วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ข้อบกพร่องในการแต่งกลอน


                       
คุณเหน่งพาไปทานข้าวบางแสน แวะดื่มกาแฟแถวน้ั้นปีหกหนึ่งนี่แหละ

.............ผมเขียนบทกลอนจริงจังมาแต่ปี 2522 นิราศโตเกียวยาว เกือบ 70 หน้า หลังจากนั้นก็เขียนบ้างตามโอกาส  กลับไปอ่านของเก่าก็พบข้อบกพร่องกลอนมากหลาย จนสามารถนำมาเขียนถึงได้ยาวเลยแหละ  นำมาโพสไว้เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นบ้าง......ครั้งแรกโพสเมื่อวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559  จากนั้นก็ปรับแก้บ้าง แล้วแต่อารมณ์ครับ

                                                           ขุนทอง ศรีประจง
                                                           28 ธัวาคม 2561
                                                   วันปรับแก้และโพสครั้งล่าสุด


นิราศโตเกียว  คลิก....๑.http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/1_28.html
                                   ๒.  http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/4.html
                                  ๓. http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/3_28.html                                  ๔. http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/2_28.html
                                   

.......ผมฝึกร้อยกรองด้วยกาพย์ยานี ๑๑  ก่อนโดยใช้ปากเปล่า สนทนากับลูกสาวคนเล็ก ราว 3-5 ขวบ 

นั่งรถไปส่งแม่ที่สอนอยู่ประถม ชวนสนทนาเป็นคำคล้องจองแบบต่อปากต่อคำ  แรก ๆก็ต่อ 2 คำเหมือนให้เด็กที่เรียน ม. 1 เล่นกัน ปรากฏว่าทำได้ จนแม่ขอเล่นด้วย แล้วก็ต่อให้ยากขึ้นเป็น สามคำ สี่คำ และห้าคำ จนเก่งมาก สามารถสร้างคำถามให้เราตอบ....ช่วงเปิดเรียนเขาเรียนระบบสามเทอม โรงเรียนที่พ่อ
สอนระบบสองภาคเรียน พาไปโรงเรียนด้วย พ่อไปสอนเด็กชุมนุมร้อยกรอง ก็ไปนั่งดูพี่ ๆ เขาทำกิจกรรม
ต่อคำกัน มีการแย่งน้องไปนั่งแทรก อยากดูน้องต่อคำได้ไหม ไม่มีปัญหาเพราะซ้อมกับพ่อทุกวัน นี่นากิจกรรมที่เด็กชอบมากคือถามตอบปัญหาเป็นกาพย์ กลอน ให้เขียนคำถามลงสมุดไปวางที่โต๊ะครู 
ถามด้วยกาย์ตอบด้วยกาพย์ ถามด้วยกลอนตอบด้วยกลอน ฮือฮา มากครูภาษาไทยขอยืมตัวเด็กไปแข่งขันโต้วาทีกลอนสดระดับจังหวัด ได้รองชนะเลิศ เพราะคู่แข่งเป็นเด็ก ม.ปลาย เนื้อหาเด็กเขา
ดีกว่า แต่ฉันทลักษณ์เด็กเราเก่งกว่า
..........ผมชอบเขียนร้อยกรองสด ๆบนกระดานดำเมื่อต้องสอนกาพย์กลอน ปรากฏเด็กทึ่งมากทำไม

ครูแต่ง ได้เร็วทันใจดี ความจริงเราฝึกมานาน ฝึกแบบบ้า ๆบอ ๆ ด้วย เคยไปดูงานการสอนครูภาษา
ไทย และลองบันทึก การดูงานเป็นกาพย์ยานี นั่งสังเกตการณ์ไปบันทึกไป บันทึกได้นะ กลับมาเอา
มาตรวจทานและแต่งเพิ่มเติมเป็น รายงานการดูงานการสอนครูภาษาไทยโรงเรียน..กรุงเทพ ฯ วัน
หนึ่งนึกสนุกอยากเขียนเล่านิทานก้อม ก็หยิบเอานิทานเดอร์ตี้โจ้กของชาวบ้านมาเขียน เพื่อนมา
ขออ่านชอบใจเลยมาขออ่านอยู่เรื่อยในที่สุด ก็แต่งกาพย์ยานีค่อนข้างจะชำนาญ สามารถว่ากาพย์
แบบปากเปล่าได้ ส่วนแต่งกลอนมาเริ่มเขียนจริง ๆตอนเรียน กศ.บ. ปี 2519 ครูให้เขียนนิราศส่งเป็นภาคนิพนธ์คนละเรื่อง อย่างหน้อย 3 หน้ากระดาษ ไม่เกิน 5 หน้า พิมพ์หน้าละ 40 บรรทัด บรรทัด
ละ 2 วรรค รวมต้องพิมพ์ 120 บรรทัด ยาวมาก ๆ  จนนอนไม่หลับกลัวจะ ทำไม่ได้ ไปอ่านนิราศ
ต่าง ๆ  ที่ห้องสมุดจนหลับคาหนังสือ ในที่สุดก็ได้คิดว่า น่าจะลองเขียนดู 
...........กางสมุดแผนผังกลอนไว้แล้วก็หลับตานึกถึงการเดินทางจากบ้านมาที่มหาวิทยาลัย นั่งรถ
จักรยายนนตร์ เมียมาส่งคิวรถ นั่งรถยนต์รวดเดียวไปยัง ขนส่งปลายทาง ต่อรถสามล้อเข้าหอพัก
 จบการ เดินทาง จากนั้นก็นึกหัวข้อ จะเขียนอะไร จุดประสงค์จากบ้าน ลาบุตรภรรยา ขอคุณสิ่ง
ศักดิสิทธิ์คุ้มครอง ภรรยาไปส่ง บขส. ขอบคุณเธอ ฝากดูแลบุตรธิดา ..เข้าหอพักที่มหาวิทยาลัย 
รวมแล้ว 70 หัวข้อ สบายมาก เขียนเล่าเป็นกลอนแปด ปรากฏว่ายาวถึงห้าหน้ากระดาษ ส่งครูผู้
สอนไป วิชานี้ได้เกรด เอ บวก ไม่เลวนักหรอก 
...........หลังจากนั้นแต่งกลอนบ่อยมาก เอาอย่างแต่งกาพย์ยานีที่เคยฝึกมาแล้วบทอวยพรต่าง ๆ
 ใคร อยากได้ วานให้เขียน ได้เลย มากมายนับได้เกินร้อยสำนวน ที่แต่งเป็นนิราศก็มีจนวันหนึ่ง
อยากรู้ผล งานที่เคยเขียนมันมี ข้อบกพร่องอะไรบ้าง พบว่าบางบท บางเรื่อง หักคะแนนได้แทบ
ไม่เหลือคะแนนที่ได้เลย วันนี้ก็เลยนึกอยากนำ ข้อบกพร่องที่เจอมาเขียนไว้ให้ลูกหลาน อ่าน ดู
 จะได้รู้ว่า เราคิดว่าตัวเองเก่งเหลือ หลาย ว่ากลอนปากเปล่า ได้ไม่ติดขัด แต่กลอนก็มีข้อบกพร่อง ตั้งแต่บกพร่องเล็กน้อย ไปจนบกพร่อง มาก ๆ ดังจะนำมาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้ 
..............1. ใช้คำขาด ๆ เกิน ๆ กลอนแปด ใช้คำวรรคละแปดคำ คงเพราะ อ่านตำราบอกว่า ใช้ได้วรรคละ
7 - 9 เคยอ่านงานของกวีที่แต่งไว้ ก็มีจริง ๆ เวลาเราแต่งก็ตามสบาย ขาดบ้างเกินบ้าง พอมาอ่านที

หลัง มัน ติด ๆ ขัด ๆ ต้องดู ว่ากี่คำ 7 คำ อ่าน 2-2-3 ลงตัว อ้าววรรคนี้ไม่ได้ต้องอ่าน 2-3-2 ก็เลยรู้และ
ได้คิดว่า ทำไมไม่แต่งให้ลงตัวแปดคำ อ่าน 3-2-3 ลงตัวสบาย ๆ สรุปว่า กลอนแปด แต่งวรรคละแปด
คำแหละดีแล้ว
..............2. คำครบ แต่คร่อมจังหวะ กลอนแต่งเพื่ออ่าน โดยเฉพาะอ่านทำนองเสนาะ มีจังหวะ การ

อ่านแบบ 3-2-3 ทุกวรรค คำขาดคำเกิน ก็ต้องอ่าน 3 จังหวะ ทีนี้คำหลายพยางค์บางคำ คนแต่ง ไม่
ระวัง ปล่อยให้คร่อมจังหวะ ในวรรค อ่านก็สะดุด 8 คำเช่น.. ไปโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา
อ่าน....ไปโรงเรียน/เขียนอ่าน/การศึกษา .........อ่านไม่ติดขัด
.....ถ้าเกิดแต่ง 9 คำบ้าง ลูกเข้าโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา
อ่าน....ลูกเข้าโรง/เรียนเขียนอ่าน/การศึกษา ........อ่านได้ แต่ติด ๆ ขัด ๆ เพราะจังหวะไม่ลงตัว
..............3. เสียงคำท้ายวรรค กลอนอ่านทำนองเสนาะ จะมีปัญหา ถ้าคำลงท้ายวรรค เสียงผิด
ไปจากที่นิยม กลอนไม่ได้ ผิดฉันทลักษณ์ แต่มันอ่านไม่รื่น คนสมัยก่อนท่านนิยมแต่งคำลงท้าย

วรรค บทกลอนกันอย่างไร
.............คำท้ายวรรคสดับ ใช้ได้ทุกเสียง แต่ไม่ค่อยนิยมใช้เสียงสามัญ
.............คำท้ายวรรครับ ต้องใช้เสียงเอก โท หรือจัตวา นิยมใช้เสียงจัตวา ห้ามใช้ 
สามัญและตรี 
.............คำท้ายวรรครอง ต้องใช้เสียงสามัญ หรือเสียงตรี นิยมมากคือเสียงสามัญ ไม่นิยมเอกโท 
และจัตวา
.............คำท้ายวรรคส่ง ต้องใช้เสียงสามัญหรือตรี ที่นิยมมากที่สุดคือเสียงสามัญ ไม่นิยม เอก โท 

และจัตวา
ตัวอย่างกลอนสุนทรภู่
         พระฟังคำอ้ำอึ้งตะลึงคิด (เสียงตรี) .........จะเบือนบิดป้องปัดก็ขัดขวาง (เสียงจัตวา)
สงสารลูกเจ้าลังกาจึงว่าพลาง (เสียงสามัญ)....เราเหมือนช้างงางอกไม่หลอกลวง (เสียงสามัญ)
บทอาขยาน จากเรื่องพระอภัยมณี
.............4..สัมผัสนอกคือสัมผัสบังคับ บทหนึ่ง ๆ จะมี 2 สาย
................4.1 เริ่มที่คำท้ายวรรคที่ 1 ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 2 คำที่ 3 ถ้าจำเป็นอาจเป็นคำอื่นก็ได้ แต่

ต้องมี คำเดียว มากกว่า 1 คำ จะเป็นสัมผัสเลื่อน หรือ เลือน ทำให้กลอนมีตำหนิ
                  บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว    สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา 
           เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา                        ประคองพาขึ้นไปยังบรรพต
.........กลอนที่ยกมาเป็นตัวอย่าง คำที่ส่งสัมผัส บังคับ คำแรกได้แก่ คำ แว่ว ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 2 มี

คำ แล้ว รับ สัมผัส
...............4.2 สัมผัสนอกคำที่ 2 คือคำท้ายวรรคที่ 2 บทกลอนตัวอย่างได้แก่คำ หา ส่งไปท้ายวรรค

ที่ 3 (มา) และต่อเนื่องไปคำที่ 3 วรรคที่ 4 (พา) คำที่รับสัมผัสบังคับแต่ละจุดให้มีได้คำเดียว มีมาก
กว่า 1 จะกลายเป็นชิง สัมผัส หรือสัมผัสเลื่อน เลือน
                       แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์         มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
                   ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด           ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
.............คำมนุษย์ สัมผัสนอก ส่งไปวรรคที่ 2 มีคำ สุด รับสัมผัสคำเดียว พอแล้ว อย่าให้มีมาอีก 

คำกำหนด เป็นสัมผัสนอกเสียงที่ 2 ในบทนี้ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 3 มีคำ ลด รับสัมผัส ห้ามมีคำ 
อื่น ๆ อีก ถ้ามี ก็กลายเป็นสัมผัสเลื่อน สัมผัสเลือน 
..............5. เห่อเล่นสัมผัสใน จนทำให้กลอนบกพร่อง พวกที่อ่านกลอนสุนทรภู่มาก ๆ เหมือนกระผม 
ชอบ มากเรื่องสัมผัสใน จำจนขึ้นใจว่า วรรคละแปดคำ จังหวะ 3-2-3 สัมผัสในวรรคละสองคู่คือ คำที่ 3 กับ คำที่ 4 คำที่ 5 กับคำที่ 7 เกณฑ์นี้ใช้ได้กับวรรค คี่ คือวรรคที่ 1 และ 3 ส่วนวรรคคู่ก็ใช้ได้ ระวังพลาด
วรรคที่ 2 และวรรคที่ 4 ตำแหน่งคำ ที่ 3 ต้องใช้รับสัมผัสบังคับ ไม่ว่างที่จะใช้สัมผัสในกับคำที่ 4 ถ้า

ขืนใช้ จะทำให้คำที่ 4 เป็นสัมผัสเลื่อน หักคะแนนได้ บางคนเอากลอนเก่า ๆ มาอ้าง ก็ช่างกลอน
เก่า ๆ สิ เรารู้ ว่ามันบกพร่องจะเอาอย่างทำไม
.............6. ชอบเล่นสัมผัสใน เล่นให้ถูกจังหวะ อย่าให้กลายเป็นสัมผัสลัดหรือชิงสัมผัส หรืออย่าให้

กลาย เป็นสัมผัส เลื่อนหรือสัมผัสเลือน ตามแผนผังกลอนแปด คำท้ายวรรคสดับ ส่งสัมผัสไปให้
คำที่ 3 วรรครับ ถ้ามีคำอื่นอีกที่รับสัมผัสได้ เรียกว่า เกิดสัมผัสเลื่อน หรือสัมผัสเลือน 
....................อันความรักมักเป็นเห็นแต่ตัว.............เพราะมืดมัวกลัวรักจักห่างหาย
.............อ่านดูมันก็เพราะดี แต่สัมผัสบังคับใช้คำเดียวรับสัมผัสพอแล้ว ตัวอย่างมีทั้ง มัว และ กลัว
รับสัมผัสได้ ถือว่าแต่งผิดฉันทลักษณ์
.............สมมติว่าแต่งต่อไปอีก
..................อันความรักมักเป็นเห็นแก่ตัว.............เพราะมืดมัวกลัวรักจักห่างหาย
.............เกิดเป็นชายหมายรักมิกลับกลาย...........จวบจนตายรักแต่เจ้าเยาวมาลย์
........วรรครับคำท้ายคือ หาย ส่งสัมผัสบังคับไปให้คำท้ายวรรคของวรรครอง ได้แก่คำ กลาย แต่มี

คำอื่นดัก หรือ ชิงสัมผัสก่อนแล้วคือคำ ชาย หมาย ถือเป็นข้อบกพร่อง หักคะแนนได้
.........7.สัมผัสซ้ำ ในเส้นสายสัมผัสบังคับ ห้ามใช้คำซ้ำ หรือต่างรูป แต่เสียงเดียวกัน มาใช้ส่ง รับ

สัมผัสกัน เชน คำ สัน สรรพ์ สันต์ สันติ์ ถือเป็นคำที่มีเสียงเดียวกัน ไม่ให้ใช้ ขัน ขันธ์ ขรรค์ ไม่ควร
ใช้ เป็นต้น
...................โอ้ลมหนาวพัดมาพาหนาวเหน็บ         ปวดใจเจ็บปวดกายวุ่นวายสรรพ์
          พี่คะนึงถึงนวลป่วนจาบัลย์                            เศร้าโศกศัลย์ปวดใจไม่เว้นวาร
สรรพ์ ศัลย์ คนละคำก็จริง แต่เสียงเดียวกัน ไม่ควรใช้ในสายสัมผัสบังคับ
.........8. คำเสียงสั้น กับคำเสียงยาว ไม่ให้ใช้สัมผัสบังคับ เสียง อะ -อา นะ....นา จั น....จาน

มัน...มาน กรรม กำ กัม เสียงเดียวกัน ใน ไน นัย เสียงเดียวกัน ใน...นาย คนละเสียง นาม...น้ำ 
คนละเสียง เรา...เบาเสียงเดียวกัน เงา....ขาว คนละเสียง คำที่ประสมสระลดรูป เปลี่ยนรูป สังเกต
ให้ดี 
......... ...ในจดหมายพี่คะนึงถึงแจ่มจัน................แต่อังคารถึงพุธสุดขื่นขม
..........  ไม่สบายง่วงเหงาจนเศร้าโทรม..............จนนอนซมวันคืนไม่ชื่นบาน
แจ่มจัน..อังคาร จ+อะ+น =จัน ขม...โทรม...ซม ข+โอะ+ม = ขม ทร+โอ+ม = โทรม ซ+โอะ+ม = ซม
.........9. คำลงท้ายบทไม่ควรใช้เสียงเดียวกันติด ๆสำหรับบทกลอนที่แต่งติดต่อกันหลายบท สมมติ
5 บาท บทที่หนึ่ง จบบทด้วยคำ ใจ จบบทสองด้วยคำ ใน เสียงไอเหมือนกันกับบทแรก ควรเว้นซัก

 2 บท ถึงใช้ซ้ำก็ไม่ น่าเกลียด
..................ยังจำได้บอกว่าจะมาเยี่ยม..........พี่ก็เปี่ยมยินดีศรีสมร
..........อุตส่าห์เตรียมของไว้ให้งามงอน........มะพร้าวอ่อนส้มสูกลูกไม้มี
..........ทั้งส้มโอเขียวหวานและส้มเซ้ง..........สวนตาเส็งมากมายนักนวลศรี
..........อย่าลังเลชักช้ารีบมาซี   ....................วันสิบสี่มกรามาไวไว
.........ชวนอาม่าอากูมาดูด้วย.......................จักให้ช่วยเก็บส้มสมสมร
.........พี่คอยมาหลายวันหนาบังอร...............จนรุ่มร้อนรอเจ้าจนเหงาทรวง
..........คำ ศรี ซี สี่ พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน ประสมสระ อี เหมือนกัน ไม่ควรใช้ในสายสัมผัสบังคับเดียวกัน คำสมร ห่างกันบทเดียว ใช้เสียง ออน อีกแล้ว ไม่ผิด แต่ไม่ควรใช้
.........10. คำคู่ที่ถือเป็นคำมาตรฐานไปแล้ว ไม่ควรนำมาสลับตำแหน่งหน้าหลัง มีคำไหนบ้าง ต้อง

ตรวจ สอบกับ พจนานุกรมทันทีที่สงสัย คำที่ถือว่าเป็นคำมาตรฐานไปแล้วเช่น แน่นอน กอบกู้ 
จริงใจ เดียวดาย ปกป้อง บางคำสลับ ตำแหน่งความหมายก็เพี้ยนไปด้วย ทางที่ดีอย่างใช้สลับ
ตำแหน่ง คำที่มักเขียนสลับบ่อย เช่น ขุกเข็ญ งอกงาม ลิดรอน หุนหัน ว้าเหว่ ย่อยยับ ทักทาย 
บดบัง งมงาย ร่ำรวย ชั่วช้า หลายคำสลับที่แล้วความหมาย ผิดเพี้ยนไป เช่น งอกงาม= งามงอก
 หุนหัน = หันหุน งมงาย = งายงม ร่ำรวย = รวยร่ำ ใช้ตามเดิมดีกว่า
.........11. ใช้คำสัมผัสเพี้ยน ๆ ดูรูปคำนึกว่าจะสมผัสกันได้ แต่ลองอ่านดูจะรู้ได้ว่าคนละเสียง เช่น

 เล็ก เป็ด เลข เป็นคำประสมสระ เอ เหมือนกัน แต่ตัวสะกดต่างกัน เลยออกเสียงต่างกัน
................สวัสดีหนูเล็ก............มาเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งหรือ
..........อยากรู้เห็นเลื่องชื่อ.......ว่าเลี้ยงเป็ดมานับนาน
..........ทุ่งนาจะไล่ทุ่ง...............อะไรจูงใจจึงสรร
..........เลือกเช่าที่สำคัญ.........คุ้มค่าไหมที่ลงทุน
.......เล็ก---เป็ด คนละเสียง ทุ่ง กับ จูง สระเสียงสั้นกับเสียง ยาว นาน--สรร---คัญ สระเสียงยาวกับเสียงสั้น
..........12. สัมผัสเผลอ เกิดจากการใช้คำบางคำที่รูปร่างคำคล้ายกัน หรือ ออกเสียคล้ายกัน เช่นคำว่า
น้ำออกเสียงเหมือนคำ น้ำ ย่าม ตาม ลาม ลองแยกคำดู น+สระอำ+ไม้โท เป็น น้ำ ย+สระอา+ม+ไม้เอก คำ ไป ขัย ใน นัย เสียงเดียวกัน แต่ต่างจากเสียง ชาย วาย งาย คำทำนองนี้ถ้าสงสัยให้วิเคราะห์คำดู ว่าประสม เสียง สระอะไร ถ้าเสียงสระเดียวกัน สะกดมาตราเดียวกันไหม ถ้าต่างมาตราสะกด ถือว่าคนละเสียง
...............................ยามเย็นเดินหาดทราย.......น้ำก็ใสแลปูปลา
........................เสฉวนแปลกเสาะหา ...............เปลือกหอยเปล่าเข้าอยู่แทน
.......................นั่นงามนะหอยสังข์ ...................เสฉวนอ้างมันหวงแหน
.......................อยู่นานจนดัดแปลง...................เป็นห้องเช่าส่วนตัวแล
คำทราย กับ ใส คนละเสียง สังข์ กับ อ้าง คนละเสียง แหน กับ แปลง สระแอ แต่สะกด ต่าง มาตรา
..........13. แต่งไม่ระวังกลายเป็นกลอนที่มีละลอกทับละลอกฉลอง ระลอกทับ หมายถึงการมีเสียง

วรรณยุกต์เ อกหรือโท ในคำสุดท้ายของวรรครับและวรรครอง ระลอกฉลอง หมายถึงเสียงวรรณ
ยุกต์เอกหรือโทในคำสุด ท้ายของวรรคส่ง
......................สะดับ      จะกล่าวถึงละลอกทับกับฉลอง..........จับตามองวรรคนี้ให้ดีท่าน          รับ
......................รอง     ละลอกทับรับรองจองการบ้าน................คนโบราณว่าฉลองตรองแบบนี้   ส่ง
.................................มิผิดแบบแต่กลอนมีตำหนิ .....................อย่าพึงริเสกสรรค์ตามวิถี 

.................................หลีกละลอกทั้งสองให้จงดี ....................จึงจะมีมงคลกลกลอนกานท์ ฯ
..........14. ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ในบทกลอนโดยไม่มีเหตุผลสมควร
..........15. ใช้คำภาษาพูด ภาษาปาก เว้นแต่ใช้เป็นการบอกเล่า สนทนา
..........16. ใช้คำภาษาถิ่น โดยไม่จำเป็น เว้นแต่ต้องการเน้น การนำเสนอศิลปะการใช้ภาษา
..........17.ใช้คำภาษาต่างประเทศ แบบคำทับศัพท์ในบทกลอน ไม่ควรใช้
................................ไอเลิฟยูยูก็รู้ว่าพี่รัก................แล้วไยจักมัวอายคล้ายผลักไส
................................แค่มองอายก็รู้หัวอกไอ..........หอบรักไว้มอบยูรู้ยังเธอ
18.. อื่น ๆ เอาไว้นึกได้ค่อยมาต่อเติม ตอนนี้หยุดไว้ก่อน สวัสดีครับ


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตลาดขวัญเรียม มีนบุรี

ก่อนเข้าตลาดชักฮูปก่อน

ตลาดตำนานแห่งความรัก หัวใจกุหลาบแดงนะ
ตลาดน้ำขวัญเรียม
.......๒๘  ตุลาคม ๒๕๖๑ คุณยายธนัญธร สั่งให้แต่งตัวจะพาไปทานข้าวนอกบ้าน ก็ขำ ๆนะนานๆจะได้ยินชวนไปนอกบ้าน เพราะไม่มีรถ เฝ้าบ้านประจำไม่อยากไปไหน ...ก็เอาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จส่องกระจกดูก็เจอตาแก่คนหนึ่งหน้าตาคล้ายเรา ทำไมแก่กว่าเราเยอะเลย เรา 74 ขวบแล้ว ตาแก่ในกระจกคงใกล้ 80 แล้ว ดูไปดูมา ก็เรานั่นแหละ... ไม่ได้ส่องกระจกนานเห็นสภาพสังขารตัวเองก็ตกใจ
......แต่งตัวเสร็จออกมา แม่บ้านปล้ำหมา ทาโร่ กะ คุกกี้ ยายบอกจะเอาหมาไปด้วย ใส่เสื้อ ใส่ห่วงรัดอก ร้อยเชือกจูง หล่อเหมือนหมาเลยนะเอ็ง เราเลยนั่งเปลชิงช้ารอหมาแต่งตัว ทาโรเสร็จก่อน กระโดดมา
นั่งเบียดเราก่อนจะนั่งตัก พยายามจะเลียปากให้ได้ แหมเอ็งทักด้วยการเลียปากนี่พวกหมาเองนั่นแหละ อย่าเอามาใช้กะคน....ก็โดนเคาะกระลาสิ นั่งเรียบร้อยหน่อย ไม่นานคุกกี้ก็แต่งตัวเสร็จมีสายจูงเหมือนกันเลยจูงไปรอที่ประตูใหญ่หน้าบ้านติดถนน ไม่นานลูกสาวก็ขับรถมาเทียบ สองหมาขึ้นท้ายรถมีกรงวางรออยู่ คนนั่งเต็มเก๋งรถกระบะ 4 ที่นั่ง สบายหน่อยแยกหมาไปไว้ข้างหลัง มีแม่บ้านชื่ออาชาน กับลูกชายสอง กำปั้น กับต้น มาด้วย แค่นี้ก็พร้อมระเห็จโดยรถยนต์...สะดวกกว่าสมัยเจ้าฟ้ากุ้งที่ท่านเสด็จทางเรือ
.......ออกจากบ้านเข้าถนนใหญ่เลี้ยวซ้ายเข้าศรีโสธรตัดใหม่วิ่งไปสุดสายเจอถนนจักรพรรดิ เลี้ยวซ้ายอีกที จะพาไปไหนน้า....ผ่านสถานีรถไฟ แยกบางปะกง ไม่เลี้ยวตรงไปทางถนนสุวินทวงศ์ นี่มันทางจะไปกรุงเทพฯนี่นา ผ่านแมคโคร เลยแยกสตาร์ไลท์ ไม่เลี้ยวขวาเคยไปบางน้ำเปรียวแวะตรงนี้ วันนี้ผ่าน ......อาชานบอกถึงตลาดที่ชื่อสุวินทวงศ์พาแวะร้านขายสินค้าจากพม่าด้วย พวกพม่าที่มาทำงานโรงงานต่าง ๆแถวนั้นเยอะ เลยมีคนเปิดร้านค้านำสินค้าจากพม่ามาบริการ อาชานเป็นมอญบ้านอยูเมียววดีใกล้แม่สอด ชอบมาอุดหนุนบ่อย พวกแป้ง ครีม ขนม อาหารแห้ง เราไม่ลงหรอก มีแต่ยายลงไปอุดหนุนช่วยเขา ได้ของแล้วก็เดินทางต่อ ผ่านร้านส้มตำขาประจำนึกว่าจะแวะ หิวแล้วนา ยายบอกเดี๋ยวสิ จนกระทั่งถึงร้านข้าวแกงร้อยหม้อ ทักทายอ้ายเท่ง อ้ายหนูนุ้ย หน้าร้านแล้วก็เข้าไปหาของกินกัน
........ยายสั่งกับข้าวแบบตักใส่ถ้วยมานับดู 7 อย่าง 8 กับน้ำพริกกะปิที่บริการฟรีพร้อมผักสด 2 ถาด ไม่กลัวขาดทุนเลยนะ กินน้ำพริกกะผักก็อิ่มแล้ว แต่กับข้าวเขาอร่อย จนต้องเติมข้าวสวยอีกคนละชาม
ห้าคน อิ่ม สองร้อยกว่าบาท ไม่แพง (ยายท้วงมาว่าจ่ายหกร้อยเชียวนาไม่ใช่สองร้อย)มิน่าลูกค้าเต็มร้าน เสร็จธุระร้านข้าวแกงก็เดินทางต่อ จะไปตลาดขวัญ-เรียม ถามกูเกิลได้ความว่าสถานที่ตั้ง : ริมคลองแสนแสบ ระหว่างซอยเสรีไทย 60 และ ซอยรามคำแหง 187 บริเวณวัดบำเพ็ญเหนือ และ วัดบางเพ็งใต้ เห็นป้ายถนนเสรีไทย 60 เลียวซ้ายไปไม่ไกลก็เห็นป้ายชื่อตลาดขวัญ-เรียม นึกว่าจะไกล เลี้ยวมาก็เจอวัดแล้ว บำเพ็ญเหนือ วัดนี้มั้งรถนักท่องเที่ยวแน่นวัด เร่หาอยู่นานได้ที่จอดตรงข้ามศาลาบำเพ็ญกุศล แดดเปรี้ยงสะใจ จนต้องเอาหมาน้อยลงเดินไปเที่ยวด้วย
                               
                                                  ยายกับหลาน ขอเดินชมตลาดก่อน

......จากที่จอดรถเลี้ยวขวาลงไปทางคลองแสนแสบ มีทางเดินเลียบคลอง เห็นป้ายตลาดน้ำขวัญ-เรียมไม่ไกล ยายกับเจ้ากำปั้นเดินไปหยุดที่ร่มไม้ใหญ่ นั่งอยู่ใกล้ก้อนอะไรสีชมพูคล้ายรูปหัวใจพอมาถึงใช่เขาทำเป็นรูปหัวใจขนาดใหญ่ บอกให้รู้บริเวณนี้เป็นแดนที่มีตำนานรักของขวัญและเรียม ก็ดูดีมีคนเข้าคิวถ่ายรูปกันมากมายเราก็เอามั่งเนาะยาย ถ่ายรูปแล้วก็ชมตลาดต่อ เขาบอกตลาดเปิดให้นักท่องเที่ยวมาชมกันเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ คลองแสนแสบมีน้ำเยอะ เรือวิ่งไปมาได้สะดวกใกล้ตลาดมีเรือสำหรับนักท่องเที่ยวนั่งชมทิวทรรศน์สองฝั่งคลองไป-กลับ บัตรที่นั่งละ 40 บาท
                                         
                                     ชีวิตนี้มีหมานำ ภาษาอีสาน นำ หมายถึงไปด้วย ทาโร่เลยนอนย่ามนำ
....ถามคนแถวนั้นว่าทำไมเรียกตลาดขวัญเรียมยังกะชื่อหนังเพลงมนต์รักลูกทุ่ง เขาบอกใช่ ชื่อขวัญเรียมดูที่ฝั่งวัดบางเพ็ญใต้ต้นไทรเขาปั้นรูปควาย มีหุ่นหนุ่มสาวขี่ควายนั่นชื่อขวัญกับเรียม เรื่องราวตำนานก็แบบที่เล่าในหนังนั่นแหละ หนังเรื่องแผลเก่า นิยายของไม้เมืองเดิมเล่าถึงตำนานรักของขวัญกับเรียม จนคนจำติดใจ เมื่อมีตลาดนัดอยู่ติดสองฝั่งคลองแสนแสบ เลยเอาชื่อขวัญ กับเรียมมาป็นชื่อตลาด ทำให้คนจดจำได้ง่าย... อ้อคลองแสนแสบ เชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยา กับแม่น้ำบางปะกง สมัยก่อนคนไปมาหาสู่กันคงใช้เส้นทางนี้ไม่น้อย แต่เดี๋ยวนี้ถนนหนทางสะดวกนั่งรถสบายกว่า
                                                ขอจูงทาโร่หน่อย จะได้เหมือนนางแบบ
........วันหยุดเช้า ๆ มาทันตักบาตรทางน้ำก็คงแปลกดี เขาจะจัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นสภาพความเป็นอยู่สมัยก่อน พระพายเรือรับบิณฑบาต โยมลอยเรือตักบาตรมั่ง นั่งริมฝั่งก้มตักบาตรบ้าง สมัยนี้ไม่มีจนต้องจัดพิเศษให้ได้ชม เรามาเกือบสี่โมงเช้าแล้ว ไม่เห็นหรอก อีกฝั่งถามเขาบอกว่าศาลขวัญเรียม
ใต้ต้นไทรที่เคยพรอดรักกัน  เคยชมหนังเรื่องแผลเก่าที่ขวัญกับเรียมรักกันปานจะกลืนแต่ที่สุดก็ไม่สมหวัง จนคนสมัยต่อมาสร้างหุ่นคู่กันไว้ที่ศาลต้นไทรขอให้อยู่คู่กันชั่วกัลปาวสาน
.........ตลาดขวัญเรียม วันนี้วันเสาร์ ตลาดมีคนมาเที่ยวเยอะพอสมควร...ในคลองไม่เห็นพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายของ แต่มาอยู่บนฝั่งแทน มีทั้งสองฝั่ง เดินฝั่งเหนือก่อนเนาะยาย จับทาโร่ยัดลงย่ามพาเดินชมตลาด เด็ก ๆมองชอบใจ ทาโร่ไม่สนเพลินชมของกินมากมาย เออจะซื้อให้ไปรถค่อยกินแล้วกัน ลูกชิ้น น้ำจิ้มกับผักไม่ต้องเอ็งกินไม่เป็นหรอก ตลาดเขามีของกินขายเยอะเหมือนกัน ขนมนมเนยก็หลากหลาย เลือกชมได้ตามใจชอบ สาว ๆมองมาแล้วก็ยิ้มให้ รู้น่ายิ้มให้หมาทาโร่ มัน ไม่ได้ซื้ออะไรเดินชมเฉย ๆ แม่ค้าก็รุ่นขวัญกับเรียมโน่นแหละมั้ง สาว ๆไม่เห็นชอบมาช่วยพ่อแม่ขายของมั่งเลย เดินข้ามไปฝั่งใต้ดีกว่า
.......สะพานข้ามคลองแสนแสบ ทำเป็นกระดูกงูท้องเรือสำเภาใหญ่แปลกตาดี ลงฝั่งวัดบางเพ็งใต้ ตรงร่มไม้ที่ขวัญกับเรียมขี่ควายคู่กันไม่ยอมไปไหน รักกันจริงนะพ่อคุณ ก็หุ่นน่ะครับไม่มีใครพรากสองเจ้า
ได้อีกแล้ว เขาทำสวยงามดี มีคนไปจุดธูปเทียนบูชากันเยอะ คนไทยเรามีน้ำใจ เลื่อมใสศรัทธาไม่ยาก
มีม้าแคระรอกินแครอท เขาวางขายใกล้ ๆปากมันนั่นแหละ ตัวอัลลาปาก้าก็กินด้วย แกะก็กิน ใครชอบใจป้อนก็เชิญรับรองมันไม่ปฏิเสธ ใจดีมากเนาะ
                                    สะพานข้ามคลองแสนแสบ ภาพจากกูเกิล ถ่ายเองไม่สวย

.......เดินผ่านไปในตลาด แม่ค้าขายเสื้อผ้า ขนมนมเนย คล้ายฝั่งเหนือแต่ทางใต้จะมีเยอะกว่า มีอาคารร่มรื่น คนเลยเยอะไม่ต้องร้อน ยายรีบจ้ำไปพร้อมกับจูงคุกกี้ไปด้วย ดีหมาแถวนั้นไม่มีเลยไม่ต้องทะเลาะกับหมา ส่วนทาโร่ยังยึดย่ามเราตามเคย เราไปดูอะไรก็ไปด้วย เด็ก ๆ สาว ๆ ยิ้มให้ บางคนก็ชี้ไม้ชี้มือ วันหลังกูไม่เอามึงมาด้วยแล้วทาโร่ เสียเปรียบเอ็ง...เห็นเต่ายักษ์ 3 ตัว บิ๊ก ๆ ทั้งนั้น กำลังกินอาหารสำเร็จ รูป ผักหญ้า วางอยู่ไม่สน สงสัยอยู่ตลาดขวัญเรียมมานาน พัฒนาไปเยอะนะพ่อเต่ายักษ์ทำไมไม่ลอง 
มาม่า ไวไว มั่งหละ เอ๊ะ คงได้ลองแน่ คนเยอะ คงมีพวกชอบโยนขนมให้กิน  อีกกรงคล้ายจิงโจ้สีขาว ๆ ตัวเล็กน่ารัก ถามเอ็งชื่ออะไรมันเงียบเลย ป้ายก็ไม่มี ผ่านไปก่อนแล้วกัน ทางนี้มีแต่ขนม เสื้อผ้า ของเล่นพวกเด็ก ๆ นักท่องเที่ยวไม่มากนัก เดินสบาย ๆ
ตลาดขายของบริการแก่นักท่องเที่ยว

.......เดี๋ยวเดียวรอบตลาดฝั่งใต้ เมื่อยขา กลับมานั่งที่เก้าอี้นั่งเล่นตรงทางเข้าตลาด ยายเห็นเรานั่งก็มานั่งบ้าง เอาน้ำมาแจก ขอหลอดจะให้ทาโร่มั่งมันหิวน้ำ ยื่นมาให้จริง ๆ เปล่าหรอกคนหิวขอดูดก่อน ของแกต้องไปซื้อกาแฟดำเนาะ ข้าดูดกาแฟหมด เหลือน้ำแข็ง เทน้ำเปล่าใส่ แกก็กินน้ำได้ไง ทาโร่ชอบ บอกไม่ต้องใข้หลอดครับ ป๋มใช้ลิ้นตะวัด ๆๆๆ ก็กินได้คุกกี้เห็นทาโร่กินน้ำ ขอลองมั่ง 
.........พลอยช่วยจูงทาโร่ ว่าง ๆ เลยขอเดินชมวัดมั่ง ไปสนใจควาย 3 ตัวกำลังท้องตัวหนึ่ง สนใจหนุ่มทุยเขากำลังงาม ไปลูบหัวเคาะเขาเล่น ไม่ว่าอะไร เลยตักน้ำมารดหัวให้ อากาศกำลังร้องสงสัยจะชอบยืนให้ราดน้ำให้จนเปียกโชก ราดจมูกให้เลียกินใหญ่เลย คงกระหายน้ำ อากาศร้อน...คงเป็นควายวัด แบบมีคนไถ่ชีวิตไว้แล้วเอามาถวายวัด คงไม่ใช่พระไปหาซื้อมาเลี้ยงหรอก บริเวณวัดมีแต่ลานซีเมนต์ ควายคงไม่มีหญ้าให้เล็ม..นี่ก็เห็นหญ้าแห้งกองอยู่  กินแทนฟางมั้ง หญ้าสด ๆ คงยากแหละเนาะ...เล่นกับควายครู่หนึ่งก็เดินไปศาลาใกล้ ๆแค่เดินข้ามถนน เป็นที่ทำทานสาระพัดวิธี ตั้งแต่เซียมซี ขายดอกไม้ธูปเทียน  ดูดวง หยอดตู้ ฯลฯ ทำบุญหยอดตู้ช่วยค่าปฏิสังขรณ์กุฏิศาลา ไปตั้งยี่สิบบาท สะเทือนไปทั่วโลก บุญเยอะ
.........เห็นพลอย แม่ อาชานและเด็ก ๆมารถนานแล้ว ออกรถไม่ได้ ทางคนเก็บตังค์ค่าที่จอดรถไปช่วยโฆษณาหาเจ้าของรถที่ขวางทางออก มาช่วยเลื่อนรถหน่อย นานสองนานค่อยออกได้ ถามว่าไปไหน
ต่อ ไม่มีใครตอบงั้นหลับดีกว่า.... ลืมตาอีกทีเข้าบ้านแล้ว ก็ควรจบได้แหละ ไปเที่ยวตลาดขวัญเรียม 
ภาพรวมก็ดีนะ มีของขายนักท่องเที่ยวมากพอสมควร ของที่ ระลึกโอกาสมาเที่ยวตลาดขวัญเรียม ไม่เห็นมี  มุมถ่ายภาพสวย ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ก็ไม่มี แต่ก็สนุก เดินจนเหนื่อย โอกาสหน้าคงได้ไปอีก เพราะไม่ไกลนี่นา









ยายอิ่มแล้วเลยเมินปลาเผา




เห็นนกกะเรียนคงไม่น้ำลายสอนะ



เห็นรองเท้าไม่ได้อยากซื้อ


อาชานกับลูกชายสอง มาเที่ยวกับยาย