วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เฉลิมฉลองวันทุกข์



..........ขอใช้คำนี้เป็นหัวข้อสำหรับการขอบพระคุณ เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่มีน้ำใจ  ให้พร ให้กำลังใจ มาลัย ดอกไม้ บางท่านถึงกับชวนไปทานข้าวเมนูพิเศษที่  กระผมชอบ ก็ดีครับ ชอบและพึงพอใจ แล้วทำไมถึงเรียนว่าเฉลิมฉลองวันแห่ง  ความทุกข์ล่ะ กระผมคิดอย่างนี้มานานแล้วครับ
...........คนเฒ่าคนแก่บอกเองว่าวันเกิดของเรา คือวันเจ็บปวดของแม่ วันวิตก  กังวลของพ่อ แต่ถึงจะเจ็บปวดกังวล แต่พอเกิดแล้วกลับยินดี ชื่นชม ลืมความ  เจ็บปวดเสียได้ ส่วนเราคนที่เป็นเจ้าของการเกิด ยังไม่รู้สึกยินดีอะไรหรอก ผ่าน  มาอีกหลายปีถึงรู้ว่า มีคนช่วยจัดฉลองวันเกิดให้ แต่กระผมไม่รู้จัก คนในครอบ  ครัว หมู่บ้าน ไม่เคยได้ยินฉลองวันเกิด เราคนบ้านนอกครับ ถนนหนทาง ก็ดิน  ทราย ไฟฟ้าประปา ไม่รู้จัก (2487) บ้านคนมีฐานะมีรถขี่ ชั้นดี สมัยนั้นก็เกวียนราชาไม  แกะสลักลวดลายสวยงาม ราคาแพง ครับสมัยนั้นก็คือบ้านนอกหรือชนบท ดังนั้น  จึงไม่รู้จักการจัดงานฉลองวันเกิด จนเมื่อไปเรียนต่อระดับมัธยม 2498 ถึงรู้ว่า  วันเกิดเขามีการเฉลิมฉลองกัน ครูสอนภาษาอังกฤษแกจัดงานวันเกิดที่บ้านครู  แต่มีขนมมาฝากนักเรียน และเล่าเรื่องจัดงานให้ฟัง นับแต่นั้นมาก็ถือว่ารู้จักว่ามีการฉลองวันเกิด แต่วันเกิดของตัวเองไม่เคยจัดหรอก
..........ไม่เคยเห็นกิจกรรมวันเกิดเพื่อน ๆหรือ.... ก็มีนะเพื่อนบางคน ถึงรอบวันเกิด  ก็ชวนเพื่อนสนิทสามสี่คน ยืนร้องเพลงฝรั่งแล้วแจกขนมกัน สมัยนั้น (ปี 2499)  ขนมยอดฮิตคือ ขนมไข่ขี้เจี้ยม ก็ขนมลูกกวาดก้อนกลม ๆ ขนาดเท่าไข่จิ้งจก มี  หลากสีสวยงามน่ากิน เวลานุ่นบนต้นแก่ มีพ่อค้าเอามาแลกนุ่น ลูกหนึ่งแกให้ถึง   5 เม็ด ถ้าจะจัดบ้าง ก็ต้องหาไข่ขี้เจี้ยมเป็นถุงก็ประมาณ 1 บาท ถึงจะพอแจก  ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 1 บาท (ม1-3) บาทเดียวก็มากนะ เพราะก๋วยเตี๋ยวชาม  ละ 25 สตางค์ ถ้าเงินเหลือกลับบ้าน แม่ก็เพิ่มให้ครบบาทสำหรับวันต่อไป ก็ไม่ ได้ทักท้วงอะไร เต็มบาทก็ไปเรียนได้แล้ว ช่วงไปเรียน ม.ปลาย 2501-2503  ก็เห็นเพื่อนจัดฉลองวันเกิด มีชวนกันไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว มีเค้กมาเป่าเทียนใน  ห้องเรียน ชั่วโมงภาษาอังกฤษ ครูชอบมาก ช่วยแนะนำการร้องเพลง ตัดเค้ก  มีคนจัดอยู่สองสามคน ลูกคนมีสตางค์ เราก็ยินดีด้วยรอรับแจกขนม
.........ปี 2504 จบ ม.6 อายุ 16 ปี เขามีสอบบรรจุเข้ารับราชการ ครูประชาบาล  พนักงานเกษตรอำเภอ หลายร้อยตำแหน่ง ได้แต่เสียดาย อายุไม่ถึง 18 ปี ไม่ได้เรียนต่อ ตกงานเขาเรียกเตะฝุ่นอยู่บ้าน ปี 2506 ไม่มีแล้วเลื่อนไปรับวุฒิระดับ  สูงขึ้น ครูก็ต้องมีวุฒิครู ป.กศ. เตี้ย ถึงสมัครได้ ก็เตะฝุ่นต่อ ลืมฉลองวันเกิดไป  ได้เลย แถวบ้านไม่มีใครเขาจัดหรอก อยู่บ้านก็ทำไร่ทำนา 2505-2510 หลายปี  เชียวชาญนา มีความรู้ประสบการณ์ถึงระดับเชี่ยวชาญเลยแหละ วัดจากอะไรล่ะ... ทำ  เครื่องมือใช้สำหรับทำไร่ทำนาได้เองไม่ต้องซื้อคนอื่น ทำอะไรบ้าง คราด ไถ  เชื่อกเส้นเล็ก เชือกคร่าว เครื่องจักสานพวก ตะข้อง แงบ ไซ ลอบ ลงนาต้องมี  ทำกระท่อมนาได้เอง อย่างน้อยก็กระท่อมไม้ไผ่ เสา ฟาก หลังคามุงแฝก ใช้ได้  ไปเหล่ลูกสาวบ้านไหนก็ยินดีต้อนรับเชียวนา สงสัยมัวแต่วุ่นวายกันภาระงานมาก  ไปเลยลืมฉลองวันเกิดไปเลย
........ปี 2510-2516 อุปสมบท แรกก็บอกเราว่าให้บวชพรรษาเดียว สึกออกมา  จะจัดแต่งงานให้ สาว ก็คนรู้จักกัน นาติดกัน เป็นคนดีด้วยนะขยันมาก ๆ พ่อแม่  เราจองไว้ให้ แต่เราแค่รู้จักคุ้นเคยธรรมดา ยังไม่เคยคิดไกลปานนั้นหรอก พอ  ได้บวชก็ติดการศึกษาเล่าเรียนทางธรรม ครบสามเดือนก็ไม่สึก ไปต่อ ได้เรียน  นักธรรม บาลี เทศน์หกกระษัตริย์ เทศน์ปุจฉาวิสัชชนา จบนักธรรมเอก ได้เปรียญ  สี่ประโยค เทศน์หกกษัตรย์ได้ เทศน์สองธัมมาสน์ได้ เป็นครูสอนนักธรรม เป็น  ครูสอนบาลี เป็นครูสอนการศึกษาผู้ใหญ่ เป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ดีที่สึกเมื่อปี 2516 ไม่งั้นไปเป็นเจ้าคณะอำเภอแน่นอน เพราะมี  ตำแหน่งว่างลง ชาวบ้านมาขอพระเปรียญไปเป็นเจ้าอาวาส คั่วตำแหน่งเจ้าคณะ  อำเภอ เพราะพระในพื้นที่ไม่มีพระเปรียญ ชาวบ้านเขาอยากได้ เสียดายมาช้า  เพราะเราลาสิขาบทแล้ว ได้แต่หัวเรากัน โยมพวกนี้เคยมานิมนต์ไปเทศน์เลย  รู้จักเรา
........เอ...เล่าไปก็ยาวไปเรื่อย ๆ กลับเข้าสู่สาระสำคัญที่อยากจะบอก ก็วันเกิด  นั่นแหละ ตอนบวชนี่เองไปรู้เรื่องความทุกข์ แบบที่สวดบ่อย ๆไง ทุกขอริยสัจ   "อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อริยสัจจัง (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นทุกข์   อย่างแท้จริง) คือ ..ชาติปิ ทุกขา (ความเกิดก็เป็นทุกข์) ชราปี ทุกขา (ความแก่ก็เป็น   ทุกข์) มรณัมปิ ทุกขัง (ความตายก็เป็นทุกข์) โสกปริเทวทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ   ทุกขา (ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็   เป็นทุกข์) อัปปิเยหิ สัมปโยโค ทุกโข (ความประสบกับสิ่ง ที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลายก็   เป็นทุกข์) ปิเยหิ วิปปะโย.โค ทุกโข (ความพลัดพราก จากสิ่งที่รักทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์)   ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง (ปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์)   สังขิตเตน ปัญจุปา ทานักขันธา ทุกขา (โดยย่อแล้ว อุปาทาน หรือความยึดมั่นในขันห้า   (ตัวเรา) ล้วนเป็นทุกข์)"
..........การเรียนการสอนในห้องเรียนนักธรรมก็ย้ำเสมอว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิด  เป็นทุกข์ แล้ววันเกิดล่ะ ก็เล่าตอนต้นแล้วทุกข์ของแม่และความวิตกกังวล  ของพ่อ มาหาวันเกิดนั่นแหละ วันเกิดของเราจึงเป็นทุกข์แน่นอนไม่มีใครเถียง  เพราะเกิดนั่นและสาระพัดทุกข์จึงตามมา เราต้องดิ้นรนเพื่อหนีทุกข์กันตลอดเวลา  หนักกว่าใครก็คือทุกข์เพื่อความ"เป็นอยู่" หายใจไง หยุดเมื่อไร ก็ไม่เป็นอยู่แล้ว  แต่จะ "ตายไป" ดีที่หายใจมันไม่ใช่งานหนักที่เหน็ดเหนื่อย เลยทำได้สบาย ๆ  ส่วนทุกข์ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความเป็นอยู่ อย่างสะดวกสบายก็คิด ดิ้นรนศึกษาเล่าเรียน ทำมาหากิน ไม่งั้นก็ทุกข์มาเยือน ไม่มีอันจะกิน ไม่มีอันจะบริโภค อาบเหงื่อต่างน้ำกันนั่นแหละ ชาติ เป็นทุกข์ การดิ้นรนต่าง ๆ เป็นทุกข์ตามมาหลังจาก  ชาติ แล้ว สรุปนะว่า ชาติ เป็นทุกข์ ของแท้ ทุกข์อริยสัจทีเดียว
.........เราฉลองวันเกิด ก็หมายถึงเฉลิมฉลองให้ "ชาติ" คือ ทุกข์ ของเรานั่น  แหละ หรือจะเรียก การฉลองวันชาติของเรา ก็ได้นะแต่คนละวันกับ 24 มิถนายน  นั่นของชาติไทยเขา ก็เลยมาถึงสิ่งที่สงสัยก็คือ เมื่อ ชาติปิ ทุกขา ใครชาติปิ ก็  ทุกข์เหมือนกันหมด ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านวิ่งหนีทุกข์มาตลอด ที่บอก  ว่าหา"โมกขธรรม"นั่นแหละ ธรรมที่จะช่วยให้ โมกข=หลุดพ้น (จากทุกข์) ท่าน  หาแบบเอาเป็นเอาตาย 6 ปี ที่เราเห็นภาพเขียนร่างกายซูบผอมมากนั่นแหละ  ท่านหาสิ่งที่จะช่วยให้พั้นทุกข์ จนท่านบรรลุอริยสัจ พ้นทุกข์เสียได้ มาถามพวกเรากันดูว่า ทำไมเราจึงยังเฉลิมฉลองวันความทุกข์กันอยู่ ผิดไหมที่เราดีใจวัน  แห่งทุกข์(ชาติ) ไม่ผิดหรอก แต่ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ปลายทางคือ รู้จัก  ชาติปิ ทุกขา แล้วก็พัฒนาตนเองมิให้ทุกข์เบียดเบียน เพราะรู้แล้วว่าหลัง ชาติปิ  ทุกขา แล้ว ทุกข์อื่น ๆ จะตามมามากมาย เตรียมรับมือให้ดีแล้วกันครับ อยากจะเล่าสู่กันฟังแค่นี้เอง แต่มือมันคีย์ไม่หยุด เรื่องเลยยาว สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น