระบอกไม้ไผ่ เอาไปเผาแบบหลามปลา
ไหล นานเหมือนกัน เทเอาน้ำสีเหลืองกลิ่นหอมน่ากิน ปล่อยให้เย็นลงก็ยกไปให้ หลามให้กินอยู่สัปดาห์หนึ่ง หอบหืดหลบไป จนนึกดีใจว่าเข้าท่า แต่ก็หนีความจริงไม่พ้น ไม่นานก็กลับมาอีก
.......พ่อตามาจากสวนบอกว่าเมียทิดก่อนบ้านนาซำแซงเป็นหอบหืด หาย ไปถามเขาดูซิมันมียาดีอะไร ก็นั่งมอเตอร์ไซด์ไปนะ ห่างกันแค่สามกิโลเมตรเอง เป็นพวกทำไร่ใกล้ ๆ สวนพ่อตาเมียเขาเป็นมาสองปีแล้ว อ้อหอบหืดรุ่นน้องแม่บ้านเรา ถามกันถึงการดูรักษา ก็ไม่ต่างกัน เราซะอีกที่เคยใช้ยามากมายหลายขนาน จนทิดก้อนต้องไปเอาสมุดมาจดยาที่แกยังไม่ได้ใช้ ไปๆ มาๆ ใครขอยาใครก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าแลกเปลี่ยนกัน ยาแปลกที่เราไม่เคยใช้จากทิดก้อนคือน้ำมะพร้าวอ่อนผสมสารส้มลูกละช้อน แล้วเทใส่แก้ว
ให้ดื่มเช้าเย็น เนื้อไม่ต้องเอาแต่น้ำ ยาขนานนี้ดีตรงนี้แหละ เนื้อมะพร้าวอ่อนที่เหลือนี่ไง ครับผลก็ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากขนานก่อน ๆ
.......ลูกยอแก่ครึ่งกิโลผสมพริกไทยดำ 1 ขีด ตำละเอียดหมักใส่ขวดโหลใส่ตู้เย็น ตักกินก่อนนอนวันละช้อน สามวันเจ็ดวันจะเป็นความเปลี่ยนแปลง ดีขึ้น กินต่อไปในที่สุดจะหาย เสียดายเลิกกิน ก่อนเพราะรอไม่ไหว
.......รบกับหอบหืดมายี่สิบสองปีครับ ที่สุดผมก็แพ้มัน มันเอาแม่บ้านผมไปจนป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยว่าไปอยู่ไหน เจอหน้าหมอพยาบาลที่เคยรักษา บางคนไม่รู้ก็ถามหาว่าเป็นไง หายดีรึยังก็ต้องกัดฟันตอบว่า ดีแล้วครับไม่ต้องใช้ยาอะไร พยาบาลที่รู้ก็หัวเราะขำ ๆ ก็คนมันตายแล้วนี่เธอ จะต้องไปพึ่งยาอะไร ใช่แล้วครับนั่นแหละยาที่หอบหืดกลัวมีขนานเดียว


วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ไปเยี่ยมบ้านเมืองเลย 2

ไปเยี่ยมบ้านเมืองเลย 2
                หลังจากกลับมาบ้านได้ข้อมูลอาหารพื้นบ้านมาหลายอย่าง เอามานั่งเขียนเล่าสู่กันฟังครับ

ซุบถั่วแปบ

....................
อาหารประเภทซุบ เป็นวิธีทำให้ของธรรมดา ๆ เป็นของรสอร่อยมาก ๆ จนเรียกซุปเปอร์ ได้สบาย ๆ ถั่วแปบแสนจะธรรมดา ปกติก็เอามาต้มหรือนึ่ง จิ้มน้ำพริก หรือไม่ก็ผัด ก็ไม่เห็นจะอร่อยมากมายอะไร แต่พอเอามาทำซุบ ก็ต้องประเมินค่าถั่วแปบกันใหม่ ถั่วแปบมีชื่อทางพฤกษ์ศาสตร์เหมือนพืชทั่ว ๆไป แสดงว่ามีการสำรวจและบันทึกข้อมูลไว้แล้วที่น่าสนใจคือพวกเราเห็นมันเป็นพืชผัก เอามารับประทานได้ อร่อยด้วย พวกหมอยาพื้นบ้านยังบอกว่าเป็นสมุนไพร รู้จักกันทั่วไป ถั่วแปบ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วแปบขาว, ถั่วหนัง, หมากแปบ, มะแปบ (เชียงใหม่)ถั่วแปบน้อย แปบปลาซิว (สกลนคร), ถั่วแปะยี (ภาคเหนือ), กวาวน้ำ ถั่วหนัง ถั่วแล้ง มะแปน ถั่วแปยี ถั่วมะเปกี (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), โบ่บ๊ะซะ (กะเหรี่ยง เชียงใหม่),เป๊าะบ่าสะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน),กู๊เบเส่, กู๊เบอีโท้,กู๊เบผ่าบุ๊ (กะเหรี่ยงแดง), แผละแถะ (ลั้วะ), เบล่เปยี่ (ปะหล่อง), เซียงหวังตบ (เมี่ยน) ชักจะออกนอกครัวไปไกลแล้ว กลับมาทำซุบถัวแปบบกัน
..............ใช้ถัวแปบบซัก ครึ่งกิโลกรัม เด็ดขั้วและเส้นขอบออก มะเขือเปราะ 3 ลูก นำไปต้มให้เปื่อยแล้วใส่ถ้วยรอไว้ ใช้ป่นปลาดุกเป็นตัวเสริมเลยต้องต้มปลาร้าจนปลาดุกเปื่อย ค่อยเอามาทำป่นโดยใช้พริกดิบอ่อน7 เม็ด หอมดแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ข่า 3 ฝาน ทั้งหมดย่างไฟให้สุกหอมก่อนนำมาโคลกให้แหลกก่อนค่อยใส่เนื้อปลากดุกต้มเปื่อยลงไป แหลกดีแล้วใส่ถั่วแปบและมะเขือลง ตำให้แหลก ต่อไปก็น้ำปลาร้าเอาที่ใช้ต้มปลาดุกนั่นแหละ เทลงไปคนให้เหนียวข้น ต่อไปก็ข้าวคั่วหรืองาคั่ว ผักแต่งกลิ่น หอมสด ชีหอม ชีฝรั่ง จบชิมและปรุงรสได้ อร่อยมาก ๆ ครับ
--------------

ซุบหน่อไม้
.............แม่บ้านไปตลาดสด ได้หน่อไม้เผามาฝาก 2 ถุง ๆละ 25 บาท ถามดูเห็นว่า อยากจิ้มน้ำพริกเลยซื้อฝากลุงด้วย 1 ถุง เปิดดูมี 5 หน่อ ปอกเปลือกแล้ว เลยให้ใส่ตู้เย็นไว้ก่อน คิดเมนูยังไม่ออก เช้าวันถัดมาหาผักที่ต้องการได้ครับ จะทำซุบหน่อไม้กินเอง เพราะไปซื้อที่เขาทำขาย ไม่ค่อยถูกใจ
.............เอาหน่อไม้ออกมาเขี่ยน ก็ขูดเขี่ยนนั่นแหละ อีสานเขาพูดสั้น ๆ ว่าเขี่ยน ใช้ซ่อม ก็ได้ ใช้เหล็กแหลมก็ได้ ขูดเขี่ยนไม่นานก็ได้เส้นหน่อไม้สีเหลืออร่าม เอาไปแช่น้ำแล้ว้างให้สะอาด จากนั้นก็เอาไปต้มกับน้ำย่านาง ใส่น้ำปลาร้าซัก 3 ทัพพี จนน้ำย่านางสุก ก็ใช้การได้ สมัยก่อนถ้าไม่ทำซุบ เราทำแค่นี้ ใส่ใบแมงลักลงในหม้อ แล้วตักใส่ถ้วยไปกินกับน้ำพริก เขาใช้พริกดิบอ่อน ซัก 20 เม็ด หอมแดงเผา ข่านิดหน่อย โขลกใส่ยอกหนามคะญ่า" ซัก 2 ยอด ชีหอมต้นเดียว น้ำปลาร้า ชูรส แค่นี้ใช้เป็นน้ำจิ้มต้มหน่อไม้ แม่ผมแกชอบมาก ๆ เราทำซุบแกบอก ตักใส่ถ้วยให้แม่ด้วย อย่าทำหมด
.............จะทำซุบใช้พริกแห้ง 5 เม็ด ย่างไฟ เดี๋ยวนี้ผมชอบหว่านลงกระทะทอดกรอบ ง่ายกว่า ตักให้สะเด็ดน้ำมันแล้วก็เอาไปโลกได้ ส่วนหอมแดง กระเทียม ข่า ยังคงเสียบไม้ย่างไฟ ค่อยนำมาใส่ครกโขลก ใส่เส้นหน่อไม้ลงไป ตามด้วยหัวหอยขม 1 ถ้วยตวง ไม่มีหอย ใช้หนังหมูต้มสุกหั่นแบบใส่ลาก 1 ถ้วยตวงเช่นกันสากตำเบา ๆให้เครื่องปรุงคลุกเคล้ากันกับเส้นหน่อไม้ จากนั้นใส่ผักแต่กลิ่น หอมสด 2 ต้น ชีหอม 1 ต้นชีฝรั่ง 1 ต้น หั่นดี ๆ โรยลงในครกเลย สักครู่ เติมน้ำต้มปลาร้าจากหม้อต้นน้ำย่านางนั่นแหละ เอาพอขลุกขลิกอย่ามาก แล้วก็เติมข้าวคั่วหรือง่าคั่ว ตามใจชอบ สำหรับผมเลือกงาคั่วใหม่ ๆ หอมขาดใจจริง ๆ
...........ผักกับก็สำคัญ หนามคะญ่า ใบขิงอ่อน กระชาย หูเสือ ผักรสฝาด พว
กผักกระโดน ก็ใช้ได้ มีโอกาส
ลองทำกินดูนะครับ อาหารพวกนี้ราคาไม่แพง แต่รสชาติอร่อยมาก ๆ

---------------
ลาบปลาตอง
..........ปลาตอง ปลากราย ปลาตองลาย ปลาสะตือ เห็นคนเรียกหลายชื่อ ดูตัวปลาก็แตกต่างกันบ้าง ปลาที่เราซื้อมาทำลาบเป็นปลาจากเขื่อนน้ำหมาน ตัวละเกือสองกิโลกรัม ตัวเดียวพอทำลาบกินในครอบครัว
ล้างสะอาดดีแล้วเอามาตัดครีบออก แล้วใช้มีดคม ๆ แล่เอาหนังและเนื้อออก เริ่มจากหัวไปสุดหาง ได้หนังและเนื้อ 2 แผ่น ยังมีเนื้อติดก้างอยู่ไม่น้อย ใช้ช้อนขูดในส่วยได้ เสร็จแล้วค่อยขูดเอาเนื้อออผจากแผ่นหนังมีเศษเอาไปทำน้ำต้มคือ กระดูกก้าง ขี้ไม่เอา หัวปลาและหนังปลา น้ำต้มใส่ปลาร้า มะขามเปียกซัก 2 ฝักข่า ตะไคร้ ปรุงดี ๆ อร่อยยังกะ ต้มส้มปลา แต่น้ำต้มนี้เอาไว้คนลาบ เหลือค่อยซดใจเย็น ๆ
...........เนื้อปลาตองจะมีก้างฝอยค่อนข้างมาก เอาไปสับให้ละเอียดก่อนค่อยเอาไปใส่ครก เพื่อคนลาบต่อไปถามหาข่า 5 ฝาน ใส่ครกบดละเอียดเอามาคนพร้อมเนื้อปลา ดับกลิ่นคาวปลาดีนัก คนลาบปลาตองใช้น้ำต้มอุ่น ๆทีละช้อน ใช้สากคนให้ทั่วจนน้ำละลายเข้ากับเนื้อปลา ตักน้ำต้มเติมลงไปอีก ใช้เวลาคนเกือกชั่วโมงเนื้อปลาจะกลายเป็นเนื้อเหนียว ๆคล้าย เจล ชาวบ้านเราจึงเรียกว่าลาบเหนียว เมื่อเหนียวได้ที่เขามีวิธีทดสอบเอาคำข้าวเหนียวลุยดู ถ้ามันติดคำข้าว ไม่หยดละก็ใช้ได้ ถ้ามันไหลหยดลง แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ คนต่อไป
...........เครื่องปรุงลาบปลาตอง เหมือนลาบปลาลาบเนื้อทั่วๆ ไป พ่อครัวจะถามหาข้าวคั่วก่อน ถามหาหัวหอมกระเทียมซอย น้ำปลาร้า น้ำมะนาว พริกป่น สุดท้ายก็ผักแต่งกลิ่น หอมสด ชีหอม ชีฝรั่ง แล้วก็ชิมและปรุงรสตักไปบริการได้ ลาบเหนียวเป็นอาหารประเภทกึ่งดิบกึ่งสุก รสอร่อยมาก ๆ แม้ทุกวันนี้ยังแอบทำกินกันอยู่ถ้าจะให้ดี ตักใส่ใบตองไปย่างให้สุกก่อนจะดีกว่า อร่อยน้อยลงสัก 25 เปอร์เซ็นต์ แต่สบาย ใจกว่าน้ำต้ม เอามาปรุงรสก่อนนำมาใช้เป้นน้ำต้มแซบกินกับลาบ อร่อยครบเครื่องครับปล. ผักกับลาบ ผักแพว ผักกระโดน ผักเม็ก ผักกะเดา หมากแข้งขม มะเขือเปราะ แตงกวา เพลี้ยฟานหมากลี้นฟ้า พริกขี้หนู ใบชะพลูอ่อน หาได้ซัก 2-3 อย่างก็เยี่ยมแล้ว
----------
อันนี้ชื่อลาบเทา

............ไม่รู้ใครตั้งชื่อเทา คล้ายเทาเวลามีฝุ่นเกาะเห็นในน้ำเป็นสีเทา ๆ ทั้งที่จริงมันมีสีเขียว ลูกกอีสานรู้จักหลายคนชอบกิน ลงอาบน้ำในหนองบึง เจอเทาก็เก้บมาล้าง แล้วกินกันสด ๆ เลย กินเล่นน่ะมันจืด ๆไม่ค่อยอร่อย กินคำสองคำก็เลิก พวกเราดูมันคล้ายเส้นผมมากนะ เกิดเป็นกลุ่ม ๆ ในน้ำที่คิดว่าใสสะอาด แต่นานวันเข้าก็มีฝุ่นมาจับจนเป้นสีเทา ๆนั่นแหละ เก็บเทาใช้มือเปล่าดีที่สุด เพราะได้แกว่งฝุ่นละออกออกทิ้งบ้างบางคนใช่สวิง มันติดมาหมดทั้งขยะและฝุ่น พวกเราเก็บเทามาทำกิน เก็บเดี๋ยวเดียวก็ได้ถ้วยสองถ้วยพอแล้วล้างสะอาดดีแล้วเอามากินกับส้มตำ กินเป็นผักกับน้ำพริก ก็อร่อยดีนะ แต่นี่เราจะทำลาบเทากินกัน
............ต้มกบป่นซักตัว ถ้าเขียดขี้คุย (โม้) ต้อง 5-10 ตัว ใส่น้ำปลาร้า ต้มให้เปื่อย เสียบพริกดิบ 6 เม็ด หอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ข่า 3 ฝาน ย่างไฟใส่ครกตำละเอียด ค่อยใส่เนื้อกบลงไปตำให้แหลก แล้วก็คนน้ำปลาร้าเยอะ ๆ เทใส่กะละมังเล็ก เอาไว้ รอเขาสับเส้นเทาให้ก่อน เอาถ้วยเดียว สับสั้น ๆ ยาวสักนิ้วหนึ่ง เสร็จใส่ลงไปในถ้วยป่นกบ ข้าวคั่วซักช้อนเดียว มะนาว ผักแต่งกลิ่น หอมสด ชีผอม ชีฝรั่ง ชิมและปรุงรส แค่นี้เราก็ได้ลาบเทาตามต้องการ เวลากินลาบเทาต้องแจกช้อนคนละชุด ไม่มีช้อนไม่อร่อย
นะจะบอกให้

ส่วนนี่เรียกแกงอ่อมผักตบ
----------------------
........ผักตบไทย ขึ้นอยู่ตามลำห้วย บึง หนอง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน แตกยอดและใบเหนือน้ำ เป็นกอคล้ายกก คล้ายผักตบชวา ดอกอ่อนเป็นฝักฝังอยู่ในลำก้านใบ ดอกโตขึ้นจะแทง ช่อออกมาบาน สีม่วงสวยงามมาก เล่าว่าเป็นพืชสมุนไพรไทยชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีรายงานว่าผักสิ้น(ผักตบไทย) 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างาย 9 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
- เส้นใย 0.7 กรัม - แคลเซียม 31 มิลลิกรัม - ฟอสฟอรัส 28 มิลลิกรัม - เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม - เบต้าแคโรทีน 1,961 ไมโครกรัม - วิตามินเอ 324 ไมโครกรัม ของเรตินนอล - วิตามินบีหนึ่ง 0.01 มิลลิกรัม - วิตามินบีสอง 0.30 มิลลิกรัม - ไนอาซิน 3.1 มิลลิกรัม - วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
........เห็นรายงานก็เชื่อแหละครับว่าเป็นสมุนไพร เพราะพืชทุกชนิดเป็นสมุนไพร ได้ทั้งนั้น เพียงแต่เราไม่รู้จักเฉย ๆ ผักตบนี่กระผมรู้จักในฐานะที่เป็นผัก ต้นอ่อน เคย ไปดึงเอามาให้แม่ลวกจิ้มน้ำพริก แกงใส่ปลาคล้ายแกงบอน แต่ที่ผมจะแกงวันนี้ ใช้ดอก ครับ แถมเป็นดอกตูมที่ฝังตัวในก้านใบ พอมันเบ่งก้านตูมใหญ่ขึ้น ก็ทราบว่ามีดอกอ่อนฝัง อยู่ ไปเที่ยวเก็บเอาแต่เช้าก่อนคนอื่น ได้ซักสองห้วยก็พอแกงครับ ตอนจะแกงเราจะปอก เปลือกหุ้มดอกออก เหลือแต่กลีบอ่อน ที่จะนำไปแกง ล้างดี ๆใส่ถ้วยรอแกงได้เลย

.........ผมชอบปลาย่าง ไก่ย่าง หมูปิ้ง เนื้อย่าง ได้ทั้งนั้น แต่ที่จะทำวันนี้ใช้ เนื้อวัวย่าง หั่นทำแกง เอาซักถ้วยตวงพอ น้ำแกงใช้น้ำใบย่านางครับ เครื่องแกง ใช้พริกแกงเผ็ดแบบ ไม่เผ็ด เติมหอมแดง 3 หัว กระเทียม1 หัว ข่า 3 ฝาน ตะไคร้ 2 หัว กระปิ 1 ช้อชา โขลก ละเอียดใช้เป็นพริกแกง ผักเสริม ใช้ใบหอมสด ผักขมเบี้ย ผักคาด เด็ดรวม ๆถ้วยหนึ่ง ผักแต่งกลิ่น ใช้แมงลัก ผักชีลาว
.........ตั้งหม้อแกงใส่น้ำย่านาง ตามด้วยพริกแกง คนให้ทั่ว ใส่เนื้อที่หั่นไว้ลงไป รอ ให้เดือดซักครู่ ใส่ดอกผักตบลงไป ตามด้วยผักเสริม น้ำปลาร้า ดูผักตบสุกดีแล้วหยุดไฟ ใส่ผักแต่งกลิ่น ชิมและปรุงรส อร่อยมาก ๆ ผมกินกับข้าวเหนียวร้อน ๆ ครับ น้ำพริกก็ ใช้แจ่วบอง น้ำแกงอร่อยสะใจจริง ๆ

------------------
ห่อข้าวต้ม
------------------
..........งานบุญประเพณีสำคัญ ๆ ของคนอีสาน ข้าวต้มมัดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ บุญเดือนสี่ สงกรานต์ บุญ
เดือนหก เข้าพรรษา ข้าวประดับดิน ข้าวสาก ออกพรรษา กฐิน แม่บ้านผมเขาเป็นเด็กเทพ ทำไม่เป็น
ภาระทำข้าวต้มเทศกาลทำบุญต่าง ๆ ก็ได้แม่ยายเป็นผู้จัดทำ เห็นแล้วก็สงสาร เลยไปช่วย แกมองหน้า
และถามว่าทำเป็นเหรอ ก็ไม่เป็นหรอกแค่เคยช่วยพี่สาวช่วยแม่ทำเป็นตัวเกะกะมากกว่า เตรียมถั่วดำแช่น้ำไว้ ต้มให้เปือย เตรียมกล้อยน้ำว้า เตรียมใบตองให้ แค่นี้ทำได้สบายมาก ข้าวมีผงปนอยู่ก็ไปฝัดให้ แม่ยายมอง ตาค้างเลยแหละ เพราะฉะนั้นแกเลยเงียบไม่ถาม ช่วยแกห่อข้าวต้มมัดจนเสร็จ ได้ใบรับรองมาแล้ว
...........ข้าวต้มมัดแบบอีสาน ไม่ใช้กระทินะครับ แบบที่คนไทยเขาทำกันอีสานเราเรียกข้าวต้มผัด ครับ
เมนูนี้เป็นข้าวต้มมัดอีสานดั้งเดิม ข้าวสารเหนียว 1 กิโลกรัม แช่ให้นิ่มก่อนนำมาใช้ ถั่วดำ 3 ขีด ต้มสุก
ดีแล้วล้างน้ำซักสามน้ำ ให้น้ำดำ ๆ ออกหมด จะได้ไม่ซึมใส่ข้าวเหนียวทำให้ข้าวต้มไม่สวย กล่วยน้ำว้าสุก 1 หวี น้ำตาลปี๊บ 2 ขีด ละลายน้ำไว้ ใบตอง 5 ก้าน ไม้ตอก 1 กำ
............ข้าวเหนียวนิ่มดีแล้วเอามาใส่ถาด เทถั่วลงไปคลุกให้เข้ากัน ตักน้ำตาลใส่คนให้เข้ากัน ปอกกล้วยผ่า ลูกละสองซีก ไว้ทำใส้ จากนั้นก็เริ่มห่อ ตักข้าวสามช้อน เกลี่ยบาง ๆ วางใส้กล้าวยแล้วห่อจับจีบหัวท้าย พับให้สวย ๆ วางคว่ำใส่ถาดหรือจานก่อน ครบ 2 ห่อค่อยประกบกันมัดหัวท้ายด้วยไม้ตอก นำไปวางในซึง ห่อจนเสร็จน่าจะเต็มซึงพอดี เอาไปนึ่งให้สุก แล้วจะได้ข้าวตัมมัดสูตรโบราณ มีโกงนิดหน่อยแอบเติมน้ำตาล ของเดิมไม่ใส่น้ำตาลหรอก ข้าวต้มที่สุกแล้ว แจกลูกหลานเอาไปแบ้งกันกินได้เลย เหลือไว้ตักบาตรทำบุญ บ้างคัดแยกไว้ บางคนยังถามหามะพร้าวอยู่นะ เขาเอามะพร้าวห่าม ๆ มาขูดเบา ๆ เอาเนื้อมะพร้ามามาเป็น ส่วนผสม แล้วปอกข้าวต้มมาใช้เชือกตัดเป็นท่อน ๆหล่นลงไปบนเนื้อมะพร้าว โรยน้ำตาลซ้ำอีก ทีนี้ต้อง ตักใส่จาน ใช้ช้อนตักกิน เอาไปถวายพระท่านก็ชอบนะ
.............ข้าวต้มผัด ก็คือข้าวต้มมัด แบบใส่กระทินั่นเอง อุปกรณ์แตกต่างกันนิดหน่อยคือ มีการใส่กระทิ มีการ เลือกใช้ใบตองกล้วยอ่อน ๆ สีสวย ๆ แล้วกระทิมาแทรกตอนไหน ตอนเตรียมข้าวสารไง จะเคี่ยวหางกระทิ ก่อนจนงวดแล้วจึงเอาข้าวสารที่แช่นิ่มแล้วลงไปผัด ใช้ไฟอ่อน ๆ พอจะแห้งเติมหัวกระทิ เติมน้ำตาล ผัด จนข้าวสารเป็นเม็ดใสเหลือขุ่นขาวแค่ตรงกลาง แสดงว่าเกือบสุก หยุดไฟ ทิ้งไว้ให้แห้ง ค่อยนำไปห่อด้วย ใบตองชนิดพิเศษ มีใส้กล้วยและถั่ว นึ่งสุกแล้วอร่อยมาก ๆ คนแก่ชอบ
-----------------------
ทำขาวหลามกินเถอะ
-------------------------
............ข้าวหลามที่พวกเดินป่าล่าสัตว์ชอบทำกิน เพราะไม่มีหม้อนึ่ง มีข้าวเหนียวไปกินวันเดียวก็หมด เหลือ แต่ข้าวสาร ก็ต้องใช้วิธีหลามด้วยกระบอกไม้ไผ่ แช่ข้าวสารตั้งแต่ตอนเย็น รุ่งเช้าก็เผากระบอกข้าวหลามให้ สุก ได้ข้าวเหนียวสุกหอม กินอร่อยมาก ยิ่งถ้าได้ไม้ไผ่อ่อนที่มีเยื่อกระดาษหนา ๆ เวลาสุกเยื่อไม้ไผ่จะหุ้ม ข้าวสุกเอาไว้ กินง่ายหอมมาก ๆ คนนึ่งข้าวเหนียวเป็น จึงทำข้าวหลามเป็นกันทุกคน
...........ไม้ทำข้าวหลาม ถ้าต้องการให้มีเยื่อกระดาษหุ้ม ต้องเลือกไม้อ่อน ไม้แก่เยื่อมักขาดง่าย หรือไม่ก็ใช้ ไม้ข้าวหลามโดยเฉพาะ คล้ายไม้บง ปล้องยาว แบบนี้เปลือกบาง เยื่อเหนียว เหมาะทำข้าวหลามมาก ไม้เปราะ ก็ทำข้าวหลามได้แต่เยื่อหนา กระบอกเล็ก เลยไม่นิยม ไผป่า ไผ่ตง เลือกลำอ่อนมาทำข้าวหลาม ได้กระบอก ขนาดใหญ่ดี
............ข้าวสารเหนียว ถ้าไม่ต้องการกระทิ ก็ใช้วิธีแช่ในกระบอกไม้ไผ่ได้เลย สามชั่วโมงก็นิ่มพอเผาไฟได้ ถ้าเป็นข้าวเหนียวดำ ต้องแช่ให้นิ่มก่อนนำไปกรอก เพราะแช่ให้นิ่มยากใช้เวลานาน ถ้าต้องการทำข้าว หลามกระทิ ต้องเลียนแบบทำข้าวต้มผัด
...........วิธีที่ 1 ตัดกระบอกข้าวหลามได้ขนาดที่ต้องการ นำไปกรอกข้าวสาร กรอกน้ำแช่ข้าวสาร ทิ้งไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าหาใบตองมาปิดปากกระบอก นำไปเผาไฟ คอยตรวจดูอย่าให้ไหม้ก่อนสุก สังเกตไอน้ำที่พ่นออกมา ทางปากกระบอกจะค่อย ๆ หายไปเพราะมันสุกแล้ว เอาออกมาทิ้งให้เย็นค่อยนำไปปอก
...........วิธีที่ 2 แช่ถั่วดำอ่อนแล้วนำไปต้มให้สุก ล้างให้สะอาด น้ำมากรอกตอนกรอกข้าวสารลงในกระบอก เช้ามาก็นำไปเผาได้ แบบนี้ได้ข้าวหลามถั่วดำปน อร่อยถูกใจคนชอบถั่วดำ
...........วิธีที่ 3 ผัดข้าวสารด้วยกระทิแบบทำข้าวต้มผัด คือแช่ข้าวสารนิ่มแล้ว เคี่ยวหางกระทิรอไว้ ได้ที่ก็เท ข้าวสารลงไป เติมหัวกระทิระหวางผัด เติมน้ำตาลถ้าต้องการหวาน เกือบสุกก็หยุด ทิ้งให้เย็นค่อยนำไปกรอก กระบอกข้าวหลาม แบบนี้ได้ข้าวหลามสีขาว ถ้าเติมถั่วดำที่ต้มสุกแล้ว ก่อนกรอกกระบอกข้าวหลาม ก็จะได้ ข้าวหลามสีดำ ตามใจชอบครับ 
-----------------


ไปเยี่ยมบ้านเมืองเลย 1


การเดินทางไปเยี่ยมบ้าน 1


...................ผมจองตัวเที่ยวบินไป-กลับ ล่วงหน้ารวม 2 สัปดาห์ ในราคาที่แพงกว่ารถยนต์นิดหน่อย เห็นว่าเดินทางรวดเร็วดี จึงตกลงจะไปช่วงที่มีการลงประชามติ ได้ไปเยี่ยมบ้านด้วย ได้ไปใช้สิทธิ์ลง
ประชามติด้วย วันที่ 5 สิงหาคม 2559 ไปถึงสนามบินดอนเมืองพร้อมสายฝน ดีที่ตอนลงรถตู้โดยสารที่รังสิต ฝนยังไม่ลงเม็ดแค่มืดครึ้มเฉย ๆ พอขึ้นแทกซี่ก็เทลงมายังกะฟ้ารั่ว รอดตัวไปไม่ต้องเปียกฝน ถึงสนามบินเวลา 8.20 น. เคาน์เตอร์สายการบินเปิดอยู่จึงไปติดต่อขอรับบัตรโดยสาร เขาขอดูบัตรประจำตัวประชาชน ครู่เดียวก็ยื่นเอกสารการผ่านเข้าไปข้างในพร้อมบัตรแสดงเลขที่นั่งและเที่ยวบิน เลยถามเด็ก เขาว่าเสร็จแล้วเหรอ ทำไมง่ายจัง เธอบอกว่าเราได้รับข้อมูลการจองของพี่เรียบร้อย เพียงตรวจสอบบัตร
ประชาชนก็ออกเอกสารต่าง ๆให้ได้ มิน่าคนถึงชอบใช้บริการของสายการบิน การตรวจสัมภาระก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้โดยสารยังไม่มากนัก เสร็จแล้วก็เดินหาช่องทางหมายเลข 76 ที่จะไปขึ้นเครื่องบินไปเมืองเลย ต้องลงบันไดเลื่อนสามครั้ง ถึงมองเห็นเจ้าหน้าที่สายการบินประจำช่องต่าง ๆ 71-78 มีคนมานั่งรอขึ้นเครื่องยังไม่มาก รู้สึกหิวเลยเดินไปหาของรองท้องหน่อย ได้ซาลาเปา 2 ลูก น้ำมะนาว 1 แก้ว 120 บาท รู้สึกตกใจราคาทำไมแพงหูดับอย่างนี้ ถ้าทานอย่างอื่นคงแพงมาก ก็แพงจริง ๆ พวกขนมปัง 3 ชิ้นเล็ก ๆ 75 บาท เค้ก 80 บาท น้ำอย่างต่ำแบบที่เราสั่ง 55 บาท กินอิ่มแล้วแทบไม่อยากทิ้งกระดาษห่อซาละเป่า เสียดายมันราคาแพงไปนั่งรอเขาเรียกขึ้นเครื่องตั้งแต่ 8.45 น. ป้ายบอกจะเรียกขึ้นเครื่อง9.30 น. บิน 10.30 น. จนเลยเวลา 9.30 น. จะ 10.00 น.ก็ยังไม่ เรียก ฝนกำลังเทลงมาอย่างหนัก สงสัยเครื่องคงบินไม่ได้มั้ง ปีกมันเปียกเหมือนปีกนกนี่ เดินไปถามเจ้าหน้าที่ เขาหัวเราะบอก ตา รอก่อนนะ รถที่จะมารับไปส่งขึ้นเครื่องกำลังมา ฝนแค่นี้ นักบินเขาบินขึ้นได้ไม่ต้องกลัวค่ะ ไม่รู้สินะ รอก็รอ รอมานานแล้วนี่
..........เสียงเขาประกาศ ผู้โดยสารเที่ยวบินที่.......เชิญขึ้นเครื่องได้แล้ว เครื่องพร้อมออกเดินทาง กรุณาเตรียมบัตรที่นั่งและบัตรประชาชนแสดงตัวด้วยค่ะ ก็เห็นลุกพรึบกันแสดงว่าต่างก็จดจ่อจะไปเหมือนกัน ขนาดเรานั่งอยู่แถวหน้า ต้องต่อคิวท้าย ๆ เกือบปลายแถว ยายคนหนึ่งแกบ่น ฉันนั่งแถวแรกเลย ยังต้องมาต่อท้ายด้วย แย่เนาะตา หันมาชวนเราเป็นพวกอีก เลยต้องบอกทำใจครับยาย ต่อให้พวกมันไปก่อนเถอะ เครื่องลำเดียวกัน ถึงพร้อมกันนั่นแหละ ปล่อย ๆไป แกหัวเราะ บอกว่าเออจริงเนาะ ไปเที่ยวบินเดียวกัน ไปก่อนจะมีความหมายอะไร แน่ะเห็นไหม ไปนั่งรถโดยสารเองยังไม่ได้ขึ้นเครื่องซะหน่อย ตกลงเราขึ้นทีหลังยืนขอบประตู รถวิ่งวกวนตามอาคารต่าง ๆ สักสิบนาทีก็ถึง บันไดขึ้นเครื่อง เราต้องลงก่อนและเดินขึ้นเครื่องก่อน ยายแกหัวเราะหันมามองเราแบบว่า เห็นไหมฉันได้ขึ้นเครื่องก่อนพวกมัน เราแค่ยิ้ม ๆให้ที่เห็นแกดีใจ สาวแอร์ตรวจเอกสารแล้วชี้ให้ไปด้านโน้นค่ะ ก็ขำ ๆนะ ก็มีทางเดียวแหละ อีกทางก็ออกนอกเครื่องซิ เพราะเราขึ้นทางส่วนหัวนี่ ได้ที่นั่งแถว 9F ติดหน้าต่าง มีสองสาวนั่งติดแถวเดียวกัน
...........เครื่องรุ่นนี้จุสองร้อยที่นั่งเขาบอก เที่ยวนี้ไม่เต็มว่าง อยู่สิบกว่าที่นั่ง เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอ่านคำแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะเคยฟังบ่อย ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมัวแต่ไปดูว่า แอร์มันสวยไม่สวยไปโน่น ก็เพราะรู้ว่าคัดกันเหลือเกินนี่อยากเป็นสาวแอร์ต้องสวยต้องเก่ง ถ่ายรูปหน่อยเอาไว้อวดยายว่ามาเครื่องจริง ๆนะ สาวที่นั่งใกล้ๆ ถามไปลงไหนตา เราก็ขำนะเลยบอก ไม่แวะระหว่างทางหรอก ปลายทางที่เลยโน่นแหละ เธอหัวเราะใหญ่เลยบอกว่า เออจริงนะตา ไม่ใช่รถทัวร์นี่ จะได้จอดให้ลงระหว่างทางได้เวลา 10. 20 น. เครื่องกำลังแทกซี่ไปยังรันเวย์เตรียมบินขึ้นค่ะ สาวแอร์ที่ยืนเกาะเก้าอี้ใกล้ ๆ พวกเราบอก เออแปลกนะหนู เครื่องบินก็ใช้แทกซี่ด้วย สาวน้อยว่าตอนมันวิ่งบนพื้นสนามบินเรียกแทกซี่ค่ะ ไม่ใช่นั่งแทกซี่ อ้อเข้าใจ มองลอดหน้าต่างไปเห็นเครื่องบินมากมาย บ้างก็จอดอยู่ บางลำก็กำลังแทกซี่ ตามกันไป มีสองเครื่องอยู่ห่างไปข้างหน้า อีกเครื่องตามหลังมา ไม่นานสองเครื่องด้านหน้ามันเลี้ยวเข้าไปทางลาดยางขนาดใหญ่ ยาว ๆ นี่มั้งที่เขาเรียกรันเวย์ มันค่อย ๆวิ่งเร็วขึ้น ๆ แล้วก็ลอยขึ้นท้องฟ้าไป ไม่เห็นกับตาก็คงนึกว่าโกหก ใครจะเชื่อล่ะ เครื่องบินหนักหลายตัน คนสองร้อยนั่งอยู่มันพาบินขึ้นได้
..............ถึงตาเราเขาแนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยความปลอดภัยเสร็จนานแล้ว เสียงเตือนรัดเข็มขัดปรับเก้าอี้นั่งให้ตรง กัปตันจะนำเครื่องบินขึ้นแล้ว เสียดายมองไม่เห็นเลยไม่รู้มันบินขึ้นได้อย่างไร ได้แต่เอาใจช่วย ตอนมันวิ่งเร็ว ๆ ยังกะรถวิ่งทางลูกรัง สะเทือนทั้งลำ พอหลุดพิ้นสนามบินก็เบาโหวง อ้อมันขึ้นได้แล้ว มอง ไปทางหัวเครื่อง มันเจิด(เชิดหัว)ขึ้นเรื่อย ๆ ตึกรามบ้านช่องที่มองเห็นเล็กลง ๆ แล้วก็มืดเห็นแต่ฟองสีขาว ๆของก้อนเมฆ เครื่องเริ่มปรับระดับไม่เอียงแล้ว จนสาว ๆเขาออกมาบริการอาทารและขายสินค้าได้ เวลาชั่วโมงเดียว ยังไม่ทันหิวหรอก แค่ดูเฉย ๆวันนี้เมฆมากมองไม่เห็นอะไรเลย จนนึกสงสัยว่านักบินจะมองเห็นทางไหม แล้วเขาไปถูกเส้นทางได้อย่างไร ถ้าเป็นสมัยก่อนคงน่าอัศจรรย์ เดียวนี้กูเกิลเอิธ ทำให้เรามองหาหลังคาบ้านตัวเองได้ เลยไม่แปลกใจว่าแผนที่โลกที่นักบินใช้ จะต้องชัดเจนไม่แพ้ของเล่นกูเกิลเอิธ ไปตามแผนที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไวจริง ๆ ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ยินเสียงเตือนให้เตรียมตัว นักบินจะนำเครื่องลงที่ท่าอากาศยานเลย บินมาที่นี่สนามบินมาตรฐานอเมริกันเพราะเขาสร้างสำหรับเครื่องบิน บี 52 สมัยสงครามลาว ยังไม่ทันได้ใช้สงครามสงบก่อน เลยทิ้งสนามบินชั้นเยี่ยมเอาไว้ นักบินพาเครื่องวนรอบตัวเมืองเลย เมฆโล่งแล้วเลยเห็นถนนหนทางตึกรามบ้านช่องชัดเจน ป่าไม้เมืองเลยเขียวขจีไปหมด ภูเขาหัวโล้นหายไปเกือบหมด แสดงว่าชาวบ้านหันมาปลูกไม้ยืนต้นมากมากขึ้น ผืนป่ากลับมาให้ความร่มเย็นได้อีกครั้ง ทราบว่าเป็นพวกสวนสัก สวนยางพารา สวนมะขามหวาน สวนไม้โตเร็ว ไม้ยูคา ตะกู ไม้อะไรก็ดีทั้งนั้น เพราะป่าถูกทำลายมานานกว่าจะคืนสภาพสีเขียวได้ก็หลายสิบปี
.............ลงมาที่ห้องรับรองผู้โดยสาร รอคนมารับ สนามบินมีคนเยอะรอขึ้นเครื่อง มี 2 เที่ยวของสองสายการบิน ถามเจ้าหน้าที่ทราบว่าคนเกือบเต็มทุกเที่ยว เพราะค่าโดยสารถูกลง มีบริการรถรับส่งต่อไปยังต่างอำเภอสะดวกด้วย ด้านนอกมีโต๊ะรถเช่าขับเอง อ้อทันสมัยสมกับเป้็นเมืองท่องเที่ยว เมืองเลยเมืองเล็ก ๆ ถนนหนทาง ออกก็จำกัด การตรวจสอบควบคุมรถเช่า ทำได้ไม่ยากแล้ว นั่งรอสัก 10 นาที ครูนกก็โทรมาเชคให้ไปยืนรอนอกอาคาร จอดรับแล้ว ออกไปเลย เพราะรถมากหาที่จอดอยู่ไกล เรียบร้อยนกพาไปทานข้าวเที่ยงร้านเป็ดย่างบ้านขอนแดง เป็นร้านใหม่ก่อนไม่มี สั่งลาบเป็ด ต้มแซบเป็ด กบผัดสมุนไพรและส้มตำ ข้าวเหนียว อร่อยดีทุกรายการ มีกบมั้งเค็มนิดหน่อย กินกับน้ำอัดลมก็โอเคนะ อิ่มแล้วนกพาไปส่งที่บ้าน มีคุณนิกกี้กระดิกหางต้อนรับ ไม่เห็นกันนานยังจำได้อยู่ หมาความจำดีเหมือนกัน หลังจากนั้นก็หลับซิ ตื่นเช้าตี 4 มารถตู้เที่ยวตีห้าครึ่ง เลยง่วงอยากหลับ มาตื่นเอาบ่ายสามโมง ตั้งใจจะไปเดินดูตลาดสดบ้านติ้ว ที่เขาเรียกตลาดแลง

                                              - ----------ไปเที่ยวตลาดแลง เจอส้มโคะเคะ------------

........บ่ายสามโมงเศษ ผมเดินไปตลาดแลงตามที่ตั้งใจไว้ ห่างจากบ้านพักเพียงกิโลเมตรเดียว ก็เห็นตลาดพัฒนาไปมาก จากตลาดแบกะดินเมื่อปี 2520 ตอนนี้มีอาคารโรงเรือน มีการยกพื้นให้สูงสำหรับวางขายป็นระเบียบเรียบร้อยดี แม่ค้าหลายคนคุ้นหน้าจำได้ร้องทักทายถามไถ่สุขทุกข์ตามประสาคนไทเลยเจอกัน ตั้งใจเดินชมตลาดน่ะครับ เขียงหมูเขียงเนื้อ มีเจ้าเก่าเพียงเจ้าเดียว นอกนั้นแปลกหน้า เขาชวนซื้อเนื้อหมูได้แต่ยิ้ม ๆ ขอบคุณแล้วก็ผ่านไป ถัดมาเป็นแผงลอยขายเสื้อผ้า ยังเยอะอยู่เหมือนเดิม เลยไปอีกเป็นแม่ค้าขายกับข้าวสำเร็จรูป ทั้งอาหารไทย อาหารอีสาน ราคาไม่แพงนัก คนอุดหนุนค่อนข้างมาก สนใจอาหารพื้นบ้านหลายอย่าง เช่น ลาบปลาตอง ลาบเทา ส้มโคะเคะ ยำหัวทูน ลาบหมาน้อยแกงหมากมี้ อ่อมผักตบ เจอของชอบก็ต้องคุยกับคนขาย เจ้าประจำด้วยซื้อตั้งแต่สมัยเป็นสาวรุ่นช่วยแม่ขายกับข้าว ตอนนี้มีสามีเลยรับโอนกิจการแม่ มีกับข้าวอีสานสิบกว่าชนิด เด็กรับใช้เธอคือสามีนั่นเอง เก่งนะหนู ถามอะไรแก่ตอบได้ฉาดฉาน แสดงว่าทำเองไม่ใช่แม่ทำให้ ก็ดี ลุงจะได้ข้อมูลเขียนถึงเที่ยวชมตลาดได้หลายวันทีเดียว ชอบมาก
.....ถามถึงส้มโคะเคะก่อน ทำไมเรียกโคะเคะ เธอหัวเราะบอกว่าพ่อแม่พาเรียกอย่างนี้ ไม่รู้ความหมายหรอก เป็นอาหารประเภทหมักดอง รสเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆมัน ๆ แต่ไม่ใช่ผักดองเขาใช้หางวัว ข้อเท้างัวมาทำ ใส่กะละมัง น้ำส้มใส ๆ ชิ้นเอ็น หนัง หั่นพอคำ ลอยเต็ม มีใบหอมสด ผักแป้น หั่นโรยหน้าไว้ ตักขายถุงละ 30 บาท ชอบกินครับ เลยอุดหนุนมา 2 ถุง กินคนเดียว ลูกหลานกินไม่เป็น
.....ถามว่าได้จากไหน เขาสั่งจากโรงฆ่าสัตว์ หาง 3 ชิ้น ขาข้อ 4 อัน มากกว่านั้นทำไม่ทัน แฟนจะเผาไฟแรง ๆ ให้ไหม้ขนและหนัง ใช้มีดขูดไปเรื่อย เผาไปเรื่อย จนได้ที่ นำไปล้างให้สะอาด สับเป็นชิ้นเล็ก ๆใส่หม้อต้มตุ๋นให้เปื่อย จากนั้นถึงจะนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่กะละมังรอไว้ ปริมาณเนื้อหั่นแล้ว 1 กิโลกรัมใช้เกลือ 100 กรัม น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก กระเทียมแห้ง 3 หัว กระเทียมดอง 2 หัว น้ำกระเทียมดอง 1 ถ้วยตวง ข้าวเหนียวนึ่งสุก 1 ก้อนเท่ามะนาว..ผสมน้ำกระเทียมดอง เกลือ กระเทียมแห้งและกระเทียมดอง ใส่ครกโขลกให้แตก ใส่ลงไป ชืมออกรสเค็มนิดหน่อย ในเนื้อลงไปพอขลุกคลิก เติมน้ำมะพร้าวพอท่วมเนื้อ ข้าวสุกตักใส่ขวด โหลทั้งไว้ 2 วัน ก็จะออกรสเปรี้ยว หอม พร้อมรับประทาน ก่อนรับประทานปรุงรสนิดหน่อย อาจต้องเติม น้ำส้ม ชูรส เกลือ และใบหอม สด ใบผักแป้น อร่อยมากครับ เคี้ยวกรุบ ๆ น้ำเปรี้ยวหน่อย ๆยังกะกะเทียมดอง น้ำมะพร้าวคือตัวเร่งให้เปรี้ยวไวแถมหอมหวาน ด้วย อย่าลืมครับ ไปทางเมืองเลย แวะตลาดสด เดี๋ยวนี้มีขายทั่วไปแล้ว ถามหาดู รับรองติดใจแน่
-------------------
ปล. ขอบคุณภาพจากกูเกิล

           จบเรื่องส้มโคะเคะ ก็เป็น แกงบอน .......เห็นแล้วก็อยากกินแกงบอน  เจอเป็นซื้อหรือหามาทำเองนึกถึงตอน...ไปเที่ยวปราจีนบุรีผ่านตลาดสดใกล้ศาลสมเด็จพระนเรศวร เลยจอดรถแวะไปชมกัน แม่ค้าเยอะ เผื่อจะมีของที่ชอบ ผักพื้นบ้านมีเยอะมาก มะระ ตำลึง ผักกะโดน ผักแพว ขี้เหล็ก ฯลฯ เจอบอนหวาน มีขายทั้งต้นและไหล แม่ค้าบอกไหลอร่อยกว่าต้น เลยซื้อมาทั้งสองอย่าง กำละ 15 บาทเอง ซื้ออย่าง ละ 2 กำ ได้ใบย่านางกำละ 5 บาท ถูกดี มีปลาหมอย่างไม้ละ 20 บาท ใช้แทนปลาย่างแบบแห้ง อยากได้ หนังวัว แต่ยายไม่กินเลยเอาหนังหมูแทน แมงลัก ชีลาว ถูก ๆ ทั้งนั้น ไปบ้านได้กินแกงบอนแน่
.........เตรียมบอน บอนต้นสีม่วง ๆ เป็นบอนหวานแบบต้นใหญ่ มัดเดียวแกงเต็มหม้อ บอนหวานที่เคยแกง
มี 2 แบบ แบบหนึ่งลำต้นสีเขียว อีกแบบลำต้นสีม่วง ส่วนที่ลำต้นสีเขียวออกขาว ๆ นั่นบอนเลี้ยงหมู คัน
มาก ไม่เคยเอามาแกง ขนาดบอนหวาน ก็ต้องต้มให้จืดก่อน ค่อยนำไปแกง บอนที่ซื้อมาถึงบ้านก็นำมา
ลอกเปลือกออก หั่นเป็นท่อน ๆ ล้างสะอาดแล้วนำไปนึ่งให้เปื่อย เสร็จแล้วใส่กะละมังรอไว้ ตอนนี้จะชิม
ดูก็ได้ รับรองไม่มีคัน เพราะเป็นบอนหวาน จากนั้นก็ไปเตรียมพริกแกงบอน ผมใช้พริกแกงส้ม
สองช้อนมาเติมหอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ข่า 3 แว่น ตะไคร้หั่น 2 หัว กะปิ ช้อนชาเดียว
โขลกละเอียดดีแล้วแกะเนื้อปลาหมอใส่ลงไปตำให้ละเอียด นี่คือพริกแกงบอน ส่วนหนังหมูต้มสุก
แล้วหั่นเอาซักถ้วยตวงเล็ก ๆ (ถ้วยน้ำพริก)
.........เตรียมน้ำใบย่านาง เด็ดเอาแต่ใบล้างสะอาดดีแล้วกรรไกรหนีบก่อนลงเครื่องปั่น สะดวกกว่าคั้นด้วยมือ เติมน้ำหน่อยปั่นให้ละเอียด คั้นเอาน้ำสีเขียวได้ซักถ้วยใหญ่ ๆ เอาไปทำน้ำแกง คั้นเสร็จใส่หม้อแกง
ตั้งไฟได้เลย กระบวนการทำแกงเริ่มแล้ว น้ำเริ่มเดือดใส่พริกแกงลงก่อนคนให้ทั่ว น้ำมะขามเปียก ซัก 2 ช้อน เกลือช้อนเดียว น้ำปลาร้า 2 ทัพพี น้ำย่านางสุกแล้วเติมบอนลงไป เติมหนังหมูหั่นลง คนให้ทั่ว และเติมผักแต่งกลิ่น ใบหอมสด ผักชีลาว ใบแมงลัก อันไหนไม่ชอบเว้นข้ามไป แต่ผม ชอบหมด เสร็จก็ชิมและปรุงรส ชอบเปรี้ยวเติมน้ำมะขาม ชอบชูรสก็เติมเอาเอง แกงบอนสูตร พิเศษ พร้อมบริการ อร่อยมากครับ อยากรู้ขนาดไหน ต้องหามาแกงลองดู แกงผักหวาน เป็นสามัญทั่วไปแล้วสมัยนี้ เพราะมีผักหวานขายกันทั่วไป เมื่อก่อนอยากกินแกง แกงผักหวาน ผักหวานต้องรอหน้ามีนา-เมษา เข้าป่าเก็บผักหวานกัน แรก เห็นพวกผู้ชายไปเก็บผักหวานก็นึก ตำหนิในใจว่า พวกนี้ไปยุ่งทำไม ผักหวานผู้หญิงเขาเก็บเองได้ แต่พอเราโตถึงเข้าใจว่ามันมีอะไร มากกว่าที่เราเห็น ใครจะรู้ล่ะครับว่าผู้ช่ายไปเก็บผักหวาน ไม่ค่อยได้แกงหรอก มันยกให้สาว ๆหมด เก็บผักหวาน มักจะมีไข่มดแดงมีช่วงเวลาเดียวกัน กลับมาบ้านเลยมีทั้งผักหวานและไข่มดแดง แกง ผักหวานเลยต้องมีไข่มดแดงปนลงไปด้วย และก็ทำให้แกงอร่อยมากด้วย
........ผักหวานเด็ดเอาแต่ใบและยอดอ่อน ซัก 2 ถ้วย ไข่มดแดง 1 ถ้วยตวง เห็ดบด 1 ถ้วยตวง ใช้เห็ดขอนขาว เห็ดฟาง แทนก็ได้ มะเขือเปราะ ผ่าซีก 1 ถ้วยตวง จากนั้นก็ผัก ใช้ใบหอมสด 2 ต้น ชีลาว 1 ต้น ชะอม 3 ยอด แมงลัก กำหนึ่ง เด็ดใส่จานไว้ แล้วไปตำเครื่องแกง .........พริกแห้ง 3 เม็ด หอมแดง 3 หัว กระเทียม 3 กลีบ ข่า 3 ฝาน เนื้อปลาทูนึ่ง 1 ตัว กระปิ 1 ช้อนชา ตะไคร้ หั่นฝอย 1 ต้น ทั้งหมดใส่ครกโคลกทำเป็นพริกแกง .........พร้อมแล้วลงมือ ตั้งหม้อแกงใส่น้ำสะอาดซัก 1 ถ้วย ตามด้วยพริกแกง คนให้ทั่ว เติมน้ำปลาร้า 3 ทัพพี ปล่อยให้น้ำเดือดใส่ ไข่มดแดงลงก่อนตามด้วยมะเขือ เห็ดและผักหวานตามลำดับ ปล่อยไว้ ซักครู ชิมก่อนก็ได้ เผื่อต้องเติมรสเค็ม แล้วก็เติมผักแต่งกลิ่น คนให้ทั่วแล้วหยุดไฟ ชิมแต่งรสด้วย น้ำปลาผงชูรส ...........สูตรนี้ไม่ได้ใช้ข้าวเบือ ถ้าชอบก็ใส่ได้ อร่อยไม่ต่างกันมากนัก ผมชอบแบบน้ำใสซดอร่อยดี
-------------------
                                                                      แกงหมากมี้
---------------------
.............หม้อโน้นแกงหมากมี้  น่ากินเหมือนกันนะแม่ค้า วันนี้ใช้กระดูกอ่อนหมู แบบที่ลุงชอบเลย ลุง
แกงกินบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส แม่ค้าถามว่าโอกาสไหนเหรอ อ๋อโอกาสหาหมากมี้อ่อนได้ไง มันหายากนะ
หมากมี้ แถวภาคกลางถามหาไม่มีหรอก มีแต่หมากขนุน ต้องไปทางอีสานหรือข้ามไปเวียงจันทร์โน่น หมากมี้มีเยอะแยะ  แกงหมากมี้ ตลาดสดมีขายตั้งแต่ลูกอ่อนที่เรียก "หำหมากมี้" ไปจนถึงลูกสุก ๆ หอมหวาน คนไทยไปเห็นมีปัญหา  อีกและ "ไม่เห็นมีหมากมี้ มีแต่หมากขนุน" ก็อันเดียวกันนั่นแหละ ภาษาถิ่นใครถิ่นมัน อย่ามาถามนะ  ว่าทำไมลูกอ่อนมันเรียก"หำหมากมี้" อยากรู้ก็เรียกคุณตามายืนสองขา ก้มมองลอดหว่างขาดู แบบเขาดูผีตอนเผาศพนั่นไง ถึงบางอ้อแน่ ว่าเพราะแบบนั้นแหละ
.......หมากมี้ที่เอามาแกง ลูกโตแล้ว ขนาดสองลูกหนักกิโลกรัมได้ เขาเด็ดออก เพราะมันดกเกินไป
แย่งอาหารกัน ลูกจะไม่โต ปล่อยให้มันโตพอแกงได้ก็เด็ดออกมาทำเป็นผักแก หรือทำซุบ อร่อยทั้ง
สองแบบครับ ถ้าจะแกง ต้องปอกเปลือกออกแล้วสับบาง ๆ ได้ซัก 2-3 ถ้วย กำลังดี ล้างให้สะอาด
ใส่กะละมังรอไว้ทำแกง
.......แกงหมากมี้ต้องใส่ของมีที่รสเปรี้ยว มะขามเปียก 2 ฝัก แต่บ้านผมมียอดส้มป่อยริมรั้ว เด็ดเอากำ
เดียวใส่แกงได้พอดี ยอดผักติ้วผักแต้ว ยอดส้มโมงหรือชะมวง ส้มแขก ใช้ได้ทั้งนั้นครับ แต่ต้องการรส
เปรี้ยวเอาไว้ชนกับรสฝากของขนุน แกงต้องการโปรตีนครับ จะใช้เนื้อหมูแดง หมูสามชั้น กระดูกอ่อน
หมู ใช้ได้ เนือวัวต้องย่างให้สุกก่อนถึงจะอร่อย  ปลาสดปลาย่าง ใช้ได้ทั้งนั้น หมากมี้นี่เอามาแกงสาระพัดจริง ๆ  เมนูที่เขาทำขายทำวันนี้ใช้ กระดูกซี่โครงหมู  สับแล้วเอามาถ้วยเดียว อัตราส่วน 1 ต่อ 3 กับหมากมี้ พอดี  ลุยหาชี้นกระดูกไม่ยากนัก
.......พริกแกงหมากมี้ ใช้พริกแกงส้มแบบไม่เผ็ดก็ได้ เติมหอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ตะไคร้ 1 หัว
ข่า 3 ฝาน กระปิ 1 ช้อนชา เนื้อปลาทูไม่ต้องใช้ โขลกให้ละเอียดใส่ถ้อยรอไว้ ผักแต่งกลิ่น หอมสด
1 ต้น ชีหอม 1 ต้น ใบมะกรูด 2 ใบ แมงลัก 1 กำ พร้อมแล้วตั้งหม้อแกง จนน้ำเดือดค่อยใส่กระดูกหมู
ลงก่อน เจ้านี่สุกยากกว่าเขา รอกระดูกสุกค่อยใส่พริกแกง ตามด้วยหมากมี้สับลงไป ยอดส้มป่อยมัดให้
แน่นกดให้จมน้ำแกง เติมน้ำปลาร้า 2-3 ช้อน ปล่อยให้เดือดจนสุก ใส่ผักแต่งกลิ่น ดับไฟ ชิมและปรุงรส
แล้วจะแปลกใจว่า ทำไมมันอร่อยดีเนาะ แกงหมากมี้อ่อน
.......ขออนุญาตโดนพาดพิง ซุบหมากมี้ จะหั่นหมากมี้เป็นแว่น ๆ หนาซัก 2 เซ็นต์ เอาไปต้มให้เปื่อย
ก่อนจึงจะเอามาทำซุบ เปื่อยแล้วค่อยปอกเปลือกหนาม ๆ และแกนในออก เอาแต่เนื้อมาทำซุบ ก็ประมาณ 2 ถ้วย กำลังดี ซุบต้องใช้ป่นปลาเป็นตัวช่วย ดังนั้นจึงมีอีกหม้อต้มปลาป่น ปลาหมอ ปลาดุก ปลาข่อน หรือกบ ตามแต่จะหาได้ ความอร่อยก็ตามลำดับ สุด ๆต้องปลาหมอ แล้วก็รอง ๆ กันไป ป่นปลาใช้พริกแห้ง 5 เม็ดย่างไฟให้กรอบใส่ครกบดให้แหลกไปก่อน หอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ข่า 3 ฝาน เผาไฟสุกดี แล้วตำให้แหลกผสมพริกที่ตำก่อนแล้ว ตามด้วยเนื้อปลา ตำแหลกดีแล้ว ใส่เนื้อหมากมี้ ตำให้แหลก น้ำปลาร้าใช้น้ำต้มปลา เติมปลาร้าใหม่ถ้ามันจืด ค่อยเทราดครกที่กำลังตำอยู่ หมดซักครึ่งถ้วย ซุบเริ่ม จะเหลวแล้ว ใส่ข้าวคั่ว หรืองาคั่ว ตกลงกันก่อน เมียจะเอางา ผัวจะเอาข้าวคั่ว แบบนี้ต้องแบ่งครึ่งก่อน ครกหนึ่งใส่งาคั่ว อีกครกใส่ข้าวคั่ว แบบนี้ถูกใจทุกคน อ้ออย่าลืมใส่ผักแต่งก่อน หอมสม ชีหอม ชีฝรั่ง หันโรยไปตำไป ชิมรสปรุงแต่งเอา สุดท้าย ใบสะระแหน่ โรยซะหน่อยจะได้ดูสวยน่ากิน
........กินซุบหมากมี้ต้องหาผักกับเยอกะ ๆ ถึงจะอร่อย 
---------------------
                                                     แกงอ่อมเครื่องในไก่
....................แกงอ่อมเครื่องในไก่ ของโปรดลุงเลยนะนั่น  เอาไหมวันนี้ลุง แม่ค้าถาม  ยังหรอก เครื่องใน
แบบมีไข่นี่เอามาจากไหน แม่ค้าบอกได้จากตลาดเช้า พวกเชือดไก่ขาย สั่งเขาไว้ ได้วันละ 3-5 กิโลกรัม
เอามาทำแกงได้หม้อหนึ่ง ขายดีมาก  คนอีสาน ชอบกินเครื่องไน เป็ด ไก่ หมู วัว ควาย แม้แต่รกก็ไม่ทิ้ง รกเป็ดไก่ก็คือ หมากพวงไข่ รกวัวควาย แกงอ่อมเครื่องในไก่ ที่เขาเรีกน้องวัวน้องควายนั่นแหละ แต่รกหมูไม่เห็นเอามากินกัน เครื่องในไก่เขาจะล้างทำความสะอาด อย่างดี กึ๋น แหกเอาเศษอาหารออกทิ้ง ลอกเยื่อบุออกทิ้ง เด็ดพวงดีที่มันขมทิ้ง ใช้มีดปลายแหลมคม ๆ แหกก่อนล้างง่าย จากนั้นก็ เอาไปทำอาหารกินกัน ก่อนทำแกงอ่อม ขอเล่าแถมนิดหน่อย
............ใส้ไก่ เขานิยมเอามาม้วนพันขาไก่ 2 ขาเอง เอาไปย่างพร้อมกับตับและกึ๋น ได้ 1 ไม้พอดี ย่างสุก
แล้วหอมมาก ๆ เอาไว้ป้อนลูกนะครับ เพราะมันอร่อยมาก เด็ก ๆที่กินข้าวยาก ๆ เจอเครื่องในไก่ กินง่ายมาก
............ถ้ามันมีมาก ฆ่าไก่เลี้ยงแขกมาช่วยเกี่ยวข้าว ช่วยนวดข้าว ฯลฯ เครื่องไนไก่หลายตัว ก็มีปริมาณ
มากพอเอามาทำแกงได้ อุปกรณ์ทำแกง เช่น มะเขือเปราะ ผักคาด ยอดพริกอ่อน ผักชีลาว หอมสด แมงลัก ใบมะกรูด ข้าวเบือ น้ำปลาร้า พริกแกง ตำเองแล้วกัน ใช้พริกแห้ง 5 เม็ด หอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ตะไคร้หั่นฝอย 1 หัว ข่า 3 ฝาน กระปิ 1 ช้อนชา ตำละเอียดใช้เป็นพริกแกง
...........ตั้งหม้อแกงใส่น้ำแก้วเดียว จะคั่วเครื่องในกับพริกแกงก่อน ใส่มะเขือเปราะลงไปด้วย เติมน้ำ
ปลาร้า ลงคนให้ทั่ว ฝาหม้อครอบปิดไว้ ให้เดือดอบสักครู่ มะเขือสุก ใช้ได้ เติมข้าวเบือ ผัก ลงไป ได้แก่ ผักคาด ยอดพริกอ่อน ใบหอมสด คนสักครูผักยุบ เติมผักแต่งกลิ่น หอมสด ผักชีลาว แมงลัก ผิดไฟ ชิมและปรุงรส ได้แกงอ่อมเครื่องในไก่ที่หอมอร่อย ข้าวเหนียวนึ่งใหม่ ๆ อร่อยมาก ลองดูนะครับ เครื่องในไก่เดี๋ยวนี้หาง่าย ไปแมคโครมันขายเป็นถุง ๆ เคยได้ซื้อมาทำกินบ่อยมาก