อุปสมบท 2510-2516 สึกมารับราชการครู
...........บ้านแก ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ แค่เริ่มประโยคแรกก็มีปัญหาแล้ว ทำไมชื่อบ้านแก ชื่อบ้านฉันไม่ดีกว่าเหรอ ตำบลกมลาไสยนี่มันแปลว่าอะไร อ้าวจังหวัดกาฬสินธุ์อีก ภูมิลำเนาของคุณนี่มีแต่ต้องแปล มีแต่ ต้องถาม มิน่าคุณถึงเป็นคนที่ปัญหามาก มันมาจากบ้านเกิดคุณนี่เอง ความจริงผมไม่เคยสงสัยหรอก แต่เพื่อนเรียนสมัย อยู่มัธยม มันซักก็เลยได้คิด แหมมันน่าสงสัยจริง ๆ ยิ่งวันสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน ม.4 เจอครูภาษาไทยแกถามชื่อเธอ ขุนทอง ศรีประจง มันแปลว่าอะไร จะบ้าตายมันตอบไม่ได้น่ะซี
........ขุนนี่แปลว่า เลี้ยง แบบขุนหมู ไง ทองก็ทองคำนั่นแหละ แต่พอเข้าคู่กัน ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงทองคำนะเออ แต่แปลว่า คนที่สะสมสิ่งที่ดีงามแบบทองคำนั่นแหละ ก็คือสะสมความดีงามไว้มาก ๆนั่นเอง เฮ้อ โล่งไป ศรี ก็คือศิริมงคล ประจงก็คือ บรรจง เพียรแต่งมงคลให้ดีงาม โหกว่าจะได้ความหมาย พ่อแกทำไมตั้งชื่อนามสกุลลึกลับขนาดนี้ แปลได้ก็สบายใจนะ แต่นั้น มาไม่มีใครถามอีกเลย ไม่คุ้มเลยกว่าจะหาคำแปลได้
...........บ้านแกล่ะ ถามผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว หมู่บ้านเราตามทุ่งนามีต้นสะแก เยอะมาก มองไปทางไหนเป็นดงเลย เลยตั้งชื่อว่า บ้านดงแก บ้านต้นแก ที่สุดก็เป็น บ้านแก ต้นแกนี่ที่นากระผมก็เยอะนะ มีทั้งเป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ กบเขียดชอบโดดไปหลบให้ พวกเราไปไล่จับกันสนุกมาก มีต้นขนาดใหญ่มดแดงชอบไปทำรัง เวลาพี่ชายทำก้อยปลา เขาจะถือชามไปต้นสะแก เด็ดรัง มดแดงมาเคาะ ๆ ใส่เนื้อปลากระดี่ที่สับละเอียด ได้มดแดงพอจะออกสีขาว ๆ ค่อยไปทำต่อจนได้ก้อยปลากระเดิด ก็ปลา กระดี่นั่นแหละ แต่เราเรียกปลากระเดิด หน้าแล้งต้นสะแกใหญ่ รังมดแดงก็รังใหญ่ ไข่เต็มรัง แม่กับพี่สาวชวนกันไปแหย่ เอาไข่มดแดงมาทำกับข้าว เคยสังเกตเหมือนกัน รังเดิมนั่นแหละ แหย่แล้วแหย่อีก สรุปว่าบ้านแก ได้ชื่อมาจากต้นแก ไม่ใช่บ้านแกบ้านฉันหรอก
..........ตำบลกมลาไสย (กมมะลาสัย) ไปหาคำแปลมาจนได้แหละ กมลา กับ อาไสย กมลา กมล ก็ดอกบัวไง หรือจะแปลว่า หัวใจยังได้นะ แต่อย่าเลย เวลาผสมกับอีกคำจะแปลยาก อาไสย ก็คือแหล่ง ที่อยู่ ผสมกันก็หมายถึง แหล่งที่มีดอกบัวอยู่ นั่นเอง คือมีบึง ห้วย หนอง ที่มีดอกบัว อันนี้ไม่ทราบว่าหมายถึงหนองไหน ในพื้นที่อำเภอนี้มีบึงหลายแห่ง ก็คงหมายถึงหนอง บึงที่อยู่ใกล้ตัวอำเภอนั่นแหละ เขาตั้งชื่อตำบลกมลาไสยตามชื่อหนองบึงที่มีดอกบัวเยอะ ๆนั่นเอง พอพัฒนาเป็นอำเภอ ก็ ไม่เปลี่ยน นะ ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ เลยสบายไป ไม่ต้องไปหาคำแปลอีก
..........จังหวัดกาฬสินธุ์ โหทำไมชื่อมันแปลยากอย่างนี้ ดีนะที่เป็นผม คนขยันหาคำแปล ไปค้นมาจน ได้แหละ ค้นจากไหน ก็พจนานุกรมไง กาฬ สินธุ กาฬ แปลว่าดำ สีดำ สินธุ ก็แปลว่าแม่น้ำ ชื่อไม่โก้ เลย จังหวัดแม่น้ำดำ แต่มันหมายถึงแม่น้ำปาว สายเอกของจังหวัดนี้นั่นเอง ที่เขาเรียกแม่น้ำดำเพราะ น้ำลึก ปลาชุม ยิ่งตอนสร้างเขื่อนลำปาวนี่ทำให้ลุ่มน้ำปาวเป็นพื้นที่เกษตร ที่ดีมาก ๆของจังหวัดนี้ทีเดียว
บ้านแก กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
...........รู้จักภูมิลำเนาแล้ว เกิดได้ยัง แหมมันไม่ได้ง่ายนักหรอก คนสำคัญจะเกิดมันต้องมีอะไรซักอย่างที่ชวนให้อยากเกิด บ้างซี คุณพ่อชื่อนายจำปา ศรีประจง เป็นคนบ้านแกนี่แหละ มีภรรยาชื่อนางจ้อน ศรีประจง คนบ้านเดียวกัน แถมคุ้มเดียว กันซะด้วย ก่อนจะแต่งงานกันอันนี้ไม่ทราบ เกิดไม่ทัน เพราะตอนผมเกิด พ่อแม่มีลูกครึ่งโหลแล้ว น.ส.หมา น.ส.พุด น.ส.สี น.ส.ทุม น.ส.จัน....(เสียชีวิต ปีผมเกิด) นายบัวทอง แล้วก็ผม คนที่เจ็ด เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนั้น ปี พ.ศ. 2487 ยังอยู่ในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง ปีถัดมาญี่ปุ่นถึงโดนระเบิดปรมาณู เรียกว่าสงครามยังไม่สงบ แถมเกิดโรคระบาดคือ ฝีดาษ ไม่มียา ตายเป็นเบือ คนป่วยจะเป็นแผลพุพองเหมือนถูกไฟลวก คนที่หายเป็นแผลเป็นเต็มหน้าเต็มตัว แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด บ้านเรา โดนเข้าไปสองคนคือ พี่จัน กับ พี่บัวทอง เราเสียพี่จันไป พี่บัวทองรอด ใบหน้ามีแผลเป็นติดมา แม่เล่าว่ามันลำบากมาก ไหนจะ กลัวเขารบกัน ไหนจะรบกับโรคภัย แม่ท้องเจ็ดเดือนแกก็คลอดก่อนกำหนดซะนี่ หนังท้องบางมากขนาดเห็นลำใส้เป็นขด ๆ เลยมึง ตัวเล็กมากนึกว่าเป็นลูกหลอด แต่มึงหายใจอยู่ กระดูกตรงร่องอกยังไม่ติดกันเลย ทุกคนทำใจไว้แล้วว่าถ้ามึงเจอ ฝีดาดอีกคน ตายก่อนแน่ วันที่ 1 มิถุนายน 2487 นั่นแหละวันเกิดละ เดชะบุญนะ โรคฝีดาษเริ่มถอย เบาบางลงและสงบไป จนได้ พร้อมกับสงครามโลกครั้งที่สองก็สงบลงในอีก 2 ปีถัดมา ไม่อยากโม้ว่าเป็นเพราะเราเกิดมาโรคภัยก็เลยถอยไป
.........ผมเป็นลูกที่กินนมแม่ 3 คน หลังผมเกิด ปีวอก 2487 ปีถัดมา พี่สาวคนที่สองก็คลอด ด.ญ.สุวรรณทา ปี 2488 คนนี้ปีระกา ถัดมาอีกปี พี่สาวคนโต คลอด ด.ญ.ทองมา ภูมิขันธ์ คนนี้ปี 2489 ตรงกับปีจอ ยังไม่ได้ออกเรือนทั้งคู่ เลยมีเด็ก อ่อนสามคน เลี้ยงกันมั่วไปหมด เพราะเหตุการณ์โรคระบาด แม่ไม่ว่าง ดูคนเจ็บสองคน พี่สาวเลยเป็นผู้ช่วยโดยปริยาย มิน่า สองคนนี้ถึงรักผมมาก ผมก็คิดถึงเขานะ ไปเยี่ยมบ่อย เอาของไปให้ เอาเงินใสมือให้ใช้ เพราะเขามีพระคุณเหมือนแม่เรา คนหนึ่งเลยแหละ วันนี้ที่เขียนชีวประวัตินี่ พี่คนโตแกเสียชีวิตไปแล้ว ก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่พี่แกเกิดก่อน อายุมากกว่าคนอื่น
ถือว่าไปในเวลาอายุมากแล้ว
..........พี่ทุม พี่บัวทอง สองฮีโร่ของผม สองคนนี่อายุห่างผมไม่มาก พี่ทุม 7 ปี พี่บัวทอง 4 ปี ตอนผมอายุ 5 ขวบสองคนนี่บอกผมว่า แกใกล้จะเข้าเรียนแล้วนะ มาจะสอนหนังสือให้ พี่ทุมแกจบ ป.4 มาสามปีแล้ว ส่วนพี่บัวทองอยู่ ป. 4 เขาจับเราสอนให้เขียน ก - ฮ เลข 1 - 0 หัดเขียนหัดอ่าน ความจริงพี่เขาเล่นเป็นครู หานักเรียนไม่ได้เลยจับน้องมาเรียนหนังสือ อุปกรณ์อย่างดีนะ กระดานชะนวนแบบหน้ากระจกลื่น ๆ ปากกาแบบหินปูนเส้นใหญ่ แบบหินชะนวนเส้นเล็ก มีหมดแหละ นักเรียนชอบเรียนด้วยครูเลยสอนเก่ง แป๊บเดียวเขียนได้อ่านได้ แล้วก็เกิดเรื่องสำคัญขึ้น วันหนึ่งครูบุญชู ครูโรงเรียนบ้านแกนั่น แหละแกเป็นเพื่อนพ่อ ตอนนี้พ่อไปเป็นผู้ช้วยผู้ใหญ่บ้าน มีเหล้าขาวขายที่บ้านด้วย ครูแกเลยแวะมาเยี่ยมเรื่อย พ่อก็เลี้ยง เหล้าแกบ่อย ขากลับแกก็ซื้อพกกลับไปบ้าน หลายวันก็มาอีก บังเอิญวันที่แกมาพบ ครูทุม ครูบัวทอง สอนหนังสือนักเรียนเข้า เห็นนักเรียนเขียนอ่านได้ยังกะพวกเข้าเรียนป.1 แล้ว เลยขอให้พ่อนำไปฝากเรียนชั้นเตรียม เห็นไหมผมเรียนเตรียมตั้งแต่ ห้าขวบเอง ป.เตรียมน่ะ ไม่ใช่เตรียมอุดมศึกษาหรอก พี่สองคนนี่แหละ มีส่วนทำให้ผมเป็นเด็กเรียนเก่งที่สุดในโรงเรียน ผมถึงเรียกสองคนนี้ว่าฮีโร่ของผม ไม่ผิดหรอก
..........วัยเรียนวัยเล่น ผมอายุ 5 ขวบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ก่อนเกณฑ์ 1 ปี พี่คนถัดจากผม 10 ขวบ แกอยู่ ป.4 พี่ทุมก็เป็นสาว คนทำงานในบ้านมีเยอะแยะ ผมก็เป็นเด็กที่ไม่มีใครอยากใช้ ตัวเล็กไป เลยถูกปล่อยให้เล่นหัวบ้านท้ายบ้านรู้จักหมด ลูกชาย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นิสัยดีไม่เกเร เพื่อน ๆก็ยินดีให้เล่นด้วย เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านโยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วใส่กางเกงหูรูด เสื้อไม่ต้องวิ่งปรู๊ดหาเพื่อนเล่นที่ลานวัด บางทีติดพันจนทุ่มสองทุ่มแม่มาตามเลยกลายเป็นเด็กที่รู้จักการเล่นค่อนข้างมาก หมากหนอน หัวกะโหลก วิ่งเปี้ยว ลิงชิงหลัก โค้งตีนเกวียน รีรีข้าวสาร งูกิน หาง ไม้หิงอี่ วิ่งขาโถกเถก เป่ายาง ยิงยาง โยนหมากแต้ หมากข่า ลูกข่าง ม้าหลังโปก มอญซ่อนผ้า เตะบอล ตีคลี ฯลฯ รู้ละเอียดด้วยนะ สมัยไปเรียนปริญญาตรี ที่ มศว. มหาสารคาม เขามีคอร์สวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน ได้เกรด A บวก รับประกันได้ว่ารู้จักจริง
การละเล่นเด็ก
……………ด้านการเรียน ระดับประถมก่อนแล้วกัน เพราะวีรกรรมการเรียนของผมมันมีทุกระดับ มกราคม-มีนาคม 2494 ช่วง นี้เทอมปลายปีการศึกษา 2493 พ่อนำผมไปฝากเรียน ป.เตรียม เพื่อต้นปีการศึกษา 2494 จะได้เข้าเรียน ป. 1 ได้เลย เพราะมีครูสอนพิเศษให้ที่บ้าน วันแรกก็ดังเป็นพลุระเบิด อ่านหนังสือบนกระดานที่ครูบุญชูแกเขียนสอนเด็กใหม่ อ่านได้หมด จนครูให้นำอ่านหน้าชั้นเรียน เวลาครูไม่อยู่ มีหน้าที่พาเพื่ออ่าน จนกว่าครูจะมา เลยกลายเป็นเด็กรักการเรียนหนังสือตั้งแต่นั้น มา สอบได้ที่ 1 ปีละ 3 ครั้ง เพราะระบบ 3 เทอม ปีจบ ป.4 คะแนนสูงสุดในอำเภอกมลาไสย มีสิทธิ์รับทุนเรียนต่อระดับมัธยม 6 ปี ตัวประโยคเขาใช้ข้อสอบกลางของจังหวัด คะแนนเลยเอาไปเทียบกันได้
.......ด้านการเล่น ยังเป็นเด็กที่มีเพื่อนเล่นทั่วทุกคุ้มบ้านเหมือนเดิม ทางบ้านก็ปล่อย ไม่ใช้งานอะไร หาบน้ำก็ไม่เก่ง ตำข้าว ก็ตื่นไม่ทันเขา ได้งานอย่างเดียวคือหาหลัวไม้ไผ่มาให้พี่สาวลงข่วงเข็นฝ้าย กอไผ่อยู่หน้าบ้านเอง ไปช่วยเขาหอบมากองไว้ แล้วก็รีบไปเล่น การเล่นพัฒนาไปมากจากการเล่นสนุก ๆ ไปเป็นการเล่นแบบไล่ล่า หัดทำอุปกรณ์หน้าไม้ พลุหรือไม้ซาง หาล่ากบเขียด ยิงนกตกปลา มีรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเป็นหัวหน้า ได้เรียนรู้ วิธีวางเบ็ดปลา วางเบ็ดกบ วิธียิงนกกินหมากไม้ วิธี ดักหนูนา รู้สึกตื่นเต้นกว่าเล่นที่ลานวัด ก็คงบอกได้ว่า เก่งทั้งเรียนหนังสือ และเก่งการเล่น ไม่เก่งอย่างเดียวคือช่วยงานบ้าน ลูกคนเล็ก ใคร ๆ ก็รัก ไม่อยากใช้งาน ก็เป็นจุดอ่อนได้เหมือนกัน
พี่สาว พุด ป้าบุญ พี่ชายบัวทอง ศรีประจง
แถวล่างล่างพี่สาว ทุม ลูกสาวสาวิตรี ป้าพุด เหลนระเบียบ
........ปี 2498 จุดเปลี่ยนของชีวิต บ้านแกขาดแคลนไม้ฟืนเป็นอย่างมาก ไม่มีป่า มีแต่ต้นไม้ในนาของใครของมัน กิ่งไม้ หักลงอย่าไปเอาของเขานา เขาหวง มีเรื่องกันบ่อย ทำนาเจอหัวตอขุดเอามาตากไว้ริมคันนา แล้วก็ขนไปเก็บที่บ้านไว้ทำฟืน หนักหนาขนาดนั้นแหละ พ่อแม่ยินข่าวป้าเหลา พี่สาวแม่อยู่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) มีแต่ป่าไม้เต็งรัง เป็นดงทึบ ได้ยินก็ตาลุกกัน อยากไปอยู่ถิ่นที่ป่ามันเยอะบ้าง ก็ไปสำรวจดู พ่อซื้อที่นา 2 แปลง และบ้านพร้อมที่ดิน 1 หลัง แล้วกลับมาบอกจะอพยพไป อยู่กับป้าเหลา มีผู้สนใจไปอยู่บ้านใหม่ 2 ครอบครัวคือ คุณอาเจริญ ภูมิชัยโชติ เหมารถหกล้อคันหนึ่งไปส่งที่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี(ขณะนั้น) ผมรอสอบไล่ ป.4 ไม่ได้ไปด้วย ต้องย้ายไปอยู่บ้านพี่สาวคนโต รู้สึก ใจหวิว ๆนะ เพราะเป็นลูกติดแม่ แต่พี่สาวก็ดูแลดี สอบไล่เสร็จผลสอบได้ที่ 1 และคะแนนสูงสุดในอำเภอ มีสิทธิ์รับทุนเรียน ต่อถึงระดับมัธยมศึกษา 6 ปี อันนี้เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง ใครจะแยกจากพ่อแม่ได้ เล่นอพยพไปกันหมด ตอนพ่อกลับมา รับครูก็พยายามมาต่อรองขอให้รับทุน พ่อไม่ตกลง แต่แกรับปากจะให้เรียนต่อจนจบ ม.6 อพยพไปบ้านใหม่ บ้านใหม่ หนองลุมพุก เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ประมาณ 40 ครอบครัว ประกอบด้วยพวกอพยพสองกลุ่ม กลุ่มใหญ่มากจาก สุรินทร์ ศรีสะเกษ อีกกลุ่มจากร้อยเอ็ดกาฬสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนสุรินทร์ มีวัดชื่อวัดอัมพวัน หลวงปู่อายุเกินร้อยเป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่อินทร์ จากสุรินทร์เป็นผู้ช่วย นอกนั้นก็เป็นพระบวชช่วงเข้าพรรษา ออกพรรษาก็สึก ไม่มีโรงเรียน ต้องเดินไปกิโลครึ่ง โรงเรียนบ้านหนองกุงคำไฮ เด็ก ๆ ไปเรียนที่นั่น ใกล้วัดเป็นหนองน้ำชื่อหนองลุมพุก มีต้นลุมพุกขึ้นริมขอบสระ 1 ต้น ชื่อ หมู่บ้านไปจากหนองน้ำนี่เอง ตรงกลางเขาขุดสระเก็บน้ำไว้ใช้บริโภคกันทั้งหมู่บ้าน หนุ่มสาวเย็น ๆลงมาที่หนองน้ำกัน มอง เห็นๆ รอบ ๆสระน้ำมีคนมาอาบน้ำกันเยอะ สาว ๆ หาบน้ำไปให้หนุ่มอาบ หนุ่มก็อาบมันกลางแจ้งนั่นแหละ สาวก็ยืนดู เขารู้ เห็นหมดแหละกล้ามหรือก้างแค่ไหน ส่วนสาวเขาหาบไปอาบที่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ก็อาบที่บ้าน น้ำดื่ม หน้าฝนก็รองน้ำฝนไว้ หน้าแล้งก็มองหาบ่อที่ไหนน้ำอร่อย ก็ไปหาบมาใส่ตุ่มไว้ดื่ม บ่อที่น้ำใสเฉย ๆ ไม่อร่อยไม่เอา นี่แหละทำไมเป็นนิ่วกันมาก เพราะชอบน้ำอร่อยนี่เอง ต้องไปเข้าคิวกันนะน้ำดื่ม ไปก่อนได้ก่อนมาทีหลังก็รอคิว หลายชั่วโมงกว่าจะได้ หน้าแล้งน้ำไหล ช้ามาก แต่เห็นหนุ่มสาวเขาชอบไปรอคิวตักน้ำดื่มกัน
วัดอัมพวัน บ้านหนองลุมพุก
........รอบ ๆ หมู่บ้านเป็นป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ก็มีต้นไม้ขึ้นประปราย ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงจั๊กจั้นออกพอดี เพื่อนใหม่เขาพาไปจับจั๊กจั่นไม่เคยเห็น เดินหาจับเอาจริง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างมันบินหนีก่อน กลับมาบ้านพ่อหัวเราะ บอกเขา ใช้ยางตังก็คือกาวเหนียวยางไม้ผสมน้ำมันยางอุ่นไฟให้ผสมกันดีแล้วเหนียว ติดปีกจั๊กจั้นไปไม่รอด หัดทำยางตังได้ก็ไปลอง จับง่ายหน่อย เห็นต้นไม้มีรอยคนเอาไม้เคาะ ถามเพื่อนเขาบอกพวกหาบ่าง เสียงคนเคาะมันนึกว่าคนจะโค่นต้นไม้ บ่างที่ หลบในโพรงจะออกบินไปต้นอื่น โดนเขาไล่จับไม่ยาก แปลกดีไม่เคยเห็น วันหลังมีพลุไม้ซาง ลองเคาะดู ใช่จริง ๆ ถ้ามีบ่าง มันรีบออกจากโพรงบินหนี เราก็ตามยิงเอา เพื่อบ้านหลายคนรู้ว่าเรามาอยู่ใหม่ หลายคนอัธยาศัยดีมาชวนไปเที่ยวเดินป่า กว่าโรงเรียนจะเปิดเทียวเล่นอยู่กว่าสองเดือน ได้ประสบการณ์มากมายทีเดียว
........เก็บผักหวาน...บ้านแกไม่รู้จักหรอก ไม่มีป่าได้กินแกงผักหวานอร่อยมาก สาวข้างบ้านเขาชวนไปเก็บผักหวาน ไปแต่เช้า เดินไกลซักสองกิโลเมตร เป็นป่าทึบ มีรอยคนเดินยังกะทางพระเดินจงกรม เขาบอกทางคนเดินไปต้นผักหวาน ขำดีตามรอยไป เจอต้นผักหวานทุกที มียอดมากบ้างน้อยบ้าง จนสายได้ผักหวานพอแกง สาวมาดูตะกร้าเรา เขาแบ่งให้บอกว่ามันน้อยไป ไม่พอแกงหรอก น้ำใจคนบ้านนอกเหลือเกินจริง ๆ จากนั้นก็ไปหาไข่มดแดงกัน มดแดงแถวนี้อยู่ต่ำ ไม่ต้องใช้ไม้ยาว ๆ เขาเดิน ไปหักเอารังมันมาเคาะใส่ตะกร้า ทิ้งให้มันไต่ออก ไม้ยาว ๆ มาหิ้วไปที่ใหม่ สามรังพอแกง อีกนั่นแหละเขาแบ่งให้ แกงผักหวาน ต้องใส่ไข่มดแดงถึงจะอร่อย สาวบอก กลับมาบ้านพี่สาวแย่งไปจัดการ มีคนแห่มาถามสนุกไหม ก็ดีนะความรู้ใหม่
........ไปขุดอึ่งอ่าง เพื่อนบ้านเขามาชวนพี่สาวสองคนคือพี่พุดพี่สีดาไปขุดอึ่งที่ภูเก้า ขอไปกะเขาอยากดูอึ่งเป็นตัวแบบไหน ที่บ้านแกไม่เคยเห็นหรอก สองสามวันก่อนเขาเอาต้มส้มอึ่งอ่างใส่ใบผักติ้วมาให้ถ้วยหนึ่ง ลองซดน้ำดูอร่อยนะ พอเขาจะไปขุด อึ่งจึงขอไปด้วย เด็กผู้ชายมันบอกให้เอาบั้งตังไปด้วย เดินไปภูเก้าประมาณห้ากิโลเมตร ปีนเขาอีก ครึ่งชั่วโมง ถึงไหล่เขา ป่า ไผ่เพ็ก พื้นเป็นทราย มีร่องรอยคนขุดกระจุยกระจาย เขาบอกพวกขุดอึ่งอ่าง มันมุดอยู่ในทราย ลองขุดดูนะ ไม่ค่อยเจอ แต่ พวกผู้หญิงเจอเอา ๆ นานมากกว่าเราจะได้ตัวหนึ่งดีใจมาก เห็นรูมันต้องขุดตามใจเย็น ๆ ลึกซักศอกก็ตามเจอ ผมขุดได้สามตัว เองก็ต้องหยุด เพราะจั๊กจั่นมันร้องระงมดงเลย เพื่อนมันมาบอกไปตัดไม้โจดมาทำคันไม้ไปติดจั๊กจั่นกัน ปล่อยพวกพี่ ๆ เขา ขุดหาอึ่งอ่างกันต่อ ตอนเที่ยงเลยได้กินก้อยจั๊กจั่นใส่มะม่วงดิบ เดือนเมษายนมะม่วงลูกเล็กอยู่ใส่ก้อยพอดี อาหารเที่ยงเลย ไม่ต้องรบกวนอึ่งอ่าง อ้อบริเวณใกล้กันเป็นป่าต้นติ้ว หรือแต้ว ที่แมงจี่นูนชอบกินใบอ่อน อิ่มแล้วก็ทิ้งตัวมุดอยู่ใต้ต้นนั่นแหละ ชาวบ้านเขารู้ชวนไปขุดหา ตัวขนาดนิ้วมือ ได้ซักยี่สิบตัวก็พอทำกับข้าวแล้ว วิธีการเหมือนขุดหาอึ่งอ่างเลย แต่ขุดตื้นกว่า เห็นว่าวิธีการแบบเดียวกัน เลยเอามาเขียนต่อไว้ซะเลย
.........ไปคล้องกะปอม เคยฟังคนแก่เล่าเล่าเรื่องที่พรานป่าเขาไปคล้องช้างที่ดงแม่เผด สนุกมาก พอได้ยินคล้องกะปอมก็ ถามเขาว่าเหมือนคล้องช้างไหม เขาหัวเราะบอกว่าง่ายกว่า ไปหาเชือกป่านมาฟั่นเชือกเส้นเล็ก ๆ 2 เกลียวยาวสักคืบเศษ ทำเป็นบ่วงรูดได้ผูกติดปลายไม้เรียว ไม้ยาวสักเมตรครึ่ง ถ่างบ่วงให้กางไว้ แล้วค่อย ๆ ยื่นปลายไม้ไปหากะปอม คล้องคอ ให้ได้แล้วกระตุก เชือกรัดคอกระปอมให้เราจับเอาไว้ เขาสาธิตให้ดู ไม่น่าจะยาก ป่าไม้แถบใกล้ผืนนามีกะปอมเยอะมาก พอสาย ๆ แดดแก่มันเริ่มออกแล้ว พอเราเดินผ่านไปวิ่งขึ้นต้นไม้ สูงซักเมตรก็หยุดคำนับเรา มรรยาทดีจริง ๆ ยื่นบ่วงไปคล้อง
คอมีแหงนดูเชือกอีก โดนกระตุกบ่วงรัดคอไม่พลาดซักตัว วันแรกได้เกือบยี่สิบตัว เอามาบ้านพี่สาวเอาไปจัดการเอง วันหลัง มีกระปอมแดดเดียวย่างให้กิน เข้าเรียนต่อระดับมัธยม
ไปเรียนต่อ
.............พ่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับครูโรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา ต้นเดือนพฤษภาคม 2498 ก็พาไปติดต่อเข้าเรียน ที่โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับชั้นละ 1 ห้องเรียน เพื่อนพ่อ คุณตาโส พาไปฝากให้พักบ้านเพื่อน เมื่อเปิดเรียนก็มาอาศัยบ้านผู้ใหญ่กลม มีคุณยายเป็นผู้ดูแลบ้าน ลูกสาวลูกชายสามคนและมีพวก ลูกหลานอีกสองคน ไม่ค่อยสบายใจนักก็พยายามปรับตัวนะ ช่วยหาบน้ำมาใส่ตุ่ม ช่วยปัดกวาดและเช็ดถูบ้าน เช้าก็ไปเรียนเที่ยงก็กินข้าวที่โรงเรียน เย็นก็กลับบ้านพัก เครียดเหมือนกัน เราเป็นคนชอบเที่ยวเล่น แก้ไม่หาย แอบไปเดินเล่นตลาด ยืน ดูเขาเล่นหมากฮอร์สจนมีความรู้วิธีเล่น สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ นักเล่นหมากกระดานรู้จักเด็กแก่แดดคนนี้ดี อยู่ในสภาพ นี้สองเทอม ผลการเรียนดีมากไม่มีปัญหา เทอมที่สามเลยขอให้พ่อไปฝากเป็นเด็กวัดทุ่งสว่าง
วัดทุ่งสว่าง
............วัดทุ่งสว่างเป็นวัดธรรมยุติ มีป่าช้าสำหรับเผาศพอยู่ด้านหลังวัด กุฎิใหญ่มีสองหลัง นอกนั้นเป็นกุฎิไม้ไผ่สำหรับพระ ฝึกอบรมวิปัสสนา เลิกกิจกรรมใช้เป็นที่พักพระเณร แต่ละหลังมี 2 ห้องนอน พระอยู่ห้อง กันให้เด็กอีกห้อง มารู้ทีหลังว่าพระ ก็กลัวผีเหมือนกัน เลยรับเด็กมาอยู่ด้วย เด็กก็มีหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิด้วย ทำความสะอาด ตักน้ำใส่ตุ่ม ซักจีวร จัดเตรียมบาตร จัดที่ฉัน เข้าเวรทำสะอาดศาลา ตั้งที่ฉัน จัดที่ทำวัตรสวดมนต์ มาอยู่วัดเป็นงานมากขึ้น ได้ทำงานใหม่ ๆ เทกระโถน ล้าง ห้องน้ำ ก็ดีทำงานเก่งมากขึ้น ได้เห็นพระที่ท่านถือธุดงค์ พอเห็นใครอวดว่าเป็นพระธุดงค์เลยขำ ๆ หลอกชาวบ้านซะมากกว่า วัดนี้มีเด็กวัดร่วม 20 คน ช่วยกันทำงาน ได้รับใช้พระเถระ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ
วัดโนนสงเปือย
............วัดบ้านโนนสงเปือย เพื่อนบ้านเดียวกันเป็นเด็กวัดอยู่ที่นั่น เขาชวนย้ายไปอยู่ด้วยกัน ก็ตกลงไปอยู่ด้วย เจ้าอาวาส ท่านใจดี เด็กวัดก็ไม่ถึงสิบคน พระเณรมีน้อย งานไม่หนัก เป็นวัดมหานิกาย ก็เคยอยู่วัดธรรมยุติงานหนัก มาเจอวัดงานไม่หนัก ก็เลยอยู่กันสบาย ๆ ช่วยทำกิจวัตร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ได้เรียนรู้งานวัดมากขึ้น เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำรงชีวิตใน เวลาต่อมา
โรงเรียนโนนสัง
............การศึกษาเล่าเรียนเป็นไปด้วยความราบรื่น สอบได้ที่ 1 เป็นปกติ เคยมีเทอม 1 สอบตก เพราะเจอข้อสอบจังหวัด ครู เอามาทดลองใช้ ตกทั้งห้อง ที่ 1 ก็เราเอง ได้ 49 % อีกนิดเดียวก็สอบได้ แต่ปลายปีสอบไล่ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อจบ ม. 3 ครูที่สอนอยู่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน จบมาจากเกษตรกรรมชัยภูมิ 3 คน บรรจุพร้อมกัน เห็นเราเรียนจบ ม. 3 เลยชวนไปสอบ เข้าเรียนที่ชัยภูมิ เขารับเด็กเข้าเรียน ม. 4 เพิ่ม 1 ห้อง 40 คน เขาเล่าว่าเป็นโรงเรียนกินนอน มีหอพักให้อยู่ฟรี มีอาหารให้ สามมื้อ ค่าเทอมฟรี แต่เสื้อผ้า เครื่องเรียนต้องหาเอง พ่อฟังแล้วชอบเลยชวนเพื่อนอีกสองคนชื่อ เพิ่ม โสดาวัตร และอีกคน ชื่อพวง นามสกุลจำไม่ได้ มีสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ เพิ่มกับพวงเก่งแฮะสอบได้ที่ 18และ19 ส่วน เราสอบได้ลำดับที่ 39 รองบ๊วย นึกกังวลว่าคนเก่งจากหลายจังหวัดมาประชันกัน เราต้องตั้งใจให้มาก เป็นที่โหล่เขาไม่ค่อยดีแน่
โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิ
...........กลางเดือนพฤษภาคม 2501 พ่อพาไปมอบตัว ซื้อเครื่องเขียนแบบเรียน ชุดทำงาน จอบ มีด ครุถัง เครื่องมือให้ครูเก็บ เข้าห้องพัสดุ มีหมายเลขติดไว้ของใครของใคร เวลาเบิกภารโรงจะจัดให้ พวกเราเด็กใหม่ โรงเรียนให้ไปอยู่วิทยาเขตบ้าน เหล่า ที่นี่พวก ม.4 มีห้องพักหลังหนึ่ง และห้องเรียน 3 ห้อง โรงเรียนมีที่กว้างสำหรับทำไร่ปอ ไร่มัน ไร่ข้าวโพด รถไถก็มีนะ แตเอาไว้ใช้สอนนักเรียน เวลาเตรียมดินปลูกพืช ใช้เด็ก 40 คน จอบคนละเล่ม หน้าเดิน ดีที่ตอนคราดยอมใช้รถ คงกลัวเด็ก ทำไม่ดี ตอนปลูกไม่มีเครื่องหยอดเมล็ดหรอก เด็ก ๆช่วยกันหยอด ช่วยกันดายหญ้าพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลกำจัดมดแมลง
ดินดีมาก ปอแก้วยาวเฟื้อยเลย ตอนตัดปอก็สนุก เอาลงแช่ให้เปื่อยก็สนุก ไม่สนุกเฉพาะตอนลอกปอแก้ว มันเหม็นจับใจจริง ๆ วันปกติต้องเข้าเวรลอกปอแต่เช้า อาบน้ำแล้วเข้าเรียนยังมีกลิ่นปออยู่เลย บ่นกันเพราะมันเหม็นทุกคน ส่วนวันอาทิตย์ มีจ้าง มัดละห้าสิบสตางค์ ลอกเสร็จล้างสะอาดแล้วนำไปตาก ผมเคยไปทดลองได้วันละ 5 บาทเทียว นอกจากปอก็มีพวกมัน ข้าวโพด นี่คือกิจกรรมนักเรียนโรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิปีแรกทำ
ชีวิตนักเรียนในโรงเรียนเกษตร
...........พูดถึงการเรียนการสอน มีวิชาสามัญเลขคณิต ภาษาไทย ศีลธรรม วิทยาศาสตร์แยกเรียนเป็น สัตวศาสตร์ และพฤกษศาสตร์ แปลกมากเนื้อหาที่เรียน ตอนผมอ่านตำราวิชาชุด พ.ม. ในเวลาต่อมา ไม่ยากเหมือนที่เราเรียนเลย เทอมแรกผลการสอบ ผมได้ที่ 1 กลับคืนมาแล้ว เพื่อน ๆมันมองหน้า คนที่สอบเข้าได้ที่ 1 หล่นไปอยู่อันดับ 10 บวก เจ้าเพิ่ม เจ้าพวงเพื่อนกัน จองที่เกินยี่สิบมาด่าเราอีกว่ามึงรู้ข้อสอบรึเปล่า ปีสองย้ายเข้ามาเรียนในเมือง เหมือนเดิมยึดที่ 1 ได้อีก เลยได้สัมญานามว่า "บักอ้อป่อง" มีคนขอวิชาอ้อป่องกันมาก แต่มันไม่มีจริง ๆ แต่เรารู้นะว่าทำไมได้ที่ 1 ตลอด เพื่อน ๆ มันกินยาปอบปิ้น สมัยนี้ก็คือยาขยัน ยาบ้า นั่นแหละ อ่านหนังสือไม่หลับไม่นอน ท่องกันชิบหาย เราน่ะเหรอไม่เอายาวิเศษ
อ่านอย่างเดียว ไม่เคยท่องจำ แต่ความสามารถในการอ่านของเราสูงมาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าอ่านหนังสือเร็วมาก หนาซัก 500 หน้า ครึ่งวันจบแล้ว หนังสือเรียน 6 เล่มเอง อ่านสัปดาห์ละสองเที่ยว เลขคณิตทำแบบฝึกหัดจบทั้งเล่มตั้งแต่เทอมแรก ส่งให้ครูตรวจ ครูสงสัยว่าใช้กุญแจรึเปล่า ก็ทดสอบให้ออกไปเขียนกระดานตรวจการบ้านแทนครู แล้วเวลาสอบวิชาเลขได้ เต็มตลอด เพราะอย่างนี้เอง วิชาอื่น ๆ ก็เช่นกัน สมัยนั้นข้อสอบเป็นแบบอัตตนัย ใครท่องมาผิดไปไม่เป็น แต่เราไม่เคยท่อง มันจำได้อัตโนมัติ คราวหนึ่งครูออกข้อสอบใช้คำผิด เขียนตอบทักครูไป ถูกเรียกไปพบโดนเขกหัวทีหนึ่ง แต่ได้เต็ม
สนามกีฬาโรงเรียน-จังหวัด
...........การเล่นกีฬา ผมได้ชื่อเป็นเด็กชอบเล่นอันดับต้น ๆของโรงเรียน สงสัยติดนิสัยมาแต่ตอนเด็ก ๆ โรงเรียนกินนอน มีเวลาว่างมาก ห้องกีฬาต่าง ๆเปิดให้เล่นได้จนสองทุ่ม ถูกใจมาก หมากฮอสเอย หมากรุกเอย ปิงปอง ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล บาสเกตบอล มวย ใครชอบเล่นอะไร ครูพละแกสนับสนุนให้เล่นเต็มที่ นักเรียนทั้งโรงเรียน 240 คนเอง เวลาคัด นักกีฬา มีไม่ถึง แปดสิบคน นอกนั้นไม่เล่น ขอเป็นกองเชียร์ ผมโดนเพื่อมันยุให้ลงคัดตัวแทบทุกอย่าง ติด ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อข้ามตาข่าย วิ่ง 80 เมตร 100 เมตร 4 คูณ 80 เมตร กระโดดไกล หมากฮอส ปิงปอง ไม่รู้เพราะเพื่อนมันนัดกันให้ ยอมแพ้หรือเราเก่งกว่า ไม่ทราบ แต่สงสัยจนทุกวันนี้แหละว่า อะไรจะชนะเขาไปหมด ผลเสียก็เกิดตามมา เทศกาลแข่งกีฬา ครูจับไปเข้าค่าย คุมอาหาร คุมการฝึกซ้อม เช้าวิ่งไปกลับสิบกิโลเมตร กลับมาลงสระน้ำว่ายสองรอบ พักไปทานอาหาร เข้าเรียน บ่ายซ้อม จนสองทุ่มได้พัก แทบหมดแรง เพื่อนมันชอบมาก ยุให้เราตั้งใจซ้อม ชักสงสัยแล้วพวกนี้อยากให้เราบ้า เล่นกีฬานี่เอง แต่พวกมันต้องผิดหวัง เพราะสอบได้ที่ 1 เหมือนเดิม ส่วนกีฬา ยิ่งเข้าค่ายยิ่งแข็งแรง เล่นได้คล่องตัวมากขึ้น ฟุตบอลต้องลงเล่นสองรุ่น รุ่นกลางเป็นกัปตัน รุ้นใหญ่เป็นผู้ช่วยกัปตัน พอได้เห็นลีลาการเล่น ครูพละหวงมาก เวลาเจ็บแข้ง ขาเรียกหมอนวดชาวบ้านมาช่วย เวลาลงแข่งเฟอร์นิเจอร์เต็มสองแข้ง ยืดมาก ก็สมราคานะ ยิงได้แทบทุกนัด ปีอยู่ ม. 6 ได้รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของจังหวัดชัยภูมิ ได้เสื้อสามารถ 1 ตัว
บนครูแก้ว แม่ลูกสาวลูกชาย
ล่างลูกสาวคนเล็ก และลูกชาย
ความรักหนุ่มสาว............วัยรุ่นแล้วรู้จักความรักหรือยัง ความจริงรู้จักความรักนานแล้วนะ แต่เป็นความรักของเด็ก ๆ อยากเห็นหน้า อยากอยู่ ใกล้ ๆ อยากพูดคุยด้วย เห็นเธอไปคุยกับคนอื่นก็น้อยใจ มันเกิดความรู้สึกนี้ตอนเรียนชั้น ป. 4 เองกระแดะไหมล่ะ สาวชั้น ป. 4 ด้วยกันนั่นแหละ รูปร่างหน้าตา น่ารัก พูดจาดี เพื่อน ๆชายหญิงชอบ เราก็ชอบด้วย เวลาไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ก็อยากร่วมกลุ่มกับเธอ มาวิเคราะห์ดูทีหลัง ใช่เลยเราหลงรักผู้หญิงคนนี้เข้าให้แล้ว เธอชื่อสายพิน ดีที่เราย้ายไปอยู่ที่อื่น เลย ไม่ได้ติดตามข่าวหลังจบ ป. 4 เคยถามทราบว่าย้ายไปอยู่ต่างอำเภอ ไม่ได้เรียนต่อ ช่วงที่กำลังเป็นคนดังของเกษตรกรรม นี่แหละมีเพื่อมากระซิบว่า มีสาว ๆอยากรู้จักเขาเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด เป็นคนคอนสวรรค์ ชักคันคะเยอเหมือนกัน ก็ ดีใจนะที่มีสาว ๆ อยากรู้จัก เขานัดให้มาพบกันก็ได้พูดคุยกัน ขอบคุณที่เขามีน้ำใจ แต่ปีสุดท้ายแล้วไม่รู้จะตกทางไหน ถ้าขาดการติดต่อกันก็ขอโทษ คุยกันประมาณนี้ จากนั้นก็จบ ม. 6 แล้วกลับบ้าน อ้อจบม. 6 คนสอบได้คะแนนอันดับ 1-3 เขามีโควต้าเรียนที่แม่โจ้ ที่บางพระ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง พ่อบอกไม่มีเงินให้เรียนหรอก ก็เลยจบแค่ ม. 6 ครับ เมื่อ เดือน มีนาคม 2504
..............จบ ม. 6 กันแล้ว เพื่อน ๆ อายุ 18 ปี บริบูรณ์กันทุกคน เขาไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่เกษตร อำเภอ แถมมีครู ม. 6 ด้วย แต่เราเพิ่ง 17 ย่าง พออายุครบ 18 ปี เขายกเลิกไม่รับ ม. 6 เลื่อนไปรับระดับอนุปริญญา แทน ซวยไหมล่ะ ชีวิตตอนปฐมวัย โลดแล่นมาดี ๆ ก็มาสะดุดกึกเอาตรงนี้เอง วิถีชีวิตช่วงวัยรุ่น 2504-2510
เขื่อนอุบลรัตน์
..............เป็นช่วงเวลาที่สอนให้รู้จักชีวิตดีขึ้น ที่ผ่านมาเป็นแบบโลกสวยทุกอย่างดูดีไปหมด ตอนนี้ได้กลับเข้ามาสู่โลกแห่ง ความเป็นจริง ได้รับรู้ความยากลำบากของครอบครัวที่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ ม.6 จนเป็นหนี้สินหลายพันบาท ต้องขายควาย ขายหมู ใช้หนี้ จนลดลงเหลือไม่กี่ร้อยบาท พ่อแม่ไม่ได้โกรธเรานะ ยังรักเสมอต้นเสมอปลาย ต่างจากสังคมรอบข้างที่เคยชื่นชม ว่าเป็นเด็กคนเดียวในหมู่บ้านที่ได้เรียนต่อ จบแล้วมันคงได้เป็นเจ้าเป็นนาย พอได้เห็นเราตกงานกลับมาอยู่บ้านเฉย ๆ แนวคิด คงเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงเยาะเย้ยถากถาง เวลาจะด่าลูกหลานยังแกล้งให้เราได้ยินว่า เรียนไปก็เท่านั้น เสียควายเสียหมู ไม่ได้ ประโยชน์อะไร แถมพวกที่กำลังส่งลูกไปเรียนก็ถอดใจ ให้ลูกออกก็หลายคน เสียใจนะแต่ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง ไม่กล้าไปโกรธ เขาหรอก ขนาดพี่เขยเราก็ยังเป็นกะเขาด้วย ก็เลยได้คิดใหม่จะช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาเพราะแกแก่มากแล้ว ไว้มีช่องทางค่อย คิดกันใหม่
รับจ้างทำสร้อยแหวน
..............ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกินแล้ว มีเพื่อนพวกหนุ่ม ๆ หลายคนมาชวนไปทำงานหาเงิน ซื้อของมาเดินเร่ขายตาม หมู่บ้าน ก็ดีนะขายสินค้าหมดเงินก็หด เพราะต้องกินต้องจ่าย แต่รายได้มีกำไรน้อย ทำอยู่เดือนเศษก็ต้องเลิก พี่ชายนายบัวทอง ไปเรียนช่างทำทองรูปพรรณมา แกชวนไปฝึกฝีมือช่างกับแก แรก ๆ ฝึกทำครุถังจากปี๊บน้ำมันก๊าด ทำกระบวยตักน้ำสังกะสี พอทำได้ แกก็ให้หัดทำเครื่องประดับด้วยทองเหลือง ทำแหวนแบบง่าย ๆ แหวนหัวโต ๆ แหวนใส่หัวพลอย รีดทองเหลืองทำสร้อย พอทำได้บ้างก็พาออกตระเวนรับจ้างไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ส่วนมากก็พักที่วัด อาศัยข้าวก้นบาตรหลวงพ่อ เรามันเด็กวัดเก่านี่เลย เข้าหาพระท่าน ช่วยปัดกวาดเช็ดถูศาลาโรงฉัน ห้องน้ำสกปรกก็ทำให้ พระฉันเสร็จก็ให้เณรมาตามไปรับเอาอาหารมากินกัน พี่ชายลงไปตั้งเครื่องมือทำสร้อยแหวน ครุถัง สีกาล้อมดูแกทำงาน เราก็ลงไปเปลี่ยนแกมาทานข้าว และทำงานที่แกทำค้างต่อ ไม่นานพี่ชายก็ลงมาก็สนุกไปอีกแบบทำอยู่เดือนเศษก็เลิก เพราะงานละเอียดต้องใจเย็น ๆ ไม่ถูกโฉลกกัน เพื่อนคุ้มบ้านเดียวกัน ชวนไปเลื่อยไม่รับจ้าง เขาให้วันละยี่สิบห้าบาท ไม้ในนาเขาตัดลงจะซ่อมบ้าน ก็เอานะ เล่นกันแต่เช้าดึงเลื่อยกันไปมา ๆ จน เที่ยงก็พักทานข้าวกัน กว่าจะเลิกก็เย็น ทำอยู่สิบวันก็หมดไม้ที่เขาให้เลื่อยแปรรูป
ชวนทำเครื่องจักสานไปขาย
..............เพื่อนคนหนึ่งออกความเห็นว่าทำเครื่องจักสานขายได้นะ หวดนึ่งข้าวนี่ใบละห้าบาท กระติ๊บข้าว 10 บาท ก็ชวนกันไป ตัดไม้นกเขา ไม้บง บนภูเก้า เอามาจักตอกแล้วสานกัน พี่บัวทองอีกนั่นแหละมาสอนให้ สานได้เยอะเหมือนกัน แต่แจกซะมากกว่าไม่เห็นใครขอซื้อเลย พ่อแกหัวเราะชอบใจบอกว่า ฝีมือยังไม่ดีพอ แจกเขาไปน่ะดีแล้ว ต้องฝึกมาก ๆเก่งแล้วค่อยคิดทำขาย เพื่อนก็เจอแบบเดียวกัน ความคิดจะหาบกระติ๊บข้าวและหวดมวยไปเร่ขายก็จบลงทั้งที่ยังไม่ได้ออกเดินทาง พับโครงการนี้ไว้อีก
ทำอุปกรณ์ทำไร่ทำนา
.............เพื่อนกลุ่มเดิมมาชวนเข้าป่าหาตอไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไปค้างซักสามคืน มีข้าวสารอาหารแห้งไปด้วย มันบอกใกล้ ลงนากันแล้ว ต้องซ่อมคราดไถกัน ไปที่ภูเก้า เจอตอไม้ที่คนเขาโค่นลงจำนวนมาก ก็เลือกเอาที่มันมีรากสวย ๆ ตอไม่ใหญ่นัก จะขุดเอาไปทำหางไถ ที่มันโค้งงอสำหรับจับนั่นแหละ เลือกเอาตอที่มันมีพูรากสวย ๆ อย่างน้อย 2 พู ถึงจะคุ้ม ถ้าได้ 3 พูยิ่งดี ใช้มีดถางป่าออก เสียมขุดเซาะจนเห็นรากแก้ว ขวานตัดรากแก้วออก เหลือแต่พูรากที่เลือกจะเอาไปทำหางไถ ตัดปลายรากยาว พอเหมาะ แล้วผลักให้ตอมันล้มลง จากนั้นก็ขุดเซาะให้มันหลุดออกเป็นโครงหางไถ ใช้ขวานถากออกจนเบาพอจะแบกไปได้ อันนี้จะเอาไปตากให้แห้งก่อนค่อยตกแต่งให้เป็นหางไถ เพื่อนมันบอกมาสามวันต้องหาให้ได้ซักห้าอัน มันบอกแต่งสวย ๆแล้วขาย ได้อันละสามสิบห้าสิบเชียวนะมึง ก็เลยหากันไม่หยุดง่าย ๆ เพื่อมันได้สิบกว่าชิ้น เราได้หกชิ้นเอง เพื่อนคนหนึ่งมันกลับไปเอาล้อ มาบรรทุกกลับไปบ้าน คนเฒ่าในบ้านมาเห็นจองกันหมด เวลาตกแต่งพ่อลงมาช่วยอีกแรง เลยขายได้ทั้งหกอัน ได้เงินตั้งสองร้อย ให้แม่ไป ต่อมาก็ไปหา ง่อนไถ แอก แม่คราด ฟันคราด สำหรับใช้เอง แต่ก็มีคนมาขอซื้อนะ เพราะเลือกไม้ดี ๆมาทำ สวยด้วย เพราะคนแต่งขั้นสุดท้ายคือพ่อ
ทำคราด ไถ เชือก
............ช่วงลงนาก็คือช่วงเดือนพฤษภาคม คราดไถพร้อม เชือกนี่สำคัญ ไปตลาดเห็นเชือกป่านมะนิลาเส้นใหญ่ ๆ แพงไป ฟั่นเองดีกว่า ปอแก้วปลูกไว้เยอะแยะเอามาฟั่นเชือก เส้นเล็กสำหรับผูกวัวควาย สนตะพายให้มัน เส้นใหญ่ทำเชือกคร่าวลากคราด ไถ ทำเองทั้งนั้น หน้านาขอไปนอนที่นา พ่อบอกเองไปนอนได้ แต่ควายเอาไว้บ้าน เพราะเอ็งนอนดีเหลือเกิน แม่ปลุกยังไม่อยากตื่นเดี๋ยวคนมาจูงควายหนีหมด ก็จริงนอนขี้เซามาก หลานสาวมันต้อนควายมาส่งแต่เช้ามืดให้ไถนา แถมมันช่วยไถด้วย เก่งกว่าเรา อีกเพราะเขาทำมานาน ที่นาไม่ถึงยี่สิบไร่หรอก ไถสิบกว่าวันก็เสร็จ ที่อยากนอนนา เพราะกลางคืนมันว่าง ได้ออกเดินป่าหาหนูนา หาบ่าง มีหมาคู่ใจตัวหนึ่งมันล่าเก่ง ออกเดินป่าเมื่อไรไม่เคยพลาด เจ้าเพื่อนกันนามันอยู่ติดกันนั่นแหละ เลยมีเรื่องออกเดินป่ากัน แทบทุกวัน เวลาไปก็แค่สะพายย่ามมีเสียมและขวาน ปืนแก๊ปด้วย คอยฟังเสียงหมามันเห่าแล้วตามไป ถ้ามันขุดคุ้ยรูก็พวกหนู แต่บางครั้งก็งูนะ ไฟฉายต้องดี มีถ่านสำรองไปด้วย ถ้ามันมองบนต้นไม้ก็บ่าง นาน ๆถึงเจอพวกอีเหน นอนกลางนามันดีหลาย อย่างแบบนี้นั่นเอง
ไถนา ส่องกบ วางเบ็ด
............บางคืนฝนตกทั้งคืน ลองออกเดินตามคันนา ได้กบเขียด บางทีก็ปลา ในที่สุดก็ติดชีวิตแบบชาวนา เอาไก่มาเลี้ยง มัน ออกลูกมาน่ารักทั้งนั้น แม่มาเยี่ยมบ่อยเพราะลูกชายไม่เข้าบ้าน แกมาทำกับข้าวให้กิน หนู บ่าง กบเขียด มีไม่ขาด แถมแกปลูก ผักสวนครัวที่จอมปลวกใกล้ๆ ให้ด้วย ต้องล้อมให้ดี ไก่มันชอบ พังพอนก็แอบมาเยี่ยมลูกไก่ กลางคืนเงียบสงบยินเสียงบ่าง นก แมงกลางคืนแทรกมาสบายใจดีมาก ๆ ถัดมาไม่นานกล้าก็งาม ถึงเวลาปักดำ เสร็จปักดำก็ยังไม่เข้าบ้าน เพื่อนมันชวนลงน้ำจับ ปลาที่เขื่อนอุบลรัตน์ เขากักน้ำปีแรกปลาชุมมาก พ่อซื้อเรือแจวให้ลำหนึ่ง ซื้ออวนถี่อวนห่างรวมแล้วห้าหกผืน แต่ละผืนยาว 50 เมตร บ้าง 100 เมตรบ้าง น้ำเขื่อนห่างจากกระท่อมนา 3 กิโลเมตรเอง ถ้าน้ำขึ้นเต็มที่ก็ถึงเขตแดนที่นา วันแรกจำได้ดีปลาติดตาข่าย หรืออวนชนิดไม่อยากกู้เลย มันม้วนเป็นเกลียวเส้นเชือกจมลงพื้น ปลาตายหมด ไม่มีปัญญาปลด หาบมากระท่อมหลานสาวมาส่งข้าว มาช่วยกันปลด แล้วให้มันหาบปลาไปส่งทางบ้าน ไม่ถามว่าเอาไปทำอะไร วันหลังเห็นหาบเกลือมาให้พร้อมกับปี๊บเปล่า ๆ สองใบ บอกว่าปลาเน่าเสียให้หมักเกลือ เกือบเดือนมั้งที่ลงน้ำจับปลา ปีบสองใบกลายเป็นสิบใบ กลิ่นหอมนะแต่คนอื่นว่าเหม็น พอมัน เค็มได้ที่พี่สาวก็มาเอาไปปรุงแต่งเป็นปลาร้า สำหรับใช้เป็นของฝากไปแลกข้าวสาร เขาว่ามันดีกว่าขายปลาร้า ต่อมาเสร็จหน้านา เก็บเกี่ยวแล้วเข้าหน้าแล้ง เพื่อนมันบอกไปนอนในเขื่อนจับปลากัน ก็เลยเลิกนอนกระท่อมนา พ่อแม่พี่สาวมาเก็บของกลับบ้าน
วางอวนเขื่อน
..........จะลงไปเขื่อนหาปลากันเตรียมอวนถี่ตาขนาดนิ้วหนึ่ง 3 เส้น อวนห่าง ตา 2.5 นิ้ว 4 เส้น ห่างมากขนาด 4 นิ้ว เส้นเดียว เบ็ดเบอร์ 1 2 3 อย่างละ 20 หลัง เบอร์ 15-18 อย่างละ 100 หลัง เบอร์เล็ก 20 เอา 200 หลัง เรือแต่งให้มีกระโจมกันแดดฝน มีแคร่สำหรับนอนในเรือ มุ้ง เครื่องครัว ปืนแก๊บ พลุไม้ซาง ฉมวก ไฟฉาย ตะเกียง เต็มเรือ ออกแต่เช้า จำได้สมัยน้ำยังไม่ท่วมบริเวณที่เรามาจอดพักเป็นหมู่บ้านกุดปลาเฒ่า ห่างกันสิบกิโลเมตร ตอนนี้น้ำท่วมมิดหมู่บ้าน มีเนินดินบางแห่งยังไม่ท่วม ได้พัก กันแถวนั้นเพื่อก่อไฟทำกับข้าว เวลานอนผูกเรือกับต้นไม้ ปักหลักไม้ไผ่ให้แน่น นอนในเรือ ยุงชุมมาก ๆ มุ้งอย่าเผลอไปถีบมัน ยุงจะเข้ามาหา เราจะออกวางเบ็ดกันตามสบาย ไม่มีคนแย่ง เหยื่อบนเนินไส้เดือนหนีน้ำท่วมเยอะมาก จิ้งหรีด เขียด มีให้จับ ไปทำเหยื่อมากมาย กลางวันปลากินเบ็ดปลดไม่ทัน วางได้ไม่เกินสองร้อย สำหรับเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดน้ำลึกใช้เบอร์ 1 2 3 เอาแค่ 20 หลังพอ เหยื่อใช้ปลาหลด ปลาดุกที่ติดเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดใหญ่ วางไว้รอบ ๆ กอสวะใหญ่ ที่เขาลือกันว่ามีจระเข้อาศัยอยู่ มีร่องรอยมันเดินเข้าออกด้วย กลัวเหมือนกัน แต่อยากวางเบ็ด บ่าย ๆ ก็ออหาที่กางอวน ไม้ไผ่ยาวสามเมตร ปักลงผูกดึงออกไปเป็นทางยาว ทุก 10 เมตรปักหลักช่วยดึงให้ตึง ปลาติดจะได้ไม่จมง่าย กว่าจะเสร็จก็จวนค่ำ พักผ่อน ก่อนออกไปเปลี่ยนเหยื่อเบ็ด
...........กลับที่พัก เพื่อนมันกางมุ้งกินปลาย่างกับเหล้าขาว มันร้องด่าทักทายว่า อ้ายห่าเขียวมึงทำไงปลาดุกปลาช่อนติดเบ็ดมึง เยอะ กูเอามาย่างห้าหกตัวนะ มากินด้วยกันซิ มันรู้ว่าเราไม่หวง พอนั่งเสร็จเพื่อนอีกคนยกหม้อแกงเป็นต้มยำปลาช่อนตัวโต ใส่ใบมะขามอ่อน ปลาเบ็ดเราอีกนั่นแหละ พวกมันมีเหล้าขาวติดมาด้วยคนละขวดสองขวด แต่เราไม่ขอบเลยไม่มี เขาให้กินก็ แค่จิบนิด ๆหน่อย ๆ กินอิ่มก็ขอตัวไปดูเบ็ด เพื่อนคนหนึ่งอาสาไปส่องไฟให้ รู้นะว่ามันอยากดูเราวางเบ็ดทำอย่างไรนั่นเอง คราว หลังมันเอาเบ็ดมาด้วย ไปดูเบ็ดเบอร์ใหญ่ ได้ปลากรายยักษ์ 3 ตัว ปลาเค้าขนาดสองกิโล ตัวหนึ่ง เพื่อนมันขอปลาเค้า อยากกิน ต้มยำและห่อหมก กินอิ่มมาหยก ๆ มันบอกกูจะทำกินเช้าโว้ย ขำ ๆมัน พอเช้าจริงมันไม่เอาแล้ว มันจะเอาตัวใหม่สดกว่า ก็ ตามใจพวกมัน เช้า ๆซักโมงถึงสองโมงเช้า มีเรือซื้อปลาเร่มาถามขอซื้อปลา ก็ขายปลากันจนหมด เหลือไว้เฉพาะที่จะทำกับข้าว และปลาเน่าเขาไม่ซื้อ บางวันก็ได้ร้อยสองร้อยบาทเชียวนะ ไม่เลวหรอก ปลาเน่าเสียก็ทำปลาเกลือใส่ปี๊บไว้จะเอากลับบ้าน ปลาช่อนตัวโต ๆ ผมทำปลาแดดเดียวไปฝากแม่ ชะโดเอาหัวให้เพื่อนมันต้มยำ เนื้อทำปลาส้มฝากพ่อและพี่ชาย ไปห้าคืนหมด ข้าวสารต้องกลับ ตอนเช้าเหลือปลาไว้กลับบ้านไม่ขายหมด พักสองสามวันมาใหม่
..........สาวนาใกล้กันหน้าตาก็ธรรมดา แต่รูปร่างใหญ่แข็งแรง ช่วงฝนตกใหม่ ๆ ซ่อมคันนากันแต่เช้า เห็นเธอมาซ่อมคันนา เหมือนกัน สาย ๆ พักก็เลยแวะไปถามไถ่ รู้ว่าครอบครัวเธออาศัยเจ้าของนารับจ้างทำนา เพราะเป็นญาติกัน เดิมพ่อเธอทำ งานหนัก ๆ ตอนนี้เธอต้องลงมือช่วย ทั้งขุดดิน จับไถ ทำหลายปีจนชำนาญ เราก็ชมตามความจริงก็ทำให้รู้จักคุ้นเคยกัน แต่พ่อ แม่เราคิดไปไกลมากแล้ว เห็นเราสนิทกับเขาอยากได้เป็นสะใภ้แล้ว แม่ว่าถ้าแกได้เมียขยันแบบนี้ไม่มีอดตายหรอก ว่าไปโน่น เราก็ได้แต่ยิ้มไม่มีความเห็น ไม่ได้รังเกียจแต่คิดในใจว่าไม่มีงานทำจะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกเมีย ปี 2510 พ่อแม่จึงร้องขอให้ บวชสัก 1 พรรษา สึกมาค่อยมีครอบครัว ก็ตกลงบวชก็บวช.....
ถ่ายกับแม่เฒ่าปัจจุบัน ธนัญธร ขวาหลานลูกพี่ชาย
ล่างตามหาป้าบุญบ้านแก ขวานกกับหมูและหน่อย
ช่วงอุปสมบท 2510 -2516
………….การบวชลูกของชาวบ้านนิยมบวชแล้วจำพรรษา 3 เดือน ออกพรรษาก็สึก พ่อแม่เตรียมการใหญ่เลย มีคนจะบวชลูกคราวนี้ หลายคนนะเช่นคุณประเสริฐ ภูมิชัยโชติ นายทองใบหาญบัญญัติ นายห่วย.....นายสี.....นายสนิท คำประสาร รวมเป็น 6 คน ที่วัดเหลือพระ 1 เณรสองคือ คุณคำภา สามเณรทิ สามเณรก่ำ พวกนี้บวชมานานแล้ว ดังนั้นในพรรษาจึงมีพระ 7 รูป เณร 2 ส่วนเจ้าอาวาสก็หลวงตา ท่านอายุเกิน 100 ปีแล้ว ความจริงคุณคำภาบวชเป็นสามเณรมาก่อนน่าจะเป็นผู้นำพระใหม่ได้ แต่แกอายุ เพิ่งจะ 20 เลยตกมาหาเราที่อายุ 23 แล้ว โยม มัคทายกแกมาเยี่ยมทุกวันพระ มาจำศีลแนะนำกิจวัตรที่พระต้องทำ แกเคยเป็น เจ้าอาวาสวัดนี้ เล่าความเป็นมาของวัดให้ฟัง ก็ดีนะเพราะไม่เคยสนใจมาก่อน
.............1.. บวชและอยู่ที่วัดอัมพวันบ้านหนองลุมพุก
.......วัดอัมพวัน เกี่ยวข้องกับถ้ำใหญ่บนภูเก้า เพราะเคยไปเชิญพระพุทธรูปจากถ้ำมาไว้ที่วัดองค์หนึ่ง ลักษณะงดงามมาก เป็น พระปางสมาธิหน้าตัก 45 เซนติเมตร เคยทราบมีคนมาให้ราคาเป็นแสนขอบูชา ทายกแกบอกให้ดูแลพระพุทธรูปองค์นี้ให้ดี พระ ที่อาวุโสให้นอนห้องพระ ต้องทำวัตรพระทุกวันอย่าขาด ทุกวันพระใหญ่จัดน้ำหอมมาสรง กิจของพระที่ต้องทำ คือทำวัตรเช้าทำวัตร เย็นขาดไม่ได้ ออกไปบิณทบาตทุกเช้า ลานวัดอย่าปล่อยให้รกรุงรัง ถ้าหญ้ารกทำไม่ทันบอกชาวบ้าน วันพระต้องลงไปให้ศีลพวกมาจำศีลตอนเช้า บ่ายเทศน์อบรม เช้ารุ่งขึ้นก็ให้ศีลห้าก่อนกลับบ้าน มีงานทำบุญบ้านต้องเจริญพุทธมนต์ คนตายต้องสวดอภิธรรม ฟังโยมเล่าก็หนักใจนะ คนเก่าก็นำไม่ได้ไม่มั่นใจ เราก็จำเป็นต้อง
เร่งท่องบททำวัตรสวดมนต์ ท่องบทสวดเจ็ดตำนาน ได้สองสัปดาห์มั้งมีคนตาย น.ส.กุล คนรู้จักกันซะด้วย นาติดกัน โยมรีบมาบอกต้องสวดมาติกานะ แกตายตอนสาย ๆ ตกเย็นต้องไปสวด คุณคำภาและสองเณรก็ไม่ รับปากว่าจะนำสวดได้ ก็เลยตัดสินใจท่องมันให้ได้ ใครท่องจำไม่ได้พกหนังสือไปด้วยแล้วกัน ความจริงก็ไม่มั่นใจหรอก แค่หก ชั่วโมงเองจะสวดได้ไหม ดีที่พื้นบ้านเขาสวดบทธรรมสังคินีมาติกา แล้วก็ชักอนิจจา ให้พร แค่นี้คงสามารถนำสวดได้ ถึงเวลาชาวบ้าน เขามาตาม ก็ขอดูศพปลงอนิจจัง นั่งเรียบร้อยก็ปล่อยชาวบ้านเขาสวดมนต์ไหว้พระ รับศีล แล้วพระใหม่ 7 สามเณรเก่า 2 ก็สวด ธรรมสังคินีมาติกา ตามด้วยบท เหตุปัจจโย เป็นอันจบ สักครู่เขาโยงสายสิญจน์มาให้ สวดบทชักบังสุกุล เขาถวายปัจจัยแล้ว ก็ให้พร เป็นอันจบ ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย โยมทึ่งมากพระใหม่ทำได้อย่างไร สวดสามวันก็เผา ผ่านงานยาก ไปได้
……….2. .เป็นพระเณรต้องสามารถทำวัตรสวดมนต์
........ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สบายมากท่องได้กันทุกคน แต่เราต้องนอนห้องพระพุทธรูปสำคัญ ต้องท่องบททำวัตรพระสวดทุกเย็น มีคนบอกวัดนี้ผีดุ ถ้าพระเณรทำผิดวินัยระวัง ตกกลางคืนจะมีเสียงตีฆ้อง ตีกลอง หรือไม่ก็กวาดหลังคา คุณคำภาและสามเณรก็ ยืนยันว่าเคยเจอเสียงกวาดหลังคาสังกะสี เคยเจอเสียงเคาะฝา เราก็สงสัยนะว่าผีอะไรจะดุปานนั้น ทำวัตรสวดมนต์ก็แผ่บุญกุศลให้ทุกวันไม่ขาด จะมาหลอกกันทำไม ลองมาดูสิจะจับผีให้ดู มีเงินกองกลางอยู่เลยประชุมกัน ซื้อไฟฉายสามท่อนแจกทั้งพระทั้ง สามเณร ถ้าถ่านหมดต่อไปให้ซื้อเอง ถ้าพบอะไรผิดปกติให้ดูชัด ๆว่ามันคืออะไร กลางคืนอย่าไปคนเดียว ให้มีเพื่อนไปด้วย หอระฆังอยู่ใกล้กุฏิ กลางวันเลยขึ้นไปสำรวจ กลองเพลอยู่ชั้นล่าง ระฆังแขวนอยู่ชั้นบน ขี้นกขี้จิ้งจกตุ๊กแก เต็มไปหมด เลยวาน สามเณรช่วยทำความสะอาดกัน หันไปมองหลังคากุฎิ เห็นกิ่งฉำฉากิ่งหนึ่งหย่อนลงมาใบพาดระหลังคา เลยนึกภาพว่าถ้าลมพัดแรง กิ่งมันคงแกว่งไปมา ถูกสังกะสีคงดังเหมือนคนกวาดสังกะสี อยากให้มีลมพัดดูจะได้รู้จริงไหม ไม่ต้องรอนานหรอก หน้าฝนนี่ ลม พัดแรงมาก พระเณรเข้าห้องกันหมด เราเดินออกมารองน้ำฝน เสียงลมพัดแรงเหมือนกัน หลังคามีเสียงกิ่งไม้นั่นแหละ ดังยัง กะคนเอาไม้กวาดมากวาดหลังคา แน่แล้วนี่คือผีกวาดหลังคา วันต่อมาก็สั่งสามเณรตัดไม้กวาดผีออก ไม่มีเสียงผีกวาดหลังคา อีกเลย
.............3. ตรวจจับผีที่หอระฆัง
........ผีตีกลอง ผีเคาะฝา มันเก่งนะผีวัดนี้ ขนาดเราเตรียมไฟฉาย 7 กระบอกยังกล้ามาเคาะฝา ตีกลอง วันหนึ่งสองเณรมาบอก หลวงพี่ว่า เจอผีเคาะฝาแล้ว ได้ยินเสียงซักสามทุ่ม อ่านหนังสืออยู่ได้ยินเลยชวนกันมาดู ย่องลงไปข้างล่างมันยังไม่หยุด ส่องไฟดู จิ้งจกครับมันคาบแมลงฟัดไปฟัดมา เหมือนคนเคาะข้างฝา ทำไมผมไม่คิดหาไฟฉายมาส่องก็ไม่รู้ กลัวมันมาสองปีแล้ว (ขอบใจ สองเณรที่ช่วยไขข้อข้องใจผีเคาะฝาได้ คงเหลือแต่ผีตีกลอง ยังไม่มีวี่แววเลย จนกระทั่งจวนออกพรรษา วันนั้นมีคนตายที่บ้าน หนองกุงคำไฮ เขาหามศพไปป่าช้า ผ่านวัดเราไป ตกดึกมีเสียงผีตีกลอง แหมช่างเลือกวันเหลือเกินนะ ห้องผมแน่นพระเณรมา ออกันอยู่ กลัวผีตีกลอง ผมต้องออกหน้าจะพาไปดู เชคไฟฉายให้เรียบร้อย นับหนึ่งสองสาม กราดไฟส่องทันทีนะ พาย่องไปที่ปลาย ชาน หามุมที่ส่องไฟเห็นหน้ากลองพอดี กลางวันดูไว้แล้วยืนตรงไหนไม่มีอะไรบัง ใกล้แล้วหยุดยืนนิ่งเงียบด้วยใจระทึก นานมาก ค่อยได้ยินเสียง ตึง ตึง ตึง แน่ใจว่าอยู่แถวหน้ากลองเลยให้สัญญาณส่องไฟพรึบ เจ้าผีตาลุกวาว มันคงตกใจแน่นิ่งอยู่กับที่ ปากคาบ ตะขาบตัวใหญ่ฟัดหน้ากลอง อ้ายผีตุ๊กแกเอ๊ย มาหลอกพระเณรเขากลัวจนหัวหดมาหลายปีแล้ว หัวเราะกันเณรอาสาไปต้มน้ำชามา มาถวาย นอนไม่หลับมันขำมากกว่า
..............4. เรียนนักธรรมตรีแบบไม่มีครู
.........ผ่านไปไม่นานมีหนังสือแจ้งมาถึงเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ในฐานะเจ้าสำนักเรียนให้ส่งรายชื่อนักศึกษาธรรมชั้นตรีโทและเอก ประชุมกันแล้วให้จัดส่ง ส่วนมากชั้นตรี มีคุณสนิทคนเดียวชั้นโท ครูสอนไปปรึกษาพระกรรมวาจาจารย์ วัดใกล้เคียง ท่านอนุญาต ให้ใส่ชื่อเป็นครูสอนให้ แต่เวลาสอนให้ช่วยกันเองท่านไม่มีเวลามาสอนให้ คุณสนิทบอกสอนไม่ได้ เรียนนานแล้ว คนอื่นก็ไม่มีใครเคยเรียน ยกให้เราเป็นผู้นำ เลยจัดประชุม มอบหนังสือเรียนให้ไปศึกษา พบกันวันละครั้ง หลังฉันเช้า ขอเวลา 1 ชั่วโมง เริ่มจาก วิชาธรรมะ วิชาพุทธะ วิชาวินัย และวิชากระทู้ ให้ไปอ่านหนังสือมาคุยกัน หยิบหัวข้อขึ้นมาแล้วถามมีใครสงสัยคำอธิบายหัวข้อนี้ ไม่มีคนสงสัยแสดงว่าเข้าใจแล้ว ผ่านไปหัวข้อถัดไป ที่สนุกคือวิชาพุทธประวัติ ช่วยกันเล่าเรื่องพุทธประวัติ วิชาวินัยก็สนุก มีคำถาม มากมาย ทำไมต้องปาราชิก ทำไมต้องสังฆาทิเสส พอไล่ลงไปถึงนิสสัคีย์ปาจิตตีย์เริ่มสนุก เพราะรู้สึกว่าตัวเองโดนอาบัติกันบ่อย ออกพรรษามีคนรอสอบสนามหลวง 4 คน สอบได้นักธรรมตรี 3 รูปที่ 3 เป็นพระวัดใกล้เคียง มาร่วมเรียนกับพวกเรา
................5. ท่องบทสวดปาฏิโมกข์
........สวดพระปาฎิโมกข์ เป็นพุทธบัญญัติ พระภิกษุต้องฟังสวดปาฎิโมกข์ทุกวันพระ เดือนละ 2 ครั้ง ปกติพวกเราต้องไปลง อุโบสถที่วัดพระอุปัชฌาย์ เลยนึกอยากสวดบ้าง จึงทดลองท่องพระปาฏิโมกข์ดู ไม่รู้ใครบอกชาวบ้านมีทายกคนหนึ่งแกออกมา วัด เตือนเรื่องท่องปาฏิโมกข์ ให้แต่งเครื่องบูชาตามแบบโบราณ แกจดให้ด้วยว่าต้องใช้อะไรบ้าง ก็ขอบคุณเขา เอาไว้มีโอกาส จะท่องจริงจังถึงจะทำ ตอนนี้ท่องเล่นเฉย ๆ แต่ความจริงผ่านไปครึ่งเล่มแล้ว แค่สองเดือนก็สวดได้จบเล่ม แต่ยังไม่เอาไปใช้ ขอ ทบทวนให้คล่องก่อน แต่ก็รู้ถึงหูพระอุปัชฌาย์จนได้ ช่วงออกพรรษาเลยได้ทดสอบ สวดได้จริง ๆ พระกรรมวาจารย์ดีใจมาก มี คนช่วยสวด ก่อนนี้ท่านรับสวดคนเดียวมาตลอด ท่านขอพักเป็นคนสอบทานให้เราสวดแทน ได้รางวัลจากพระอุปัชฌาย์ผ้าไตรอย่าง ดี 1 ไตรเชียวนะ
.
...............6. เดินทางไปหาสำนักเรียนปริยัติธรรม
........รับกฐิน ออกพรรษาชาวบ้านเขาถวายกฐิน ไม่มีใครรับ จนโยมเขามาบอกต้องมี 1 รูป ใครก็ได้ หลบไม่พ้นจริง ๆ ถามใคร ก็จะสึกกันหมด เลยต้องไปศึกษาวิธีการรับกฐิน การเดาะกฐิน ทำให้รู้ระเบียบวิธีการเกี่ยวกับกฐินมากมาย ต่อมาเรียนเทศน์ก็ได้ นำไปใช้เทศน์ด้วย หลังจากนั้นก็ถูกถามว่าพร้อมสึก หรือยัง กำลังสนุกกับการศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยเลยบอกว่ายังขออยู่ต่อ อยาก ไปเรียนเทศน์มีคุณประเสริฐ คำภา สามเณรทิ ออกไปหาสำนักเรียนเทศน์กัน ไปวัดบ้านเทพคีรี อำเภอนากลาง ท่านอาจารย์ สุทน นักเทศน์ชื่อดังอยู่วัดนี้ เลยไปขอเป็นศิษย์ท่าน ท่านบอกแนะนำได้เฉพาะวิธีการนะ ส่วนวิชาความรู้ต้องศึกษาค้นคว้าเอาเอง จากตำรา จากการไปฟังคนอื่นเทศน์ เราอยู่กันจนใกล้เข้าพรรษาก็ลาท่านไปหาสำนักเรียนบาลี ทางขอนแก่นมีชื่อหลายสำนัก ที่สุดไปได้สำนักเรียนวัดหรคุณบ้านหนองหาญจาง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่ พระมหาเสาร์ อภินันโท ปธ. 5 เป็นเจ้าอาวาส สำนักนี้สอนนักธรรมบาลีด้วย สอนเทศน์ด้วย ตรงกับที่อยากเรียนพอดี ไปสมัครเข้าสำนักเรียน ท่านก็รับไว้ เรียนนักธรรมโท เรียนบาลีไวยากรณ์ และเรียนเทศน์หกกระษัตริย์และเทศน์ปุจฉาวิสัชนา อยู่สามปีสอบได้นักธรรมเอก สอบได้ประโยคสอง ได้ ติดตามอาจารย์ไปเทศน์ร่วมสิบครั้ง ก็นับว่าสมความตั้งใจ
…………7. ติดตามอาจารย์ไปอยู่จังหวัดเลย
.......พรรษาที่ 5-6และ ทางจังหวัดเลยเชิญพระอาจารย์ไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมืองเลย โดยให้ไปอยู่ที่วัดศรีบุญเรือง ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย วัดนี้เป็นวัดเจ้าคณะจังหวัด ชื่อท่านพระวีรญาณมุนี หรือที่รู้กันในนาม สีหนาทภิกขุ ท่าน เป็นนักเทศน์ นักปกครอง พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ผมชอบมากท่านไม่ยึดติดรูปแบบ แต่ชอบเรื่องเหตุผล อธิบายธรรม ภาษาง่าย ๆ อยู่วัดนี้ได้ความรู้และประสบการณ์มากมาย ได้ช่วยสอนนักธรรม ช่วยสอนบาลีไวยากรณ์ ช่วยสอนการศึกษาผู้ใหญ่ ได้ทำงานเลขานุการเจ้าคณะอำเภอ ดูแลการจัดการปริยัติธรรมของอำเภอเมือง ทั้งยังต้องช่วยงานระดับจังหวัดด้วย เพราะ งานท่านมาก ช่วงสองปีแรกที่มาอยู่วัดศรีบุญเรือง นอกจากงานสอนนักธรรมบาลีแล้ว เรื่องส่วนตัวก็พัฒนาไปไม่หยุด สอบได้ เปรียญสาม และเปรียญสี่ สอบได้วิชาชุดครุ พ.กศ.ใช้เวลาสองปี พรรษาที่ 7 อยู่วัดศรีบุญเรืองเหมือนเดิม ทำงานเดิม รับงานเทศน์บ้างไม่มาก ปีนี้ตั้งใจสอบ พ.ม.ให้ได้ในปีเดียว 4 ชุดวิชา แต่เปรียญห้าก็เตรียมสอบเหมือนกัน ผลสอบได้วิชาชุด พ.ม.ยกชุดในปีเดียว ส่วน เปรียญห้าสอบตก พ่อแวะมาเยี่ยม สุขทุกข์ ก็ได้บอกจะสึกแล้วนะ จะไปสอบบรรจุครู มีสิทธิ์สมัครสอบได้แล้ว พ่อก็น้ำตาซึมนะสิ่งที่แกวาดฝันมานานบรรลุจุดหมายปลายทางคราวนี้เอง วันที่ 10 เมษายน 2516 ลาสิกขาบท ไปสอบบรรจุที่จังหวัดเลย ได้ที่ 1 เลือกลงที่ศรีสงครามวิทยา อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ได้ตำแหน่ง ครูตรี เขาจัดตารางให้สอนวิชาศีลธรรม ตั้งแต่รู้ข่าวจะไปบรรจุ ไม่ถามเราเลย เห็นเป็น มหาเปรียญ เอ้าสอนศีลธรรม ก็ดีได้เทศน์ให้เด็กฟัง
ชีวิตช่วงรับราชการเป็นครู
............สึกแล้วยังอาศัยวัดอยู่ ถึงมีคนยินดีให้ไปพักอาศัยอยู่ด้วยก็ไม่ไป เพราะรู้ว่าไม่ใช่ให้พักฟรี ๆหรอก ลูกสาวตั้งสามคนจะ ไปพักด้วยได้อย่างไร เกรงใจเขา อยู่วัดก็ไม่ได้เอาเปรียบนะเพราะยังต้องสอนพระเณรที่เรียนการศึกษาผู้ใหญ่ ส่วนนักธรรมและ บาลีขอพัก แต่พระเณรมาปรึกษาก็ยินดีแนะนำ ไปทำงานนั่งรถโดยสาร 20 กิโลเมตรก็ไม่สะดวกนัก อาจารย์ขอร้องให้อยู่วัดไป สอนงานเลขาใหม่ให้ด้วย วันหนึ่งโยมทางบ้านหนองแคม อ. ท่าลี่มานิมนต์ไปเทศน์หกกระษัตริย์ พอเจอเราสึกแล้ว ก็หัวเราะกันใหญ่ อีกกลุ่ม ก็พวกอำเภอปากชมมานิมนต์พระไปอยู่วัดในอำเภอ เจ้าคณะท่านกลับกาฬสินธุ์ อยากได้พระเปรียญ วัดเรามีเปรียญ นอกจากเจ้าคณะจังหวั (ปธ.6) เจ้าคณะอำเภอ( ปธ.5) ยังมีอีก 2 รูปหนึ่งท่านไม่ไป คนที่ 2 คือเรา จะลาสิกขาบท เลยชวดไปอยู่อำเภอปากชม ว่าที่เจ้าคณะอำเภอดี ๆ นี่เอง แต่ไม่เสียดายหรอก ผ้าเหลืองร้อนแล้ว
.................1. บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา อ.วังสะพุง จ.เลย
...........พ่อป่วยหนักเขาแจ้งข่าวมา ได้กลับไปดูอาการและพาไปคลินิก และโรงพยาบาล ได้ยาก็กลับไปอยู่บ้าน หมอก็ไม่บอกเป็น อะไร เพียงบอกว่าโรคชรา กลับไปเยี่ยมแกก็ดีใจนะ ช่วงหลังนี่พ่อเปลี่ยนไปมาก จากคนชอบเข้าป่าหาปูหาปลา แกเลิกหันหน้าเข้าวัดจนเขาเรียกทายกพ่อมหา แม่ก็เข้าวัดจำศีลเป็น ขำ ๆนะอานุภาพลูกบวชแถมเป็นพระมหานี่แรงเหมือนกัน นี่แหละน้าที่เขา เรียกบวชจูงพ่อแม่ไปสวรรค์ จูงใจให้ฝักใฝ่บุญกุศล ทางไปสวรรค์ชัด ๆ ไม่นานพ่อก็จากไป ก่อนหน้านั้นสามปีแม่จากไปก่อนแล้ว ด้วยโรคมะเร็งหลอดลม ก่อนนี้เคยวิตกนะว่าพ่อแม่จากไปเราคงวังเวงมาก ลูกติดแม่นี่ พอได้บวชจิตใจมันเข้มแข็งมากกว่าเดิม ก็ทำใจได้ ท่านทำบุญมาแค่นั้น ได้เห็นลูกชายบวชก็ดีมากแล้ว ช่วยให้หันหน้าเข้าวัด ได้ทำบุญกุศลมากมาย พ่อนี่โชคดีกว่า ได้ เห็นลูกชายรับราชการเป็นครู ที่แกหวังมาตลอดชีวิต สาธุ ไปที่ชอบ ๆ ทั้งแม่และพ่อนะครับ
...............2. แต่งงาน
.........2.1 เป็นครูตอนอายุ 29 ปี แก่มากแล้วควรมีครอบครัวแล้ว อยากให้พ่อเห็นภรรยาเหมือนกัน แต่หาไม่ทัน จนพ่อเสียแล้วจึงพบ ว่ามีคนที่เราสนใจ 3 สาว เป็นคนดีทุกคนแหละ สองคนแรกเป็นลูกสาวของอุบาสิกาชาวบ้านติ้วนั่นแหละ พ่อแม่ก็มาวัดบ่อยรู้จักเรา บ้าง พอทราบว่าเราสนใจลูกสาวเขา เขาก็ไม่รังเกียจนะ จุดอ่อนสองสาวนี่คือเรียนหนังสือน้อย แค่ ป. 6 คงทำอาชีพเหมือนพ่อแม่ คือการเกษตรเป็นหลัก ส่วนคนที่ 3 ก็ลูกสาวมัคทายกวัด เป็นครู น่าจะไปกันได้อาชีพครูเหมือนกัน พ่อแม่ก็รู้จักเราดีมาวัดบ่อย ดูแลเรื่องเงินของวัดทำงานกับเราประจำ มีแม่สื่อมาบอกให้รู้ว่ามีลูกสาวเป็นครู นัดให้ไปดูตัวตอนเขากลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ดูเป็น คนเรียบร้อยนะ ถึงจะเป็นนักเรียนเพาะช่างก็ตาม อ้อมีแฟนทำงานอยู่กรุงเทพฯด้วย คงเพราะห่างไกลกันก็เลยค่อย ๆจางไป กองเชียร์หันมาเชียร์เราเยอะนี่ มีแม่ยายเป็นหัวหน้า เสร็จกันเลยได้แต่งงานกันกับ น.ส.กาญจนา ศิริหล้า มีทายาท 3 คน หญิงสอง ชาย 1
..........2.2 ..มีคนทักว่าหัวข้อนี้เขียนไม่ครบเนื้อหา ขาดตอนแต่งงานครั้งที่ 2 ก็จริงครับ เพราะเขียนไว้นานแล้ว ขอเพิ่มแล้วกัน การแต่งงานครั้งที่ 2 เกิดหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิตไปแล้ว ก็อยู่เดียวดายมานานปี จวนเกษียณอายุราชการ ถึงได้รู้จักคุณพยาบาลชื่อ อรภา ณรงค์หนู รู้จักทาง เอ็ม ทาง ไอซีคิว ก็เป็นเพื่อนกัน สนทนากัน แรก ๆก็ไม่มีอะไร แค่รู้จักว่า เป็นพยาบาล เขาก็รู้จักว่าเราเป็นครู ชอบเรื่อง ไอที เขาขอให้ช่วยทำเวบไซท์จะเอาไปประชาสัมพันธ์งาน ก็ทำเวบออฟไลน์ ให้ มันก็เหมือนเวบไซท์ทุกประการ แต่บันทึกไว้ในแผ่นดิสก์ ถ้ามีเวบหน่วยงานก็อัพโหลดไปโชว์ได้ ออฟไลน์ก็เหลือเกินแล้ว เอาไปนำเสนอในที่ประชุม กลายเป็นพยาบาลไฮเทคทันที จนถอยแทบไม่ทัน มาเล่าให้ราฟังก็ขำ ๆ อยากได้ก็ทำให้แล้ว ส่วนจะเอาไปทำอะไรก็ตามสบาย นับแต่นั้นก็คุ้นเคยกันไปมาหาสู่กัน และสุดท้ายก็ไปขอกับคุณยายท่านก็ไม่ขัดข้อง มีจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงเล็กน้อยพอเป็นพิธี ก็ทราบว่ามีเพื่อนหลายคนห่วงใย กลัวจะได้ผู้ชายคุณภาพไม่ดีพอ ได้ยินก็ขำ ๆ เพราะผู้ชายอย่างเรา คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติสำหรับเป็นคู่ครองผู้หญิงได้ เคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ศธ. ระดับ 8 วุฒิการศึกษา นธ.เอก ปธ4 กศ.บ(.เกียรตินิยม) ศศม. อยู่กันมาแต่ปี 2548 ยังมีความสุขสบายดีอยู่ครับ
...........3. ดูแลโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
.........เป็นครูที่รับใช้ศาสนาไปด้วย สงสัยว่าเพราะอาศัยวัดมานาน 7 พรรษา สึกแล้วยังต้องช่วยวัดต่อ การศึกษาผู้ใหญ่ก็ต้องสอน วิชาคณิตศาสตร์หาครูยากเหลือเกิน ส่วนมากครูเขาสอนพิเศษได้ค่าตอบแทนดีกว่า เราเป็นครูแก้ขัดแต่สอนเข้าใจง่าย เด็ก ๆ ชอบ หลวงพ่อเลยให้สอนเรื่อยมา แต่ที่โรงเรียนเขายกวิชาศีลธรรมมาให้ ตั้งแต่ ม.1 ยัน ม. 6 รับเต็ม 24 ชั่วโมง มีครูเก่าช่วย อีก 1 คน นักเรียน 6-6-6--4-4-4 ก็ 30 ห้อง ศีลธรรม 30 ชั่วโมง เรารับไป 24 อีก 6 ครูเก่าช่วยสอน แผนการสอนเราทำเอง เอกสารสื่อเราทำเอง ครูเขาขอไปปรับใช้ก็ไม่ขัดข้อง ช่วงเข้าพรรษาจัดสอนพิเศษให้นักเรียนที่อยากสอบธรรมศึกษาตรี มีเด็ก สนใจมากร่วม 40 คน นิมนต์พระมาฉันเพลวันเสาร์และช่วยสอนเด็ก เด็กก็ชอบพระก็ชอบ สอบธรรมสนามหลวงร่วมกับวัด เจ้าคณะอำเภอ นักเรียนศรีสงครามวิทยาสอบได้ปีแรก 35 คน หลวงพ่อดีใจมาก บอกเราว่าปีหน้าให้ส่งมาเยอะ ๆ เพราะชื่อเด็ก เป็นนักเรียนสำนักเรียนของท่านเอง ด้วยเหตุนี้แหละเลยขอเปิดเป็นโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เมื่อปี 2517 หลวงพ่อเจ้า คณะอำเภอจัดพระเณรมาช่วยทุกปี เวลาส่งชื่อนักเรียนสอบนักธรรม ส่งในนามสำนักเรียนวัดเจ้าคณะอำเภอ บางปีมากกว่า 100 คน สอบได้ 40 บ้าง 50 บ้าง แค่นี้ก็มากมายแล้ว อ้อโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ศรีสงครามวิทยา กรมการศาสนาเคยส่ง เจ้าหน้าที่มาตรวจเยี่ยม ชอบใจที่อยู่นอกวัด กำชับว่าอย่ายุบเลิกนะ จะจัดงบอุดหนุนให้ เดือนกันยายน 2559 ไปงานเกษียณ ถามว่ายังเปิดสอนอยู่ และได้รับงบอุดหนุนมาตลอด สาธุอนุโมทนา
…………..4. ประสบการณ์เป็นบรรณารักษ์
........เป็นครูบรรณารักษ์ สอบวิชาชุด พก.ศ. หมวด ค มีวิชาพลานามัย วิชาบรรณารักษ์ พระภิกษุส่วนมากเลือกสอบวิชาบรรณารักษ์ เลยมีความรู้ห้องสมุดอยู่บ้าง ครูโรงเรียนนี้ต้องช่วยงานพิเศษนอกเหนือจากงานสอนประจำคนละอย่างสองอย่าง ตอนแรกเขาให้ช่วย งานการเงินแต่ไม่ถูกจริต ที่สุดเลยได้งานห้องสมุด มีหนังสือ 1 ตู้ ตอนหลังได้ห้องค่อยหาครุภัณฑ์และสื่อต่างๆเพิ่มจนในที่สุด ก็ขึ้นป้าย"ห้องสมุดโรงเรียนศรีสงครามวิทยา" เคยจัดผ้าป่าหนังสือ ช่วงสอบเสร็จเด็กทิ้งหนังสือกันมากมาย ให้เอามาทำบุญผ้าป่า ทำบ่อย ๆหนังสือมากขึ้น ๆ เมื่อไปเรียนระดับปริญญาตรี เขาให้เลือกวิชาโท เราเลือกบรรณารักษ์ เพราะจะได้ใช้ พอจบเขาได้ครู ครูคนใหม่จบบรรณารักษ์มาพอดี เลยยกห้องสมุดให้น้องเขาไปดูแล
…………….5. ประสบการณ์เป็นครูแนะแนว
.............ว่างจากห้องสมุด เขาเตรียมเข้าสู่หลักสูตร 2521 จัดอบรมที่เขต ที่ส่วนกลาง บ่อยมาก ถูกส่งไปอบรมแนะแนว กลับมาก็เปิดห้องแนะแนว จัดระบบข้อมูลนักเรียน ตามที่วิทยากรแนะนำนั่นแหละ รู้ตัวดีนะว่าไม่มีความรู้ เลยเน้นการให้ ข้อมูลข่าวสารมาก ๆ ส่วนเรื่องแก้ปัญหาเด็กก็ประสานกับฝ่ายปกครอง เพราะเขาทำอยู่ก่อนแล้ว สวนปัญหาการเรียนของเด็ก ได้จัดทำห้องแนะแนวมีมุมเอกสารคู่มือการศึกษาต่อ การหางานทำ อาชีพที่น่าสนใจ สะสมไว้ค่อนข้างมาก จนเป็นห้องสมุดย่อย ย่อย ๆ เด็ก ๆชอบแวะมาอ่าน แรก ๆ หนังสือหายเยอะ เลยจัดบริการหาหนังสือให้ห้องแนะแนว แจกซองผ้าป่าหนังสือให้นักเรียน บอกผู้ปกครอง โรงเรียนอยากได้หนังสือไว้ห้องแนะแนวเพื่อ แนะแนวการเรียน แนะแนวด้านพฤติกรรมวัยรุ่น แนะแนวอาชีพ ได้หนังสือหลายร้อยเล่ม ได้เงินหมื่นกว่าบาท ก็ขออนุญาตจัดซื้อหนังสือเข้าห้องแนะแนวนั่นแหละ บรรณารักษ์มาต่อว่า ทำไม อาจารย์ไม่ชวนหนูบ้าง ก็ขอโทษเขานะลืมนึกถึงจริง ๆ เพราะอยากได้หนังสือแนะแนวเท่านั้น แต่หนังสือที่ได้มา ไม่เกี่ยวกับ งานแนะแนวก็มาก เลยฝากบรรณารักษ์ให้มาเลือกไปไว้ห้องสมุด ได้ไปสองร้อยกว่าเล่ม ต่อมาไม่นาน ก็ได้ครูแนะแนวมาบรรจุ เลยส่งมอบงานแนะแนวให้เขาไปทำ
……………6. ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี
........ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี นิสัยชอบเรียนยังไม่หายไปจากใจ เมื่อมีสิทธิ์ลาศึกษาต่อก็ไปสอบดู ครั้งแรกตั้งใจจะเรียน ด้านเอกวิทย์-คณิต มช. หนังสืออ่านเยอะเกินอ่านจบไม่กี่รอบเองไม่มั่นใจ สังเกตดูคู่มือสอบวิชาภาษาไทยไม่ค่อยยาก ไปสอบ เอกภาษาไทยดู ปีต่อไปค่อยสอบวิทย์-คณิต ผลประกาศออกมาติดซะนี่ ผู้บริหารว่าเรียนเลย สอบใหม่อาจไม่ติดก็ได้นะ นั่นแหละ ที่ต้องเรียนวิชาเอกภาษาไทย ภาควิชาแนะแนวดูโปรไฟล์นักศึกษาใหม่ เรียกไปพบถามว่าทำไมเลือกเรียนเอกไทย พื้นฐานด้าน ภาษาคะแนนต่ำมาก อาจารย์แนะแนวเอาโปรไฟล์ให้ดู ก็ขำ ๆ มันต่ำจริง ไปโด่งอยู่วิชาคณิตศาสตร์ เกือบเต็ม ก็เลยเรียนให้ อาจารย์ทราบว่าชอบวิทย์-คณิต เตรียมสอบไม่ทัน วิชาภาษาไทยอ่านหนังสือรอบเดียวมาสอบเลย อาศัยมีพื้นฐานภาษาบาลีเลย พอตอบข้อสอบได้บ้าง อาจารย์แนะนำให้อ่านหนังสือมาก ๆ คนอื่นเขาคะแนนพื้นฐานภาษาไทยสูงทุกคน คงห่วงจะเป็นตัวถ่วง ในห้อง ก็ขอบคุณท่านแล้วทำตามที่ท่านแนะนำคือ อ่านมาก ๆ ภาคเรียนแรก กวาดเกรด เอ ทุกวิชา ภาคเรียนที่ 2 ก็กวาด ได้อีก ค่าเฉลี่ย 3.7 เชียว ปีถัดมาลงทะเบียนเรียนคอร์สแนะแนว อาจารย์ชมว่าเก่งขยันดีนี่ ตอนจบ กศ.บ.เลยมีคำเกียรตินิยม พ่วงมาด้วย จบเมื่อ ปี 2519
………7. ประสบการณ์บริหารงานหมวดวิชา
.........หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทยว่างลง เพราะเลื่อนไปเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร ครูจบปริญญาตรีอาวุโสมากก็คือเรา ต้องไปรับหน้าที่ แทน แต่เราสอนศีลธรรมนะ หมวดภาษาไทยก็เกี่ยงให้สอนภาษาไทยบ้าง วิชาศีลธรรมคืนหมวดสังคมศึกษาไป หมวดสังคมก็ไม่ ยอมเลยพบกันครึ่งทาง โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์จะบริหารให้ สื่อสอนศีลธรรมได้แก่แผนการสอน เอกสารและสื่อต่างๆ ยกให้หมวดวิชาสังคม มีปัญหาคาบสอนศีลธรรมยินดีช่วย ส่วนภาษาไทยก็จัดมาได้วิชาวรรณคดีมาสิบชั่วโมง เป็นหัวหน้าหมวด วิชาจะนิเทศครูไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะครูก็เหมือนแมว ดึงให้ไปหน้าแมวจะถอยหลัง ดึงให้ถอยหลังมันจะดันทุรังไปทางหน้า ดึงหลังยกขึ้นมันจะหมอบลง ดึงหนังท้องลงมันจะโก่งหลังขึ้น ครูส่วนมากก็คล้าย ๆ กัน เว้นแต่เขาชอบและอยากจะพัฒนาเอง หัวหน้าหมวดแบบผมสบาย ๆ ไม่บังคับใครหรอก แต่เชื่อทุกคนอยากเป็นครูที่ดี พยายามพูดคุยกันเสมอแหละว่า ทำงานมีแผน ดีกว่าไม่มีแผน เตรียมการสอนดีกว่าไม่ได้เตรียมการสอน สอนแบบมีสื่ออุปกรณ์ง่ายกว่าสอนแบบไม่มีสื่อและอุปกรณ์ สอนไป วัดและประเมินผลไปด้วย ดีกว่าสอนโดยไม่รู้จักประเมิน ก็เลยต้องทำให้ดูว่าสิ่งที่หัวหน้าหมวดพูด เป็นสิ่งที่ทำได้ เอาแผนการสอน วิชาศีลธรรม สื่อการสอนนักเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แผนการสอนวิชาธรรมศึกษาตรี โท เอก คู่มือการสอนวิชาธรรมะ วิชา พุทธประวัติ วิชาวินัย เอาไปเย็บเป็นเล่ม ๆทำปกดี ๆแล้ววางไว้บนชั้น หยิบไปอ่านได้ไม่หวง ส่วนวิชาวรรณคดีไทยกำลังเขียน อยู่ในสมุดเบอร์ 2 มาขอดูก็ได้
แผนการสอน
..........ทำไมหนูต้องเขียนแผนการสอน ไม่เขียนก็สอนได้ เด็กเก่งยกชั้น ทำไมหนูต้องเตรียมการสอน จำได้หมดแหละสอนสบาย ทำไมต้องทำสื่อ เสียเงินเสียงบประมาณ แล้วที่ว่าสอนไปวัดประเมินผลไปหัวหน้าทำได้เหรอ คำถามหาเรื่องทั้งนั้นแต่ไม่สนใจ หรอกเด็ก ๆจบใหม่ทั้งนั้น หัวหน้าคนเก่าโดนมาก่อนเขาเล่าให้ฟัง ประชุมประจำเดือนเจอคำถามก็บอกว่า พูดกันตามหลักการ ให้ฟังว่า ครูจะทำงานได้ดีถ้ามีแผน มีการเตรียมการที่ดี มีสื่ออุปกรณ์ทำงานมันก็ง่าย หลักธรรมดา ๆ ครูทุกคนรู้จัก เวลาประเมิน ว่าครูคนไหนทำงานเก่งไม่เก่งก็ดูตามนี้ จะดูแต่นักเรียนคะแนนสูงคะแนนต่ำไม่พอหรอก เด็กห้องคิง วิชาไหนมันก็คะแนนดีหมด เด็กห้องบ๊วยมันก็คะแนนต่ำทั้งห้อง ดังนั้นต้องดูอย่างอื่นด้วย ครูในหมวดวิชา 8 คน มีแผนการสอน 3 คน อีก 5 คนไม่มีแผนการสอน ก็ต้องให้เครดิตคนมีแผนก่อนว่า เขาทำงานมีแผน อยากดูแผนดีไม่ดีเขามาส่งก็ตรวจดูได้ เขียนส่ง ๆ หรือเขียนอย่างคนเรียนวิชา ครูมา เจอเข้าแบบนี้อึ้งกิมกี่ไปเลย พอมีการประเมินเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง พวกมีเอกสารหลักฐานผ่านฉลุย พวกไม่มีวิ่งหา จะหาที่ไหนมาได้ทัน
สอนไปประเมินไปด้วย
..........สอนไปประเมินไป ผมสอนต้องประเมิน เครื่องมือประเมินก็คำพูดไง สอนจบเนื้อหาตามจุดประสงค์ หยุดถามเข้าใจยัง ใครยังสงสัยอยู่ เอ้านายแดง บอกครูซิเรื่องนี้หมายถึงอะไร นายแดงมันตอบได้ฉะฉาน แสดงว่าคนอื่นรู้หมด นายแดงนี่อ่อนสุด ในห้อง สอนไปไม่ประเมินเด็ก จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเข้าใจสิ่งที่เราสอน ครูสาวมันมายกมือไหว้เรา บอกหนูขอโทษ หนูนี่แหละ ซักเด็กประจำทุกคาบ ไม่รู้ว่าหนูประเมินตลอดเวลาที่สอน เดิมเข้าใจการประเมินว่าคือการสอบซึ่งมันไม่ใช่ เอาข้อสอบมาสอบ ทำไม่ได้ทุกคาบสอนหรอก วิธีง่าย ๆมีเยอะแยะไป
..........เตรียมการสอน ไม่เห็นจำเป็นเลย ถามว่าเธอหอบไปสอนเป็นกระเป๋านั่นคืออะไร หนังสือค่ะ อ่านรึยัง อ่านแล้วค่ะ ไหนว่า จำได้แล้ว ก็อ่านเพื่อทบทวนกลัวหลงลืมค่ะ นี่ไงเธอเตรียมการสอนมาอย่างดี อันไหนลืมเธอก็ตรวจสอบ เพียงแต่การเตรียม การสอนของเธอไม่มีร่องรอยให้คนเห็น ไม่เหมือนผมนะ ผมคนขี้ลืมต้องบันทึกเป็นร่องรอยเอาไว้ว่า ไปเตรียมเรื่องอะไรไว้สอนเด็ก เขียนบันทึกเป็นเอกสารประกอบการสอน ไม่ต้องอ่านอีกเลยจำได้หมด แจกให้เด็กไปอ่านกันเลย อยากเห็นการเตรียมการสอน ของผมคุณเอาเอกสารพวกนี้ไปตรวจดูซิ ผมอ่านอะไรบ้างดูบรรณานุกรมท้ายเอกสาร นั่งงงใหญ่เลย ต่อมาก็ได้เห็นเอกสาร ประกอบการสอนของครูแทบทุกคน มาขอคำแนะนำวีธีเขียนเอกสารเชิงวิชาการ เราบรรณารักษ์เก่านี่นา เรื่องแบบนี้ถนัด
…………8.ประสบการณ์บริหารงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการ.
........ปี 2521 หลักสูตรใหม่เข้ามา เราเรียนจะจบแล้วแหละ ภาคเรียนสุดท้ายแล้ว ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการขอย้ายกลับภูมิลำเนา ที่จังหวัดชัยภูมิ เขาเลยสรรหาคนมาทำงานวิชาการกัน น้องในหมวดวิชาภาษาไทยเขียนจดหมายไปบอกว่า คณะครูเลือกพี่ไป ทำงานวิชาการ หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทยให้ผู้ช่วยหัวหน้าหมวดทำแทน พอจบการศึกษา ยังไม่รับปริญญาเลย ก็ไปแบกงาน วิชาการ แถมเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรด้วย งานหินจริง ๆ งานที่รับผิดชอบสำคัญ ๆ คือ การบริหารหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลและการพัฒนาบุคลากร งานที่ได้สัมผัสช่วงที่ทำหน้าที่สิบกว่าปี ได้แก่......
..................1.มีคณะกรรมการวิชาการ 15 คน จากหัวหน้าหมวดวิชาและหัวหน้าแผนกงาน เป็นทีมงานวิชาการ ช่วยวางแผนการจัดหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การกำกับนิเทศ และการประเมินผล งานดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ผลสำเร็จการเรียนการสอนน่าพอใจ คนรู้จักชื่อโรงเรียนศรีสงครามวิทยาดีขึ้น ผู้ปกครองสนใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนจน ต้องขยายชั้นเรียนอย่างรวดเร็ว จากโรงเรียนขนาดเล็ก ผ่านไปไม่กี่ปีเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ
.................2. มีการส่งเสริมให้จัดห้องสอนพิเศษทุกหมวดวิชา มีสื่ออุปกรณ์พร้อม นักเรียนเดินไปเรียนตามเวลาที่ครูกำหนดเด็ก ๆชอบมาก เพราะสื่ออีเลคโทรนิคในห้องครูสรรหามาจัดการเรียนการสอน อ้อแข่งกันด้วย นอกจากงบโรงเรียนจัดสรรให้ ครูยังชอบหาผู้สนับสนุนจากภายนอก เครื่องเสียง เครื่องวีดิทัศน์ คอมพิวเตอร์ เอกสารตำรา ไม่มีใครยอมใคร ประชุมประจำเดือนก็อวดกัน ผลการแข่งกันพัฒนาการเรียนการสอน ศึกษานิเทศมาเห็นชอบมาก อยากให้โรงเรียนต่าง ๆแข่งกันทำแบบนี้
...............3. ส่งเสริมพัฒนาเครื่องมือวัดผลประเมินผลการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดจุดประสงค์การเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดคุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอน การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวัดและประเมินผล
................4. ส่งเสริมการวิเคราะห์วิจัยทางการศึกษา ให้ความรู้เรื่องสถิติและวัจัย สงเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน จัดทำคลังข้อมูลสนับสนุนการเขียนรายงานทางวิชาการ
................5. จัดประชุมอบรมตามความต้องการของคณะครูอาจารย์ การสร้างจุดประสงค์การสอน การเขียนแผนการสอน การสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล การใช้สถิติเพื่อการวิจัย การเขียนเอกสารทางวิชาการ การทำวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอน
..................จากการที่ได้สัมผัสงานด้านวิชาการที่ยกตัวอย่างมานั้น ส่งผลให้คุณภาพบุคลากรโรงเรียนมีความรู้ ประสบการณ์มากยิ่งขึ้น ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรให้กลุ่มโรงเรียน เขตการศึกษาเป็นประจำ ผลการเรียนของเด็กอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สาขาศิลปะผลงานส่งไปประกวดระดับชาติระดับโลก พลานามัยมีนักเรียนติดระดับชาติไปซีเกม ภาษาอังกฤษมีนักเรียนสอบคัดเลือกทุน เอ.เอฟ.เอส แทบทุกปีผู้ปกครองพอใจมาก เกษตรเป็นต้นแบบหมูบ้านนักเรียนเกษตรซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น ช.ก.ท. ..... ผ่านมาช่วงเวลาหนึ่งต้องวางมือ ไปช่วยงานวิชาการในระดับจังหวัด ที่สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัด โดยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานบริหารหลักสูตร การเรียนการสอนและการวิจัยตามแนวที่ถนัดเหมือนเดิม แต่ขยายขอบเขตไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ก็เหนื่อยดี จนกระทั่งเกษียณถึงได้วางมือ
อัตตชีวประวัติ ตอนที่ 3
การศึกษาเล่าเรียน……….ตาคะเล่าเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของตาให้ฟังหน่อยสิ ยินว่าตาเรียนหนังสือเก่งมาก ....เด็ก ๆลูกหลานอยากฟัง เลยพยายามยกยอใส่ไข่เต็มที่ ได้เลยเด็ก ๆ ตามันคนขี้โม้อยู่แล้ว ฟังไปก็เลือกเอาเอง อันไหนจริงอันไหนโม้ การศึกษาเล่าเรียนของตามันมีหลายตอนนะทั้งในระบบ นอกระบบ ที่จำได้ก็เช่น
1. เรียนรู้การละเล่นพื้นบ้าน
2. หัดอ่านเขียน
3. เรียนประถม
4. เรียนวิชาทำมาหากิน
5. เรียนมัธยมต้น
6. เรียนมัธยมปลาย
4. เรียนช่างฝีมือ
8. เรียนวิชาทำนาทำไร่
9. เรียนธรรมะ-บาลี
10.เรียนเทศน์
11. เรียนครู
12. เรียนปริญญาตรี
13. เรียนปริญญาโท
14. เรียนวิชาเฉพาะ ห้องสมุด แนะแนว วัดผลประเมินผล วิจัยชั้นเรียน ซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์ เขียนเวบไซท์
..............ทีนี้ก็มาดูรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
...............พื้นฐานการศึกษาเล่าเรียนของตาอย่างย่อ ๆ เคยจดเอาไว้ ดังนี้
2497 จบ ป. 4 โรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา
2500 จบ ม. 3 โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี
2503 จบ ม. 6 โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2513 สอบได้ นธ.เอก และสอบได้บาลีประโยค 2 สำนักเรียนวัดหรคุณ จังหวัดขอนแก่น
2514 สอบได้เปรียญธรรมประโยค 3 สำนักเรียนคณะจังหวัดเลย
2515 สอบได้ประกาศนียบัตร พ.กศ. ณ สนามสอบจังหวัดเลย
และสอบได้เปรียญธรรมประโยค 4 สำนักเรียนคณะจังหวัดเลย
2516 สอบได้ประกาศนียบัตร พ.ม. สนามสอบจังหวัดเลย
2519 จบปริญญาตรี กศ.บ. (เกียรตินิยม) จาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ .มหาสารคาม
2524 จบปริญญาโท ศศ.ม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร
................ต่อไปเล่าถึงการเรียนรู้เพิ่มเติมที่ได้มา มีมากมายหลายเรื่อง เช่น
................การละเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ ไม่มีสอนในโรงเรียนหรอก แต่เราสามารถเรียนรู้ได้จากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ ละเล่น นั้น ๆ แล้วศึกษาวิธีการจนสามารเล่นกับคนอื่น ๆ ได้ ผมชอบศึกษา สังเกตและจดจำจนเล่นกับคนอื่น ๆ ได้หลายอย่างการละเล่นหลายอย่าง เคยร่วมเล่นกับเพื่อน ๆ บางอย่างไม่ได้เล่น แค่ดูคนอื่นเล่น ๆสมัยก่อนเล่นอะไรกันบ้าง ที่เคยเล่นกับเขา เช่น หมากจิ้งล้อ บั้งโป๊ะ ขาโถกเถก รีรีข้าวสาร ตีคลี งูกินหาง ซ่อนหา(โป้ง แป๊ะ) หมากเก็บ มอญซ่อนผ้า ม้าหลังโปก หมากโค้งตีนเกวียน แข่งมาก้านกล้วย เดินกะลา การเล่นดึงเชือก กระโดดเชือก ว่าว หมากเก็บ แค่ดูไม่เคยเล่น เช่น ทอยเส้น สะบ้า หมากอี่ จ้ำมู่มี่ หมากก๊อกล๊อต แก้งขี้ช้าง โพงพาง อีกาฟักไข่ ฯลฯ
.........ตัวอย่างการเล่นหมากจิ้งล้อ ตีนเลี่ยน ก็เรียก เอาไม้กระดานมาเจียนเป็นวงกลม เจาะรูใส่เพลา ไม้ไผ่ผ่าซีก ทำเป็น ตะเกียบคีบเพลา ไสไปข้างหน้า ล้อก็จะหมุนไปคนก็เดินตาม ใช้วิ่งแข่งกันได้ด้วยนะ เรียกแข่งหมากจิ้งล้อ ........บั้งโป๊ะ ตัดไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ รูขนาดดินสอหินเขียนกระดานชนวนสอดได้ ปล้องไม้ไผ่ยาว 12 นิ้ว ตัด ยาว 8 นิ่ว สั้น 4 นิ้ว เหลาไม่ไผ่กลม ๆเสียบรูท่อนสั้นให้แน่น ไม้โผล่ยาวเท่าท่อน 8 นิ้ว ลดลง 1 ซม. ปกติจะใช้ลูกผลไม้คือหมากคอมลอม เอามายัดรูท่อนยาว 8 นิ้ว ไม้ดันไปให้สุด มองจากปลายเห็นลูกเขียว ๆ ลูกที่สอง ยัดรูแล้วใช้ไม้อัดกระแทกลูกแรกจะเกิดเสียงระเบิดดังโป๊ะลูกกระเด็นหลุดออกไป เหมือนยิงปืน เลยเรียกบั้งโป๊ะ เคยจัดแบ่งทีม 3-5 คน ประกาศสงครามกัน ระวังโดนลูกตาเข้า เจ็บเอาการนะ
............หัดอ่านเขียน ผมเป็นลูกคนสุดท้อง พี่ชายคนติดกันเขาเกิดปีมะโรง เราเกิดปีวอก ห่างกัน 5 ปี เราอายุ 5 ปีเศษ พี่ชายก็อยู่ ป. 4 พี่สาวคนถัดกันจบ ป. 4 แล้ว . สองคนเขาช่วยสอนอ่านเขียนให้ กระดานชนวนอย่างดี ผิวมันเป็นกระจก เขียนด้วยดินสอหินปูน เส้นสวยมาก อยากเขียนเป็นตั้งใจฝึกอย่างดีจนอ่านออกเขียนได้ บังเอิญครูสอน ป.1 เป็นเพื่อนพ่อ แวะมาที่บ้านมาพบกำลังสอนกันอยู่ ชอบใจที่เห็นอ่านออกเขียนได้ เลยแนะนำให้พาไปฝากเรียนก่อนเกณฑ์ ถ้ามีการสอบเข้าเหมือนสมัยนี้ ได้ที่ 1 แหงเลย เพราะอ่านออกเขียนได้อยู่คนเดียว ครูให้เป็นผู้ช่วย โดยพาเพื่อน ๆอ่านที่ครูเขียนบนกระดานดำ สบายมาก ครูไปสอนเด็กห้องอื่น กลับมายังไม่เลิก พอเปิดเรียนเด็กห้องนี้อ่านคล่องทุกคน มันรักเรามาก ถึงอายุน้อยกว่าเขา 1 ปี แต่ยืดเป็นพี่ใหญ่เลยแหละ พักเที่ยงวิ่งมาชวนไปล้อมวงใต้ต้นมะขาม กินข้าวเที่ยงกัน เปิดมามีแต่แจ่วบอง ข้าวหมด แจ่วไม่หมด ปีนต้นมะขามสิ สนุกกันมาก
...........การศึกษาเล่าเรียนระดับประถม เพราะอ่านออกเขียนก่อนเข้าเรียนชั้นเตรียมเลยได้เปรียบคนอื่น พัฒนาการเรียนได้เร็ว ผลการเรียนดีตั้งแต่แรก สอบได้ที่ 1 ตลอด ครูชั้น ป.2 เคยแนะนำว่าโตขึ้นเธอควรเรียนเพื่อเป็นครูนะ ไม่นึกว่าในที่สุดก็ต้องเป็นครูจริง ๆ ปี พ.ศ. 2494-2497 ไม่มีกิจกรรมประกวดแข่งขันเหมือนสมัยนี้ เลยไม่มีวีรกรรมอะไรที่น่าเล่าให้ลูกหลานฟัง โรงเรียนเขาเปิดเรียนสามเทอม สอบได้ที่ 1 ปีละสามครั้ง แค่นี้เองที่มีไว้เล่าอวดลูกหลาน จบ ป.4 คะแนนสูงสุดของอำเภอ มีสิทธิรับทุนเรียนมัธยม 6 ปี แต่ก็ไม่ได้รับ เพราะครอบครัวอพยพจากกาฬสินธุ์ ไปอยู่ที่อุดรธานี อำเภอโนนสัง บ้านหนองลุมพุก
..........การศึกษาเล่าเรียนระดับมัธยม ถือว่าโชคดีที่พ่อให้เรียนต่อ สมัยโน้นจบ ป.4 ถือว่าจบระดับประถมศึกษา ต่อมัธยมต้น 3 ปีที่โรงเรียนโนนสังวิทยา ห่างจากบ้านหนองลุมพุก 7 กิโลเมตร แรก ๆ พ่อไปฝากบ้านคนรู้จัก อยู่ได้สองเทอมก็ขอย้ายไป เป็นเด็กวัด รู้จักกิจกรรมเด็กวัดเป็นอย่างดี ทำหน้าที่เป็นเด็กอุปัฏฐากพระอาจารย์ พี่เณร รู้จักทำวัตรสวดมนต์ ทำความสะอาดกุฎิวิหารลานเจดีย์ อยู่วัดธรรมยุติ 2 เทอม วัดมหานิกาย 1 เทอม ตอนเรียน ม.3 ขอเดินไปกลับเพราะมีเพื่อนหมู่บ้านเดียวกันไปเรียนมัธยมอีก 2 คน ก็เลยสนุกไม่น่าเบื่อ เพราะเดินผ่านป่าดงผักหวาน ดงจั๊กจั่น กะปอม หน้าฝนกบเขียดก็เยอะ วีรกรรมหากินแบบเด็กชาวบ้านก็ได้แสดงฝีมือเต็มที่ ไปเรียนห่อข้าวกับแจ่วบองเยอะ ๆ เอาไว้กินกับไข่มดแดงบ้าง ก้อยกะปอมบ้าง ย่างกบเขียดบ้าง เรื่องเล่าเรียนไม่มีปัญหา การสอบได้ที่ 1 ยังคงเส้นคงวา ฝีมือไม่ตก ทั้ง ๆที่ไม่ใช่นักอ่านหนังสือเหมือนคนอื่น ๆ จนคนเขาเรียกคนหัวดี ก็ไม่รู้ความหมายหรอก มาสังเกตภายหลังว่า เราเป็นคนสมาธิดีมาก เวลาครูสอนไม่ค่อยได้ถาม เพราะเข้าใจดี แถมยังจำคำที่ครูสอนได้เป็นฉาก ๆ เวลาเห็นคำถามข้อสอบ นึกถึงคำพูดที่ครูสอนได้เลยทันที การสอบแบบอัตนัยเลยเหมาะมากเขียนได้จนเมื่อยมือเลยแหละ สอบได้ที่ 1 ตลอด แม้แต่ปีอยู่ ม.2 เทอมกลางสอบตก 49 เปอร์เซ็นต์ ที่ 1 นะนั่น ครูใช้ข้อสอบจังหวัดมาสอบ ส่วนเทอมปลายไม่มีปัญหา
..............การเรียนรู้วิชาทำมาหากิน เป็นการเรียนรู้นอกรูปแบบ เกิดขึ้นในสังคม ตั้งแต่ช่วงเรียนอยู่ประถมจนถึงมัธยม จะมีการเรียนรู้นอกรูปแบบให้ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่บ่อย ๆ ทั้งแบบไม่ได้ตั้งใจเรียน และแบบต้องตั้งใจเรียน มีหลายวิชาทีเดียว ขอนำมาเล่าแทรกตรงนี้แล้วกัน เอาเฉพาะที่เห็นว่าสำคัญ ๆ เช่น วิชาจับกบจับเขียด วิชาจับปลา วิชาจับนก วิชาฟั่นเชือก วิชาจักสาน วิชาช่างทำเครื่องมือลงนา วิชาถากไม้ วิชาเลื่อยไม้แปรรูป วิชาทำนา วิชาทำสวน วิชาทำไร่ วิชาเลี้ยงหมู วิชาเลี้ยงวัวควาย เอาย่อ ๆ พอรู้เรื่องแล้วกัน
..............จับกบจับเขียด เป็นวิชาหากินที่ต้องเรียนรู้ มีตั้งแต่การจับลูกอ๊อดกบเขียด พวกผู้หญิงเขาจะสอนกัน หลังจากฝนตกหนักน้ำขังตามทุ่งนา กบเขียดวางไข่ ไม่นานก็จะมีลูกอ๊อด สวิงเป็นเครื่องมือที่ใช้ช้อนลูกอ๊อด ผมเป็นเด็กผู้ชายแต่ชอบช้อนลูกอ๊อดรับรองเอาชนะเด็กผู้หญิงได้ นอกจากลูกอ๊อด พวกแมงกินได้ต่าง ๆ ก็ช้อนเก็บเอาหมด เช่นแมงคันโซ่ แมงอี แมงดานา แมงตับเต่า พอถึงจับกบจับเขียดจริง ๆ มันตัวโตแล้วจับยากหน่อย ต้องมีฝีมือ การทำหลุมดัก การไปส่องจับตอนกลางคืน พวกกบต้องใช้เบ็ด ส่องยิงด้วยพลุ หน้าไม้ ขุดกบซ่อนในรู กบเข้าไง ส่องไฟกลางคืนวันฝนตกปรอย ๆ วิธีพวกนี้ ผมใช้มามาก และได้ผลดีด้วย
.............วิชาหาหอย หากินน่ะครับ ปกติพวกผู้หญิงเขาเก่ง แต่ผมเด็กผู้ชายเห็นเขาทำก็ทำบ้าง วิธีแรกขัวหอยหน้าแล้ง มุมคันนาเป็นที่น้ำในนาแห้งหลังสุด พวกปู ปลา หอย จะมาออกันที่นั่น หอยจะมุดตัวฝังลงไปซ่อนในดิน โน่นแหละปีหน้าฟ้าฝนใหม่ค่อยโผล่ขึ้นมา เพราะรู้อย่างนี้เองการไปขัวหอยก็ที่มุมคันนานั่นแหละ ใช้เสียมแซะดินเบา ๆ เจอ หนึ่ง ก็มีสองสามสี่ไปเรื่อย หมดก็ไปที่ใหม่ สัก 5 มุมคันนาก็จะได้หอยขม หอยโข่งมากพอแกง......หอยในลำห้วย ในหนอง จะเกาะกิ่งไม้ ตอไม้หรือซ่อนตัวตามกอสวะกอหญ้า ใช้วิธีงมหาเอา ผมใช้สวิงหรือผ้ามุ้ง วางใต้กอสวะ กอหญ้า ใช้ไม้เคาะ หอยจะทิ้งตัวลงดิน ก็ไปกองอยู่ผ้ามุ้งให้เลือกเก็บเอา ทำสองสามครั้งก็ได้หอยมากพอแกง ฝนตกหนักครั้งแรก น้ำเจิ่งนองท้องนา ปูและหอยจะโผล่ออกมา เด็ก ๆเราไปเดินท่องจับหอยจับปู ได้เยอะมากเต็มถังเชียวแหละ ก็ทำเป็นทุกแบบแหละ เด็กบ้านนอกนี่นา
.............วิชาจับปูนา. ชาวบ้านเรากินปูนาเป็นอาหาร ตัวโต ๆ 4 ตัว ต้มกับมะเขือเปราะ 5 ลูก ทำน้ำพริกปูนา อร่อยมากนะครับ.... ไถดะที่ทุ่งนา กับข้าวไม่มีก็หาปูนามาทำน้ำพริกกินกัน เวลาเดินตามรอยไถ เจอปูนาตัวโต ๆ ก็จับใส่ตะข้อง เจอกบเขียดก็จับเอา หน้าปักดำนา เราระบายน้ำออกจากแปลงนาข้าวที่ปักดำใหม่ ๆ มุมคันนามักระบายน้ำไม่หมด เป็นที่ชุมนุมปูนา กัดต้นข้าวกระจุยต้องซ่อม เจอก็ไปงมจับปูนาออก เอามาขังใส่โอ่งไว้ ปีที่ฝนทิ้งช่วงนาน ๆ ปูนาออกมาเพ่นพ่านนาข้าว มันเดินไปทั่วผืนนาทีเดียว เจอรอยเดินข้ามคันนาละก็ใช่เลย ทำหลุมดักไว้ ใช้ไหหรือปี๊บ ฝังดักทางเดิน คืนเดียวเต็มไหก็เคยมี จับได้มาก ๆเอามาทำบาบิคิวปูก็อร่อยครับ เคยเห็นเพื่อนทำลาบปูนา แกะเอาเนื้อไปใส่ครกตำให้แหลกคั้นเอาน้ำซึ่งก็คือ เนื้อปูนั่นเอง เอาไปทำแกงอ่อมก็ได้ เอาไปทำลาบ เหมือนลาบปลาก็ได้ อร่อยทั้งสองอย่าง
............วิชาหาของป่ามาทำกับข้าว วิชานี้ต้องรอบรู้ว่าอะไรที่เห็นในป่า สามารถเอามาทำอาหารได้
จัดเป็นสุดยอกวิชา เดินป่า สอนกันยาก แค่เดินไปเจอเถาตำลึงเงยหน้ามองพุ่มไม้ยอดห้อยย้อยระย้า หาวิธีเด็ดเอาเองสิครับ คนอื่นส่ายหน้า บอกไม่ไหวมันไม่มีไม้ส้าว แต่ผมจัดการได้สบาย ๆ ล่วงไปในย่ามดึงเคียวเล็ก ๆ ออกมา มัดติดปลายไม้แค่นั้นแหละ จะไปเหลืออะไร เดินไปเจอสะเดากำลังแตกยอดอ่อน ซักสี่ห้ายอดก็เป็นผักจิ้มน้ำพริกได้อย่างดี ไปอีกหน่อยกิ่งมะขามหักปีที่แล้ว เห็ดดอกเล็ก ๆที่เขาเรียกเห็ดตีนตุ๊กแกขึ้นเต็ม คนอื่นไม่สนหรอกดอกเล็กใครจะเก็บไหว แต่ผมไม่ใช่ ปูผ้าขะม้าลง เอามาทีละกิ่งไม้ขูดเบา ๆ หล่นลงเต็มผ้า หมดทุกกิ่งก็ได้เป็นถ้วยสองถ้วยเชียวนา เห็ดชนิดนี้เป็นเห็ดที่ใช้ทำเห็ดอั่วอร่อยที่สุดนะเออ อย่ามองข้ามไป..... กิ้งก่า กะปอม สาย ๆแดดอ่อน ๆออกมาคำนับให้เรา ไปห่าง ๆอ้ายหนูยังไม่อยากก้อยกะปอม ต้องใช้สิบตัวขึ้นไปถึงจะพอทำก้อยกะปอม เจอรูบ่างบนต้นไม้มีรอยคนเอาค้อนทุบโคนต้นแสดงว่าเคยมีบ่างมาหลบ ผมมีหมาชื่อเจ้าโหล่ย มักวิ่งตามเวลาออกจากบ้าน ถ้าเจอแบบนี้ต้องลอง เจ้าโหล่ยจ้องปลายไม้ไว้ ค้อนเคาะสามโป้ก ๆ ๆ บ่างโผล่ออกมากระโดดร่อนหนีไปต้นอื่น เจ้าโหล่ยวิ่งกระโดดงับได้ไม่พลาด ได้กินลาบบ่างแน่ เจอเถาผักสาบ ยอดและลูกอ่อนเต็มต้นไม้ คนอื่นเดินผ่านไป เก็บไม่ได้ สำหรับผมไม่ยากเลย ง่ายพอกับเก็บตำลึงนั่นแหละ ใช้ลวกนึ่งอร่อยครับ ทำผักดองก็เยี่ยม หน้าฝนตกชุก หัวไร่ปลายนาจะมีมันป่าให้ขุดตามอัธยาศัย มันอ้อน มันนก มันเผิ่ม มันแซง มันพวกนี้รสอร่อยกว่ามันที่เราปลูก แต่มันขุดยาก ต้องรอฝนตกหนัก ๆ ดินนิ่ม พอไหว บางทีเชือกมัดดึงขึ้นได้ด้วย เอ้อ ยาวแล้ววิชาเดินป่า มีโอกาสค่อยเดินต่อครับมีอีกมากวิธีหากินของชาวบ้าน หน่อไม้ ผักหวาน ไข่มดแดง ยังไม่ได้พูดถึงเลย
.............วิชาจับปลา ลูกผู้ชายต้องรู้วิธีจับปลา มีโอกาสต้องเรียนรู้ ผมโชคดีมาก พ่อเป็นเซียนจับปลา วิชาจับปลามือเปล่า หนองน้ำที่ปลาบู่ปลาหมอปลาช่อนเยอะ ๆ แกจะเดินกดรอยเท้าในโคลนตมไปสัก 5-6 เมตร ได้สัก 10 รอย ล้วงโคลนมา สองกำ สาดโคลนกลับคล้ายเหวี่ยงแห ปลาจะวิ่งหาที่หลบ พ่อจะค่อย ๆ งมรอยเท้าที่กดไว้ ปลาบู่ปลาช่อนหลบอยู่โดนจับ ได้ง่าย ๆ ผมเรียนแต่ก็ไม่เก่ง ที่เก่งคือจับปลาซิวปลาสร้อยด้วยสวิง ด้วยแหตาถี่ ๆ ทำต้อนดักปลาด้วย ไซ ลอบ น้ำล้นทุ่ง ผ้ามุ้งก่องปลา ดักด้วยต่ง ทำหลี่ ทำยกยอ วางอวน วางเบ็ดเบอร์ขนาดเล็กจับปลาหลด ไปจนเบอร์ใหญ่ จับชะโด ปลาเค้า วิชาจับปลาได้เรียนรู้มาค่อนข้างมาก
.............วิชาจับนก เรียนรู้กันตั้งแต่เด็ก ๆ หนังสะติ๊ก ล้อมดักหน้าดักหลัง โตขึ้นจับด้วยเครื่องมือยิง พลุหรือไม้ซาง หน้าไม้ ปืนแก๊ป ตาข่าย แร้ว แร้วถุง ตังบาน ยางตัง(กาวทำเอง) อวนดักนก เบ็ด ความจริงไม่ได้ตั้งใจจับด้วยเบ็ด เราวางเบ็ดปลามันเกิดเบ็ด นกเป็ด นกกวัก(ไก่นา) เห็นจับปลากิน ติดเบ็ดให้เราจับได้ วันหลังลองเอาเหยื่อแมงกะชอนไปปักไว้ตรงนกมันลงหากิน ดูไม่จืดเลย...แร้วถุงคนอื่นเขาทำไม่กี่อันหรอก แต่เราทำง่าย ๆ ใช้อวนตาเซ็นต์เดียวที่ ไม่ใช้จับปลาแล้ว มาตัดเป็นแผ่น ๆ ทำเป็นตาข่ายแร้วได้สักยี่สิบคัน ใช้เหยื่อแมงกะชอน ปักริมหนองน้ำ กว่าจะเสร็จ หลังแรกนกกางเขน มันตะครุบเหยื่อแล้ว..... ตังบานพ่อสานให้เลยเรียบร้อยหน่อย หน้าฝนข้าวกำลังเขียวงามเต็มทุ่งนา นกกระเต็นออกหากิน เหยื่อแมงกะชอน จิโป่ม หนู สังเกตดูมันชอบจับต้นไม้ต้นไหน หาที่วางใกล้ ๆ จากนั้นก็ต้อนให้มันบินไปเกาะใกล้ ๆ ไม่เกิน 5 นาที โฉบเหยื่อ เรียบร้อย... หรือดักยิงนกต้นไทรลูกมันสุก นกกระปรอด นกเขา มาเป็นฝูง ไปทำซุ้มไว้หลายวันแล้ว จนมันคุ้น พอเราไปเฝ้าดักยิ่งสบายเลย... จับด้วยนกต่อต้อง นกคุ่ม นกกวัก ลองใช้เทปเสียง ก็ได้ผลเช่นกัน
..............วิชาจับหนู…หนูจริง ๆนะไม่ใช่หนูแก้มแดง ตอนเด็ก ๆ ไล่ยิงหนูซิง ตามบ้านเรือนด้วยหน้าไม้ พลุ โตขึ้นออกล่าหนูตามทุ่งนาตอนกลางคืน มีหมาสองตัวเป็นอุปกรณ์ มันเก่งกัดหนูได้คาบมาให้เรา บางครั้งก็มุดรูตื้น ๆ พกเสียมไปด้วย คืนหนึ่ง ๆได้ร่วมสิบตัว หนูพุกหนูแผงตัวใหญ่ ๆ ส่วนทำแร้ว กับดักก็ได้ผลจับหนูได้ดี มันกัดกินข้าวในทุ่งนาทำทิ้งไว้ติดบ่อย
.............วิชาฟั่นเชือก ที่บ้านจะมีการปลูกต้นป่าน ปอเทือง และปอแก้วเอาไว้ใช้ ต้นโตพอใช้งานจะตัดมาลอกเปลือก ขูดผิว สีเขียวทิ้ง เหลือเส้นใย ตากแห้งเก็บไว้ใช้ ยกเว้นปอเทือง ไม่เห็นขูดเปลือก คงเพราะเปลือกบางเลยเก็บทั้งลำ ฟั่นเชือก มีสองวิธี เส้นเล็กจะใช้สองมือบิดเกลียวเชือกให้พันเกลียวกันเรียกว่า เล็นเชือก ได้เชือกเส้นเล็ก เอาไว้สานแห สานอวน สานต่ง
ฟั่นเชือกจากเส้นฝ้ายเส้นด้าย ใช้หลาหรือไน ช่วยบิดเกลียวฝ้าย เลยได้เชือกเส้นยาว ๆ สานแห สานอวน ใช้วิธีนี้ การฟั่นเชือกอีกวิธีใช้การบิดเส้นเกลียวเดี่ยว ๆก่อน ค่อยมาฟั่นสองเกลียวสามเกลียวทีหลัง สำหรับเชือกเส้นใหญ่ ไว้ผูกวัวควาย หรือใช้ทำเชือกคร่าวสำหรับผูกไถนา วิชานี้ทำได้หมด เก่งด้วย ไม่ได้โม้นา
...........วิชาจักสาน ลูกผู้ชายต้องเรียนรู้ทำไม่เป็นต้องซื้อเขา แพงด้วย เพราะส่วนมากทำเขาทำใช้ ไม่ค่อยทำขาย เริ่มจากฝึกจักตอกให้เก่งก่อน ลองสานพัด สานมวยนึ่งข้าวเหนียว สานกระด้ง กระจ่อ ชะลอม กระทอ ฝีมือดีต่อไปก็ตะกร้า ครุตักน้ำ กระเช้าหมาก กระด้งฝัดข้าว สานไซ ทำลอบ สานฝาบ้าน สานกะโหลกล้อ เกวียน สาขาวิชานี้ก็เรียนมาจบหลักสูตรน่ะนา
..............แทรกยาวไปแล้ว เอาไว้แทรกตอนต่อ ๆ ไปแล้วกัน ยังอีกหลายวิชา
..........ช่วงเรียน ม.ปลาย ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเกษตรกรรม
ชัยภูมิ ยังไม่เป็นวิทยาลัย โรงเรียนกินนอน หอพักฟรี อาหารฟรี ได้ฝึกชีวิตนักเรียนโรงเรียนกินนอนประจำ
ตื่นเช้าตีห้าครึ่ง รับแจกงาน มีครูนำไปทำงานเช่น สวนผัก สวนผลไม้ เลี้ยงไก่
เลี้ยงหมู เลี้ยงวัวเนื้อ บ่อปลา
ลงนา ลงไร่ โรงครัว
ขายผักตลาดสด ทำงานจนโมงครึ่ง หยุดพักอาบน้ำเปลี่ยนชุดนักเรียน
สองโมงตรงพร้อมหน้าโรงครัว ทานอาหารพร้อมกัน
ทานอาหารเสร็จพักตามอัธยาศัย สามโมงตรงแถวเคารพธงชาติ เรียน จนสี่โมงเย็น
พัก 1 ชั่วโมง ห้าโมงเย็นเข้าแถวรับงาน
จนหกโมง เลิกงาน หกโมงครึ่งรับอาหารเย็น ทุ่มครึ่งสวดมนต์และเข้านอน
วัฏจักรชีวิตเด็กโรงเรียนกินนอนสามปี ดูตารางกิจกรรมหนักหนาเอาการ แต่ไม่มีปัญหาหรอก
หน้ากีฬา ถูกครูพละ ลอคตัวไปอยู่ค่ายซ้อมหลายเดือน เพราะดันเล่นกีฬา กรีฑา
ชนะคนอื่น จนถูกเลือกเป็นตัวแทนโรงเรียน หลายชนิดจนแทบจำไม่ได้ มารู้ทีหลังว่าเพื่อน ๆ ออมมือให้
อยากให้บ้ากีฬา และเลิกบ้าสอบได้ที่ 1 ซะบ้าง เสียดาย ไม่ได้ผลแฮะ ได้รับเลือกเป็นตัวแทนอะไรบ้าง 1. กระโดดไกล
2. เขย่งก้าวกระโดด 3. กระโดดสูง 4. วิ่ง
80 เมตร 5. วิ่ง 4 คูณ 80 เมตร 6.ปิงปอง
7. หมากฮอส 8. ตะกร้อ 9.วอลเลย์บอล 10. ฟุตบอลรุ่นกลาง 11.
ฟุตบอลรุ่นใหญ่
เล่นมากขนาดนี้ยังสอบได้ที่ 1 เหมือนเดิม จนได้สมญานามว่า “บักอ้อป่อง”
เขาเชื่อว่ามีวิชาอาคมทำให้เรียนเก่ง มีคนพยายามขอคาถาเรียนเก่ง แต่มันไม่มี จะให้เขา
เคล็ดเรียนเก่งที่เพื่อน ๆ
ไม่รู้คือ ชอบอ่านหนังสือ
อ่านมากด้วย ห้องสมุดประจำหอพัก หนอนหนังสือที่ครูเรียกคือเรานั่นเอง
เสียดายอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ภาษาไทยอ่านเกลี้ยง ทั้งหนังสือนิตยสารวารสาร
ห้องสมุดใหญ่ก็เช่นกัน มีชื่อยืมแทบทุกเล่ม
แถมห้องสมุดประชาชน วันหยุดก็แวะไปยืมหนังสือบ่อย ๆ หนังสืออิเหนา
รามเกียรติ์ พระอภัยมณี อ่านจนบรรณารักษ์สงสาร แยกเก็บไว้ให้
พอรู้เป็นนักเรียนโรงเรียนเกษตรแกแปลกใจมากบอกไม่น่าเชื่อ เคล็ดลับมากอีกอย่างคือความตั้งใจทำสถิติอ่านเร็ว
เริ่มจากอ่านวันละ 20 หน้า 50 หน้า 100 หน้า
ช่วงเรียนอยู่เกษตรกรรมชัยภูมินี่อ่านได้ถึงวันละ 500 หน้า วิธีทำสถิติ
ก็อ่านเล่มเล็ก ๆ สิ พวกการ์ตูน ช่วยได้มาก สนุก เล่มละหลายสิบหน้า อ้อยาวมากแล้ว
ผลการเรียนสามปีที่นี่ ที่ 1 ตลอดแหละครับ จบ ม. 6 อายุ 16 ปี มีสิทธิ์เรียนระดับ สูงขึ้นไป
ที่ วิทยาลัยเกษตร เขาให้สิทธิ์ที่ 1- 3 เข้าเรียนได้ไม่ต้องสอบ แต่ค่าใช้จ่ายแพง
พ่อสู้ไม่ไหว
ไปสอบบรรจุก็ไม่ได้อายุยังน้อย ออกมา 1 ปี
ค่อยได้ขึ้นทะเบียนทหารกองเกินน่ะ ครับเลยตกค้างอยู่ที่บ้านหนองลุมพุก อำเภอโนนสัง
จังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่ปี 2504-2510
.............เรียนวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน วิชาชาวไร่ชาวนา ช่วงนี้ได้รับคำสรรเสริญจากผู้ไม่หวังดีค่อนข้างมาก สำนวนว่าเรียนต่อสิ้นเปลืองเงินทองพ่อแม่ เรียนจบแล้วไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนาย มาเตะฝุ่นอยู่เฉย ๆ บางคนก็พูดลับหลังมีคนเอามาบอก บางคนก็แอบ ๆพูดให้ได้ยิน บางคนหนักหน่อย มันด่าลูกกระทบเรา ก็โกรธนะไม่ใช่ไม่โกรธ บ่อยเข้าก็ทำใจได้ เพราะที่เขาพูด มันเรื่องจริง ที่สุดก็ทำใจได้ คนพูดก็คงเบื่อเลิกพูดไปเอง ความจริงก็คือเราโชคไม่ดี จบ ม. 6 อายุ 16 ปี ต้อง 18 ปีถึงจะสอบเข้ารับราชการได้ เพื่อนจบพร้อมกันไปสอบเป็นเกษตรตำบล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังรับ ม. 6 อยู่ อย่างน้อยครูประชาบาล ก็ยังมีรับครู ม. 6 อยู่ ผ่านไปสองปี ไม่มีแล้ว ครูเลื่อนไปรับ วุฒิครู พ.กศ. ป.กศ.สูง วุฒิต่ำอย่างเราก็หมดโอกาส ก็ต้องทำใจครับ ชักแน่ใจแล้วว่าคงต้องดำเนินชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่วไป ต้องปรับตัว ศึกษาเรียนรู้ เรื่องการทำมาหากินแบบชาวบ้าน หก ปี ที่เราไปอยู่โรงเรียน ไม่ได้เรียนรู้เพื่อการอยู่อย่างชาวบ้านเลย ต้องเริ่มใหม่หมด เรียนรู้อะไรดีล่ะ
……………วิชาการทำนา ทำสวนและ ทำไร่ ชาวชนบทเราอาชีพเกษตรมีสามทำนี่เป็นหลัก เลยพยายามสอนลูกหลานให้ พร้อมสำหรับงานที่จะต้องทำ เครื่องมือ มีด จอบ เสียม นี่ใช้ประจำทั้งที่บ้านและที่ไร่นาและสวน ต้องจัดหาและซ่อมบำรุง ให้พร้อมใช้งานเสมอ เครื่องมือเฉพาะกิจ การไถเราใช้แรงควาย ต้องมีอุปกรณ์ไถคราด สมัยก่อนต้องทำเองจากไม้ มีเหล็ก ก็เฉพาะหัวผาน หางยามไถ ง่อนไถ ใบไถ แอก คราด ทำด้วยไม้ เรียนอยู่สองปีถึงพอทำได้แต่ยังไม่สวย นอกจากนี้เชือกก็ฟั่นเอง ทั้งเชือกสำหรับผูกควาย คร่าวสำหรับลากไถและคราด ที่สำคัญมากคือหนังต่องแอก สำหรับผูกแอกแล้วร้อยกับปลายง่อนไถ แรก ๆ ไม่รู้ทำไมใช้เถาวัลย์ หรือไม่ก็ปอดิบ ๆ เวลาไถติดรากไม้ หนังต่องแอกขาดผึง เอาอันใหม่มาใส่แทน วันหนึ่งเอาเชือกคร่าวมาทำ ไถติดรากไม้หนังต่องแอกไม่ขาด แต่ง่อนไถขาดแทน พ่อเทศนากัณฑ์ใหญ่ว่า แกเสียดายหนังต่องแอกมากกว่าง่อนไถ อุปกรณ์ชุดไถนี่พวกไม้เตรียมไว้หน้านาละ 3 ชุด เชือก 5 ชุดพอดี ชำรุด ขาด จะได้ไม่เสียเวลา นี่เฉพาะอุปกรณ์สำคัญ พวกปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ก็ว่ากันไปเป็นส่วนประกอบวิชาการทำนาทำไร่ด้วยเช่นกัน
.............เรียนวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน วิชาชาวไร่ชาวนา ช่วงนี้ได้รับคำสรรเสริญจากผู้ไม่หวังดีค่อนข้างมาก สำนวนว่าเรียนต่อสิ้นเปลืองเงินทองพ่อแม่ เรียนจบแล้วไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนาย มาเตะฝุ่นอยู่เฉย ๆ บางคนก็พูดลับหลังมีคนเอามาบอก บางคนก็แอบ ๆพูดให้ได้ยิน บางคนหนักหน่อย มันด่าลูกกระทบเรา ก็โกรธนะไม่ใช่ไม่โกรธ บ่อยเข้าก็ทำใจได้ เพราะที่เขาพูด มันเรื่องจริง ที่สุดก็ทำใจได้ คนพูดก็คงเบื่อเลิกพูดไปเอง ความจริงก็คือเราโชคไม่ดี จบ ม. 6 อายุ 16 ปี ต้อง 18 ปีถึงจะสอบเข้ารับราชการได้ เพื่อนจบพร้อมกันไปสอบเป็นเกษตรตำบล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังรับ ม. 6 อยู่ อย่างน้อยครูประชาบาล ก็ยังมีรับครู ม. 6 อยู่ ผ่านไปสองปี ไม่มีแล้ว ครูเลื่อนไปรับ วุฒิครู พ.กศ. ป.กศ.สูง วุฒิต่ำอย่างเราก็หมดโอกาส ก็ต้องทำใจครับ ชักแน่ใจแล้วว่าคงต้องดำเนินชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่วไป ต้องปรับตัว ศึกษาเรียนรู้ เรื่องการทำมาหากินแบบชาวบ้าน หก ปี ที่เราไปอยู่โรงเรียน ไม่ได้เรียนรู้เพื่อการอยู่อย่างชาวบ้านเลย ต้องเริ่มใหม่หมด เรียนรู้อะไรดีล่ะ
……………วิชาการทำนา ทำสวนและ ทำไร่ ชาวชนบทเราอาชีพเกษตรมีสามทำนี่เป็นหลัก เลยพยายามสอนลูกหลานให้ พร้อมสำหรับงานที่จะต้องทำ เครื่องมือ มีด จอบ เสียม นี่ใช้ประจำทั้งที่บ้านและที่ไร่นาและสวน ต้องจัดหาและซ่อมบำรุง ให้พร้อมใช้งานเสมอ เครื่องมือเฉพาะกิจ การไถเราใช้แรงควาย ต้องมีอุปกรณ์ไถคราด สมัยก่อนต้องทำเองจากไม้ มีเหล็ก ก็เฉพาะหัวผาน หางยามไถ ง่อนไถ ใบไถ แอก คราด ทำด้วยไม้ เรียนอยู่สองปีถึงพอทำได้แต่ยังไม่สวย นอกจากนี้เชือกก็ฟั่นเอง ทั้งเชือกสำหรับผูกควาย คร่าวสำหรับลากไถและคราด ที่สำคัญมากคือหนังต่องแอก สำหรับผูกแอกแล้วร้อยกับปลายง่อนไถ แรก ๆ ไม่รู้ทำไมใช้เถาวัลย์ หรือไม่ก็ปอดิบ ๆ เวลาไถติดรากไม้ หนังต่องแอกขาดผึง เอาอันใหม่มาใส่แทน วันหนึ่งเอาเชือกคร่าวมาทำ ไถติดรากไม้หนังต่องแอกไม่ขาด แต่ง่อนไถขาดแทน พ่อเทศนากัณฑ์ใหญ่ว่า แกเสียดายหนังต่องแอกมากกว่าง่อนไถ อุปกรณ์ชุดไถนี่พวกไม้เตรียมไว้หน้านาละ 3 ชุด เชือก 5 ชุดพอดี ชำรุด ขาด จะได้ไม่เสียเวลา นี่เฉพาะอุปกรณ์สำคัญ พวกปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ก็ว่ากันไปเป็นส่วนประกอบวิชาการทำนาทำไร่ด้วยเช่นกัน
…………..วิชาเลี้ยงหมูเป็ดไก่ เป็นนักเรียนโรงเรียนกินนอนประจำที่เกษตรกรรมชัยภูมิ 3 ปี ได้เรียนค่อนข้างเข้มข้น ชอบเลี้ยงเป็ดไก่มากกว่า เคยทดลองเลี้ยงไก่พันธุ์พื้นบ้านลงทุนไปนอนอยู่ทุ่งนา ไก่ก็เติบโตดี แต่ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะนิสัยไม่ดี เลี้ยงมันก็รักมันเหมือนลูก ใครมาซื้อไปต้มกินก็ไม่อยากขาย ขนาดทำบุญบ้านก็ไม่จับให้เขา พี่ชายต้องมาจัดการเอาเอง ก็เลยสรุปว่า เลี้ยงเป็ดไก่ไม่ได้แน่ ยิ่งไก่ไข่ละก็เลิกเลย มันออกไข่มาจับไปต้มไปทอดกิน โหดเกินไป ถามว่าแล้วกินไหมล่ะ นั่นสินะทำไมตอนกินไม่เห็นคิดมาก เลี้ยงหมูค่าใช้จ่ายแพง ถึงเรียนรู้มาแต่ก็ไม่ได้ลองทำ
………….กิจกรรมที่ลูกชายต้องฝึกในผืนนา มีหลายอย่าง การแผ้วถางป่า กรณีที่รกร้างไม่เคยใช้ทำนามาก่อน การจัดทำคันนา ขุดดินทำคันนาเอง ขุดตอไม้รากไม้ออก ฝนตกมาก็ไถได้ ที่ดินบางแห่งดินหล่มเป็นโคลน ควายเดินไม่ไหวก็มี ก็ใช้จอบฟันดินแทนการไถ ผ่านไปปีสองปีก็ไถได้ นาทางอีสานเราจะไถดะเพื่อพลิกหน้าดินกลบหญ้า วัชพืชไปก่อน ปล่อย น้ำเข้าไปขังให้หญ้าเน่า เมื่อจะใช้งานค่อยไถแปรพลิกกลับ ดินจะร่วนง่ายต่อการคราดและปรับหน้าดิน ช่วงนี้จะทำเสริมคันนาให้เรียบร้อย แล้วค่อยคราด จัดการหญ้า ขยะ ให้เรียบร้อย ดินก็พร้อมใช้งาน แรก ๆ ก็จะเป็นการเพาะกล้า เมื่อกล้าโตพอใช้ปักดำถึงจะไถแปรปรับดินเพื่อปักดำกัน ปักดำเสร็จก็คอยดูแลน้ำ ระวังปูนา จนต้นข้าวตั้งตัวได้ค่อยวางใจ ระหว่างนั้นก็หมั่นดูวัชพืช ดูแลน้ำ ใส่ปุ๋ย กว่าข้าวจะออกดอกติดรวงและเก็บเกี่ยวได้ ถ้าเป็นข้าวเบาก็ประมาณสามเดือน ข้าวหนักก็สี่เดือน เดิมทำนาปีละครั้ง สมัยนี้เครื่องมือทำนาทันสมัย ทำนาได้หลายรอบ
..........วิชาทำสวนทำไร่ ช่วงปี พ.ศ. 2495-2498 ที่ดินหัวไร่ปลายนายังอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกฝ้าย พริก แตงไทย ได้งอกงามดี แม้แต่ป่าน ครามย้อมผ้า ก็ปลูกบนจอมปลวกกลางนานั่นเอง แต่เดี๋ยวนี้หมดหวัง ปลูกก็ไม่ได้ผล ขนาดที่ดินแถวเมืองเลยที่ว่าดินดีมาก ก็เริ่มมีอาการดินจืดแล้ว ปี2513 ไปอยู่เลยเห็นชาวบ้านปลูกลูกเดือยเต็มไปหมด เดียวนี้ปลูกไม่ได้ผล ฝ้ายหมดสภาพ ปลูกไม่ขึ้น การทำไร่ยุ่งยากมากสำหรับชาวบ้าน ต้นทุนสูงจนเลิกทำไปก็มาก ทำสวนก็เช่นกันสมัยก่อนปลูกผักกินกันเองในครอบครัวไม่ค่อยได้ขายผักหรอก เพราะทุกบ้านมีสวนครัวกัน เด็ก ๆจะถูกสอนให้รู้จักแผ้วถางป่า ขุดดินทำ แปลงปลูกผัก ผู้ใหญ่ก็เพาะพันธุ์ให้ใช้ปลูกกัน เช้าเย็นก็ช่วยรดน้ำพรวนดิน มดแมลงก็ไม่มากเหมือนสมัยนี้ ยาฆ่าแมลงหลัก ๆก็ยาฉุน ๆ แช่น้ำไปรดผัก อย่างดีก็ไหลแดงทุบ ๆ แช่เอาน้ำไปรดแรงกว่ายาฉุน ผักที่ได้สารพิษแทบไม่มีเลย เอามาทำ อาหารก็สบายใจ ไม่ต้องกลัวสารพิษตกค้าง
.............วิชาช่างฝีมือ อันนี้ไม่ค่อยเก่งนะ ก็พยายามเรียนพยายามฝึก แต่คงเพราะใจร้อน ผลงานเลยไม่ค่อยดี ก็แค่ทำได้ ช่างจักสาน ชาวบ้านเขาถือลูกชายบ้านไหนฝีมือจักสานเก่ง เขาอยากได้เป็นเขยกัน กระด้ง กระด้งฝัดข้าว กระจ่อ ตะกร้า กระบุงครุตักน้ำ หวด มวย กระติ๊บ สานเป็นหมดแหละ ใช้งานได้แต่ไม่สวย ช่างไม้ล่ะ ก็เป็นหลายอย่างนะ ทำไถทำคราดสำหรับใช้
ไถนาสวนได้สบายมาก ถากไม้ทำเสาบ้านแบบไหนสั่งได้ สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม ฝีมือเยี่ยมนาไม่ได้โม้ แปรรูปไม้ทำพื้นบ้าน ทำเครื่องเรือน ฝึกมาแล้ว มีคนจ้างก็รับนะ ตอนนี้ไม่ไหวหยุดแล้ว ช่างทอง ช่างสังกะสี เคยเรียนนะ พี่ชายเป็นช่างทำทอง รูปพรรณ ช่างบัดกรีทำครุถัง รางน้ำ เห็นเราว่าง ๆแกชวนไปฝึกเรียนเอาวิชา สอนให้ฟรี ๆ เช่นเคยแหละคนใจร้อน ไปทำงานละเอียดอย่างนั้นผลเดาไม่ยาก ไปไม่รอดหรอก ช่างพวกถักทอเป็นซักอย่างไหม ก็เป็นนะสานแห สานสวิง สานอวน แต่อีกนั่นแหละ แค่สานเป็น ทำไม่จบหรอก เคยสานแหตาถี่ ๆสานได้ยาวห้าศอกใจจะขาดใช้เวลาเกือบปี จากนั้นไม่เอาอีกแล้ว ทำโต๊ะเก้าอี้ล่ะ ซ่อมพอไหว ทำใหม่ยากเหมือนกัน ช่วงเป็นพระ หลวงพ่อให้เงินไปซื้อไม้มาทำโต๊ะเก้าอี้ให้นักเรียนทำได้ 40 ชุด เข็ดไม่เอาอีก
..............เรียนนักธรรม-บาลี แบบนี้ถนัดไม่ต้องกัดฟันสู้เหมือนงานช่างหรอก สบาย ๆ หลักสูตรการศึกษาปริยัติธรรม สำหรับพระเณรเรียนมีสายนักธรรม 3 ชั้น ตรี โทและเอก ก็จบ ไปเทศน์สอนชาวบ้านได้ อีกสายก็บาลี มี 9 ประโยคถือสูงสุดแล้ว บวชพรรษาแรก ไม่มีครูสอนนักธรรมให้หรอก บังเอิญวัดนี้เมื่อก่อนเป็นสำนักเรียน หนังสือเต็มตู้เลย งัดออกมาอ่านกันเป็นที่สนุกสนาน เขามีหนังสือแจ้งให้ส่งรายชื่อนักเรียน ก็ส่งไป ถึงเวลาสอบก็ไปสอบสี่รูป สอบได้นักธรรมตรี 3
รูป อ่านหนังสือไปสอบเองนะนั่น ถ้ามีครูสอนอาจสอบได้ทั้งสี่รูปแน่ เพราะสอบได้นั่นแหละเลยยังไม่สึก อยู่ต่อมาอีก หลายปี สอบได้ทุกปีเลยจบนักธรรมเอก เมื่อพรรษาที่ 3 พรรษานี้เรียนเทศน์หกกระษัตริย์และเทศน์ปุจฉาวิสัชนาอยู่ที่สำนักเรียนวัดหรคุณ บ้านหนองหาญจาง อำเภอน้ำพอง จังหวัดของแก่น พระอาจารย์มหาเสาร์ อภินันโท เจ้าอาวาสและท่าน
เป็นอาจารย์ใหญ่ด้วย เริ่มออกฝึกเทศน์ตั้งแต่พรรษาที่ 3 พรรษาที่ 4 ก็เทศน์ตามลำพังได้ สายบาลีเริ่มเรียนไวยากรณ์แต่ พรรษาที่ 2 พรรษาที่ 3 ก็สอบประโยคสองได้และสอบประโยคสามประโยคสี่ได้ตามลำดับ มาสอบตกปีสอบประโยคห้า ก็ปีจะสึกนั่นแหละ เพราะสอบวิชาชุดครู พ.ม.ได้เลยสึกไปสอบบรรจุเป็นครู ปี 2516
.............เรียนวิชาครู ปี 2513 สอบได้นักธรรมเอก อาจารย์แต่งตั้งให้สอนนักธรรมตรี ก็เป็นครูสอนนักธรรมแล้ว ปี2514 ย้ายตามอาจารย์ไปอยู่วัดศรีบุญเรือง บ้านติ้ว จังหวัดเลย ปีนี้สอบได้เปรียญ 3 อาจารย์ให้ช่วยสอนบาลี หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดประกาศแต่งตั้งเป็นครูสอนปริยัติธรรม พระอาจารย์มหาเสาร์ อภินันโท ย้ายมารับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ และเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วย เจ้าอาวาสคือเจ้าคณะจังหวัด เพิ่งรู้นะว่าตัวเองมีสิทธิ์สอบเทียบวิชาชุด พ.กศ. พระอาจารย์ท่านเคยสอบ ท่านแนะนำให้ ปีแรกลองสอบสามวิชาชุด สอบได้หมดแหละ ปี2514สอบอีก 2 วิชาชุดครบพอดี ขอวุฒิ พ.กศ.ได้ เทียบได้
เท่า ป.กศ.ต้น ปี 2515 ลองสอบวิชาชุด พ.ม. ต้องสอบได้ 4 ชุด ถึงจะขอวุฒิ พ.ม.ได้ ลองสอบเล่น ๆ 4 ชุดเลย ผลออกมาได้ 4 ชุด ขอวุฒิ พ.ม.ได้ เมษายน 2516 ก็เลยจบวิชาการศึกษา ลาสิกขาบทไปสอบบรรจุนั่นแล
................ระดับปริญญาตรี เป็นครูแล้วสอบศึกษาต่อได้ที่ มศว.มหาสารคาม ปี2518-2519 ได้วุฒิ กศ.บ. เกียรตินิยม วิชาเอกภาษาไทย ก็ยังไม่หยุดศึกษาหาความรู้นะ เดือนมิถุนายน ปี 2522 ได้ไปศึกษาดูงานการศึกษา ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับอุดมศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น ที่โตเกียวและไซตามะ กลับมาก็ได้ไปเรียนต่อระดับมหาบัณฑิต ที่ ม.เกษตรศาสตร์บางเขน วิชาเอกการสอนภาษาไทย 2523-2524 หยุดไว้ก่อน ระดับดอกเตอร์คงไม่ไหว อายุมากแล้ว
.................การเรียนรู้วิชาเฉพาะสำคัญ ต่อการทำงาน ผมทำงานอาชีพครู และบริหารการศึกษา จำเป็นต้องเรียนรู้เฉพาะเรื่อง เพื่อนำมาใช้ทำงาน เช่น งานห้องสมุด งานแนะแนว งานสถิติพื้นฐานและการวิจัย งานวัดผลประเมินผล งานวิจัยชั้นเรียน งานซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์ งานเขียนเวบไซท์ เป็นต้น
................ความรู้เรื่องงานห้องสมุด ได้มาจากการอ่านหนังสือสอบวิชาชุดบรรณารักษ์ศาสตร์ พ.กศ. และเรียนวิชาโทบรรณารักษศาสตร์ ระดับปริญญาตรี ทำให้มีความรู้เรื่องห้องสมุด ค่อนข้างดี ประกอบกับได้ทำงานบรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนอยู่ 1 ปี สามารถเป็นวิทยากรให้ครูบรรณารักษ์ จนเขาเข้าใจว่าเราจบปริญญาตรีวิชาเอกบรรณารักษ์ศาสตร์ ก็ขำ ๆ
เพราะเรียนปฏิบัติกับนักการห้องสมุดมหาวิทยาลัยมา ซ่อมหนังสือเปลี่ยนปก ฝีมือเนี้ยบมาก เด็กจบบรรณารักษ์ไม่เชื่อว่าเราทำเอง จนต้องมาเฝ้าดูตอนเราซ่อมหนังสือส่วนตัว เย็บวารสารรวมเล่ม ถึงยอมเชื่อว่าทำได้
................ความรู้เรื่องงานแนะแนว ได้จากการลงทะเบียนเรียนคอร์สแนะแนวระดับปริญญาตรี ปี 2519 พอประกาศใช้หลักสูตรมัธยมศึกษา 2521 กำหนดให้โรงเรียนจัดกิจกรรมแนะแนว ทุกเขตการศึกษาให้ส่งครูไปฝึกอบรมเทคนิคการจัดกิจกรรมแนะแนวแบบเข้ม 15 วัน โรงเรียนถามหาคนรู้จักคำว่า แนะแนวการศึกษา เลยโดนส่งไปอบรม กลับมาก็รับผิดชอบ จัดบริการแนะแนวการศึกษาในโรงเรียน ต่อมากลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาของจังหวัดต้องการทีมงานวิทยากรงานแนะแนว อบรมให้ครู อาจารย์โรงเรียนมัธยมศึกษา 5 คน ได้รับเลือก ไปอบรมที่กรุงเทพ 15 วัน กลับมาเป็นวิทยากรให้กลุ่มโรงเรียน
................งานสถิติพื้นฐานและการวิจัย เรียนรู้จากหลักสูตรวัดผลประเมินผลระดับปริญญาตรี และต้องนำมาใช้ในโรงเรียน เพื่อการพัฒนาการทดสอบและการประเมินผลการเรียน ช่วงรับผิดชอบงานวิชาการโรงเรียน ได้ทดลองวิเคราะห์แบบ ทดสอบ เพื่อสร้างแบบทดสอบที่ใช้สำหรับประเมินผลการเรียน แบบทดสอบประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้ การประเมินเพื่อสะสมข้อสอบไว้ใช้ จำเป็นต้องเรียนรู้สถิติพื้นฐานและการวิจัยและนำมาใช้ในสถานการณ์จริง เลยถูกมองว่าจบเอกคณิตศาสตร์ เวลาอบรมวัดผลประเมินผลให้ครูเลยถูกดึงไปช่วยเป็นวิทยากรบ่อย ๆ หัวข้อการวิเคราะห์ข้อสอบ พูดบ่อยมากจนไม่ต้องอ่านตำราสถิติ
...............งานวิจัยทางการศึกษา ได้เรียนรู้จากการเรียนวัดผลประเมินผลในระดับปริญญาตรี และสถิติวิจัยระดับปริญญาโท รวมทั้งการทำรายงานแบบ ภาคนิพนธ์ระดับปริญญาตรี และทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท กลับมาทำงานโรงเรียนก็นำมาประยุกต์ใช้ตรวจสอบผลการเรียนการสอนของตนเองและของครูอาจารย์ รู้ความจำเป็นของการวิจัยที่ครูต้องนำมาใช้ เช่นสอนไปวิจัยไปด้วย ทำวิจัยในชั้นเรียน วิเคราะห์แบบทดสอบประเมินผล วิจัยประเมินผลงานวิชาการ ได้รับเชิญเป็นอาจารย์ที่ปรึกษานิสิตทำวิทยานิพนธ์ของ ม.ราชภัฎ สาขาบริหารการศึกษา และระดับบัณฑิตศึกษา ม.ขอนแก่น
................งานซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์ ได้จากการไปศึกษาดูงานโรงเรียนที่เขามีครูสอนคอมพิวเตอร์ สนใจมากกลับมาก็ลองซื้อ เครื่อง 16 บิต จอขาวดำมาใช้ส่วนตัว และผลักดันให้โรงเรียนซื้อมาใช้งานวัดผลประเมินผลการเรียน จัดอบรมให้ครูอาจารย์สามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยงานจัดกรเรียนการสอน จัดซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้ที่บ้านให้ลูกคนละเครื่อง ต่อระบบแลน เชื่อมเครือข่ายอินเตอร์เนตให้ลูกใช้จนเก่งการใช้คอมพิวเตอร์ทุกคน โดยเฉพาะคนเล็กชอบมากไปเรียนปริญญาตรี เลือกเอกเทคโนสารสนเทศ จบมาเป็นโปรแกรมเมอร์จนทุกวันนี้ ต้องดูแลบำรุงรักษาเครื่องที่บ้าน ที่ทำงาน เลยมีทักษะการซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์ แบบเดสท์ทอประดับดี เพราะเครื่องที่บ้านพังบ่อย
..................ความรู้เรื่องการเขียนเวบไซท์ ได้จากการท่องเวบไซท์ในโลกออนไลน์ เห็นเวบคนอื่น อยากมีของตนเองบ้าง เคยเข้ารับการอบรมที่กรมสามัญศึกษาจัดให้ จังหวัดเลือกเราเป็น 1 ใน 5 คนเป็นตัวแทนจังหวัดไปอบรม กลับมาจัดอบรมให้ครู ในจังหวัด เลยพัฒนาฝีมือด้วยการสร้างเวบไซท์ส่วนตัว ฝากไว้ที่โฮสแบบฟรีบ้าง แบบเสียค่าเช่ารายปีบ้าง (ปัจจุบันยังมีเวบบลอกเพื่อเก็บงานเขียน งานร้อยกรอง 3 เวบ ใช้บริการฟรีของกูเกิล) เคยเป็นวิทยากรจัดอบรมวิธีเขียนเวบเพจ เวบไซท์ให้โรงเรียน ให้กลุ่มโรงเรียนอยู่จนเกษียณ เวบบลอกที่ยังเปิดอยู่ปัจจุบันเช่น
................. วิถีชีวิตอีสาน http://khuntong52.blogspot.com/
…………...เยี่ยมยามอีสาน https://mykht.blogspot.com/
……………และงานร้อยกรอง https://www.blogger.com/blogger.g?
..............ความรู้เรื่องการแต่งร้อยกรอง เรียนรู้จากการเรียนวิชาเอกภาษาไทย ทั้งระดับปริญญาตรีและโท มีปณิธานของตัวเองว่าเมื่อเป็นครูภาษาไทย เวลาสอนร้อยกรอง จะยกตัวอย่างแบบสด ๆ ให้นักเรียนดูได้ เลยพยายามฝึก ขนาดนั่งรถโดยสารยังลองฝึกแต่งดู ช่วงที่ไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น บันทึกดูงานเป็นคำกลอน กลับมาเอามาเชื่อมต่อกับยาวถึง 70 หน้า เวลาไปทัศนศึกษากับครูนักเรียน ก็จะบันทึกเป็นร้อยกรองเสมอ เลยมีผลงานมากมายเช่น นิราศโตเกียว นิราศไทรโยค นิราศเมืองเหนือ นิราศ สมุย นิราศดอยอ่างขาง นิราศภูกระดึง ปัจจุบันก็เขียนร้อยกรองเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นบทกลอนสอนธรรมะ บทกาพย์กลอนฉันท์ทักทายประจำวัน บทอวยพรวันเกิด ไม่ใช่บทสองบทนะ แต่มีมากเกิน 100 บท ที่เขียนโดยใช้นิทานพื้นบ้าน เช่น เซียงเหมี่ยงเขียนด้วยโคลงกลบทยาว 76 ตอน นางผมหอมกลอนกลบทจนจบเรื่อง ก็เลยมีความรู้แต่งร้อยกรองได้ตามใจนึก ไม่ต้องมีอารมณ์กวีให้ยาก อยากแต่งอะไรเมื่อไร เขียนได้เลย ปากเปล่าต้องกาพย์ยานีไม่มีสะดุด
………..เขียนเล่าเรื่องการศึกษาเล่าเรียนให้ลูกหลานอ่าน ไม่ได้โอ้อวดนะ เรื่องจริงทั้งนั้น อยากจะบอกว่า เป็นคนสนใจศึกษาเล่าเรียน จริงจังมากกับการเรียน ชอบบทกลอนสุนทรภูที่ว่า เรียนอะไรก็เรียนให้รู้เป็นครูเขา และก็ทำได้จริง ๆด้วยข้อเขียนชุดนี้ เขียนเพิ่มเติมอัตชีวประวัติที่มี 2 ตอน แต่เรื่องยังไม่ครบ ขาดเรื่องการศึกษาเล่าเรียนและประสบการณ์ต่าง ๆ เลยเขียนเพิ่มเติม เมื่อเดือนธันวาคม 2560 นี่เอง ขอจบละครับ
ขุนทอง
ศรีประจง
28 ธันวาคม 2560
ภาคผนวกอัตชีวประวัติ
............ตั้งใจจะจบแล้วนา แต่มีลูกหลานเขาถาม อยากรู้ที่ตาว่าเขียนร้อยกรอง คล่องพอ ๆ กับร้อยแก้ว แสดงว่าเขียนไว้ไม่น้อยล่ะซิ บอกได้ไหมตาเขียนอะไรบ้าง แหมใครจะไปตอบได้ เพราะตาเขียนแบบเขียนเล่น นึกอยากเขียนอะไรก็เขียนไปเรื่อง ทักทายประจำวัน บ้าง อวยพรบ้าง บันทึกเรื่องราวที่สนใจ เรื่องน่ารู้ ประเพณีวัฒนธรรม เล่านิทาน การท่องเที่ยว มันเยอะแยะไปหมด อยากรู้ลองไปอ่านที่เวบตาสิมี 3 เวบนะ เช่น
บทร้อยกรองแทรกอยู่ เวบวิถีชีวิตอีสาน
เข้าพรรษา อาสาฬหบูชา http://khuntong52.blogspot.com/2017/07/blog-post.html
วันสุนทรภู่ 2560 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/26.html
โคลงสอนหลาน http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/blog-post_18.html
ระลึกวันวิสาขบูชา 2560 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/blog-post_51.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ดชุด 1 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/blog-post.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ดชุด 2 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/2.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ดชุด 3 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/3.html
ตำนานบุญบั้งไฟ http://khuntong52.blogspot.com/2017/05/blog-post_13.html
กาพย์เบ็ดเตล็ด http://khuntong52.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
รวมบทอวยพร http://khuntong52.blogspot.com/2017/03/blog-post_17.html
พระราชประวัติ ร. 9 คำกลอน http://khuntong52.blogspot.com/2016/11/blog-post_14.html
28 ธันวาคม 2560
ภาคผนวกอัตชีวประวัติ
............ตั้งใจจะจบแล้วนา แต่มีลูกหลานเขาถาม อยากรู้ที่ตาว่าเขียนร้อยกรอง คล่องพอ ๆ กับร้อยแก้ว แสดงว่าเขียนไว้ไม่น้อยล่ะซิ บอกได้ไหมตาเขียนอะไรบ้าง แหมใครจะไปตอบได้ เพราะตาเขียนแบบเขียนเล่น นึกอยากเขียนอะไรก็เขียนไปเรื่อง ทักทายประจำวัน บ้าง อวยพรบ้าง บันทึกเรื่องราวที่สนใจ เรื่องน่ารู้ ประเพณีวัฒนธรรม เล่านิทาน การท่องเที่ยว มันเยอะแยะไปหมด อยากรู้ลองไปอ่านที่เวบตาสิมี 3 เวบนะ เช่น
บทร้อยกรองแทรกอยู่ เวบวิถีชีวิตอีสาน
เข้าพรรษา อาสาฬหบูชา http://khuntong52.blogspot.com/2017/07/blog-post.html
วันสุนทรภู่ 2560 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/26.html
โคลงสอนหลาน http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/blog-post_18.html
ระลึกวันวิสาขบูชา 2560 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/blog-post_51.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ดชุด 1 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/blog-post.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ดชุด 2 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/2.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ดชุด 3 http://khuntong52.blogspot.com/2017/06/3.html
ตำนานบุญบั้งไฟ http://khuntong52.blogspot.com/2017/05/blog-post_13.html
กาพย์เบ็ดเตล็ด http://khuntong52.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
รวมบทอวยพร http://khuntong52.blogspot.com/2017/03/blog-post_17.html
พระราชประวัติ ร. 9 คำกลอน http://khuntong52.blogspot.com/2016/11/blog-post_14.html
บทร้อยกรองแทรกที่ เวบขุนทองเขียนร้อยแก้ว
ทักทายรายสัปดาห์ 2-8 เมษายน 2561
https://mykht.blogspot.com/2018/04/2-8-2561.html
ทักทายรายสัปดาห์ 25-31 มีค.61
https://mykht.blogspot.com/2018/03/25-31-61.html
ทักกันวันเสาร์
https://mykht.blogspot.com/2018/02/blog-post_10.html
ทักกันวันพฤหัส 22 กพ.61
https://mykht.blogspot.com/2018/02/22-61_21.html
ทักกันวันพุธ 21 กพ.61
https://mykht.blogspot.com/2018/02/22-61.html
ทักกันวันอาทิตย์
https://mykht.blogspot.com/2018/02/blog-post_6.html
ปิดทองและฝังลูกนิมิต
https://mykht.blogspot.com/2018/02/blog-post_57.html
ธ เสด็จสู่สวรรคาลัย
https://mykht.blogspot.com/2017/10/132559-302559-32559-132560-262560_27.html
ระลึกวันวิสาขบูชา
https://mykht.blogspot.com/2017/05/blog-post.html
ทักทายรายสัปดาห์ 2-8 เมษายน 2561
https://mykht.blogspot.com/2018/04/2-8-2561.html
ทักทายรายสัปดาห์ 25-31 มีค.61
https://mykht.blogspot.com/2018/03/25-31-61.html
ทักกันวันเสาร์
https://mykht.blogspot.com/2018/02/blog-post_10.html
ทักกันวันพฤหัส 22 กพ.61
https://mykht.blogspot.com/2018/02/22-61_21.html
ทักกันวันพุธ 21 กพ.61
https://mykht.blogspot.com/2018/02/22-61.html
ทักกันวันอาทิตย์
https://mykht.blogspot.com/2018/02/blog-post_6.html
ปิดทองและฝังลูกนิมิต
https://mykht.blogspot.com/2018/02/blog-post_57.html
ธ เสด็จสู่สวรรคาลัย
https://mykht.blogspot.com/2017/10/132559-302559-32559-132560-262560_27.html
ระลึกวันวิสาขบูชา
https://mykht.blogspot.com/2017/05/blog-post.html
นิทานอีสป 100 เรื่อง กำลังตรวจแก้ไข
บทร้อยกรองจาก เวบขุนทองเขียนร้อยกรอง
ทักทายกันรอบสัปดาห์ http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/blog-post.html
บัตรอวยพรรุ่นใหญ่ 1 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/01_41.html
บัตรอวยพรรุ่นใหญ่ 2 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/02_42.html
บัตรอวยพรรุ่นใหญ่ 3 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/03_89.html
บัตรอวยพรรุ่นกลาง 1 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/01_3.html
บัตรอวยพรรุ่นกลาง 2 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/02_3.html
บัตรอวยพรรุ่นกลาง 3 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/03_3.html
บัตรอวยพรรุ่นกลาง 4 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/04_3.html
บัตรอวยพรรุ่นกลาง 5 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/01_54.html
บัตรอวยพรรุ่นกลาง 6 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/06.html
บัตรอวยพรขนาดเล็ก 1 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/01.html
บัตรอวยพรขนาดเล็ก 2 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/02.html
บัตรอวยพรขนาดเล็ก 3 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/03.html
บัตรอวยพรขนาดเล็ก 4 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/04.html
บัตรอวยพร ขนาดเล็ก 5 http://newjarinya.blogspot.com/2018/03/05.html
ปีเก่าปีใหม่ http://newjarinya.blogspot.com/2017/12/blog-post_29.html
ส.ค.ส. 2561 http://newjarinya.blogspot.com/2017/12/2561.html
ทักทายด้วยคำฉันท์ http://newjarinya.blogspot.com/2017/12/blog-post_28.html
รวมคำอวยพร http://newjarinya.blogspot.com/2017/12/blog-post.html
บันทึกพระราชประวัติ รัชกาลที่ 9 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/9.html
เซียงเหมี่ยง3 ตอน 41-60 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/3-41-60.html
เซียงเหมี่ยง 61-76 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/61-76.html
นางผมหอมกลกลอน http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/blog-post_7.html
เซียงเหมี่ยง 2 ตอน 21-40 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/2-21-40.html
เซียงเหมี่ยงตอน1-20 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/1-20.html
นิราศดอยอ่างขาง1 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/1_6.html
นิราศไทรโยค1 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/1.html
นิราศไทรโยค 2 http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/2.html
บททักทายประจำวัน http://newjarinya.blogspot.com/2017/10/blog-post_6.html
เล่าเรื่องหัดแต่งกลบทhttp://newjarinya.blogspot.com/2017/10/blog-post.html
เซียงเหมี่ยงคำโคลงชุดที่ 4 http://newjarinya.blogspot.com/2017/08/blog-post.html
คำโคลงสอนหลาน http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_26.html
กาพย์เบ็ดเตล็ด http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_78.html
รวมบทอวยพร http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_25.html
สัมผัสในกลอนแปด http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_24.html
บันทึกการอ่านพระราชประวัติ ร 9 http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/9.html
ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_74.html
ระลึกถึงพระบรมราโชวาท 1 http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/1.html
ระลึกถึงพระบรมราโชวาท 2 http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/2.html
สมตวารอาลัย http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_76.html
วันวาเลนไทน์ http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post_23.html
บทอวยพรปีใหม่ http://newjarinya.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
ร้อยกรองเบ็ดเตล็ด http://newjarinya.blogspot.com/2016/08/blog-post_9.html
ภูกระดึงรำลึก 2 http://newjarinya.blogspot.com/2016/08/blog-post_30.html
ภูกระดึงรำลึก 1 http://newjarinya.blogspot.com/2016/08/1_2.html
ท้าวขูลูนางอั้ว 2 http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/2_51.html
ท้าวขูลูนางอั้ว 1 http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/1_30.html
ตำนานบุญบั้งไฟ http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_40.html
แนะนำโคลงกระทู้ http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_9.html
แนะนำโคลงดั้น http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_62.html
วันคล้ายวันเกิด http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_72.html
ไปวัดจำศีล http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_2.html
สนทนาธรรม http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_66.html
อ่านพุทธภาษิต http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/blog-post_29.html
วันสุนทรภู่ 59 http://newjarinya.blogspot.com/2016/07/59.html
บทกลอนเบ็ดเตล็ด http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_18.html
ส.ค.ส. ๒๕๕๙ http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post.html
แหล่ประจำสัปดาห์ http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_9.html
อวยพรวันเกิดชุดที่ 2 http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/2.html
นางผมหอมกลกลอน http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_63.html
กาพย์กลอนเบ็ดเตล็ด ชุดที่ 1 http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/1.html
วันสุนทรภู่ 2558 http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/2558.html
พุทธภาษิตสำนวนอีสาน http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_5.html
รวมสาระพัดบทอวยพร http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_3.html
เทคนิคแต่งกลอน http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_2.html
รวมกาพย์กลอนร่วมกิจกรรม http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_54.html
โคลงดั้นบาทกุญชรชมไม้ http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_14.html
ฝึกฝนโคลงต่าง ๆ http://newjarinya.blogspot.com/2015/12/blog-post_1.html
ไตรยางค์ กลอนหก http://newjarinya.blogspot.com/2015/11/blog-post_58.html
ท้าวขูลูนางอั้วคำโคลง http://newjarinya.blogspot.com/2015/11/blog-post_71.html
ผญา http://newjarinya.blogspot.com/2015/11/blog-post.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น