วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ปาราชิก มี 4 ข้อ


........ชาวบ้านอย่างเราได้ยินเรื่องพระต้องอาบัติปาราชิก แล้วขาดจากความเป็นพระ ก็สงสัยนะว่า ปาราชิกมันเป็นอย่างไร ถึงทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ขาดความ เป็นพระภิกษุนี่อะไรขาด ขาดอย่างไร รักษาได้ไหม ก็ลองค้นตำรับตำราดูครับ ศีล227 ของพระภิกษุมี ปาราชิก 4 เป็นหมวดแรก อีก 223 ข้อ ก็อยู่ในหมวดถัดไป เลยหาไม่ ยากครับ มี 4 ข้อ ได้แก่ ภิกษุกระทำ 4 เรื่องต่อไปนี้ ถือว่าต้องอาบัติปาราชิก คือ
1. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
2. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
3. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) หรือ แสวงหาศาสตรา อันจะนำไปสู่ความ ตายแก่ร่างกายมนุษย์
4. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถน้อมเข้า ในตัวว่าข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของ ตัวเอง)
...........เมื่อพระภิกษุมีพฤติกรรมกระทำกิจดังกล่าว ท่านเรียกว่าต้องอาบัติปาราชิก แปลว่าผู้ประสบความพ่ายแพ้ คือหมดสภาวะเป็นพระภิกษุ ถึงนุ่งห่มไตรจีวรก็ไม่นับ เป็นพระภิกษุแล้ว ท่านจึงกล่าวว่าเป็นอาบัติที่โทษหนักมาก ไม่สามารถแก้ไขได้
..........(1) เสพเมถุนก็คือร่วมเพศ มีเพศสัมพันธุ์ แม้กับสัตว์เดรัจฉานก็ถือว่าผิดเท่ากัน
..........(2) ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของเขามิได้ยกให้ คือขโมย ต้ม ตุ๋น หลอกลวง สิกขา บทท่านกำหนดค่าไว้ 5 มาสก ค่าเงินสมัยพุทธกาล มีการศึกษากันว่า 5 มาสกซื้อทองคำ สมัยนั้นได้กี่มากน้อย เทียบราคาทองคำสมัยนี้(2561) ประมาณ 300 บาท ก็ไม่มาก นัก ระวังไว้ก็ดี เพราะรวมทุกวิธีที่ได้เงินมาโดยไม่สุจริต เช่นเงินทอนเขาถวายสงฆ์นะ จัดการไม่ดีเข้าข่ายการลักขโมยได้เช่นกัน หลบเลี่ยงภาษี เบี้ยวค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ เข้าข่ายได้เงินโดยวิธีทุจริต
..........(3) ข้อนี้ท่านเน้นการฆ่ามนุษย์ คล้ายกฏหมายบ้านเมือง ฆ่าเอง จ้างวานให้ฆ่า หลอกลวงให้ฆ่า โทษเสมอกัน
...........(4) อวดอุตริมนุสสธรรม ท่านเน้น ไม่มีในตน ถ้ามีแล้วอวดไม่ผิดวินัยข้อนี้ ถ้าไม่มีแล้วอวดอ้าง หรือพูดโน้มน้าวให้คนหลงเชื่อ หรือทำนิมิตให้เข้าใจผิด แบบนี้ผิดแน่ มนุสธรรมที่เข้าข่ายตามวินัยข้อนี้ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณหรือวิชชา3 มัคคภาวนา อริยมรรคอริยผล ตัวอย่าง หลวงพี่ที่ท่านเทศนาบอกชาวบ้านว่า ชาตินี้ ท่านหยุดแล้ว สิ้นสุดกันแล้ว ไม่มีชาติหน้าสำหรับท่าน คนก็ฮือฮาเพราะนี่มันเป็นสำนวน พระอริยเจ้าระดับพระอรหันต์ ถึงจะไม่เกิดอีก ผลหรือตอนนี้นอนคุกอยู่มั้ง 

.........การต้องอาบัติปาราชิก คนตัดสินคือตัวเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาบอก เว้นแต่จะไม่รู้เรื่อง เช่นอวด
อุตริว่า บรรลุสมาธิระดับฌาน เห็นสัมภเวสีมาขอส่วนบุญ ถ้าเป็นเรื่องจริง ไม่เป็นอาบัติปาราชิก แต่ถ้าไม่จริง ก็แน่นอนปาราชิก อวดไปแล้วนึกสงสัยถามครูอาจารย์ก็ได้ว่า ถ้าผมอวดเรื่องไม่จริงแบบนี้จะโดนอาบัติอะไร ไม่มีทางเลี่ยง ปาราชิกเต็มร้อย โดนแล้วจบไปเลย แก้ไขไม่ได้ เหมือนบางสำนัก โกงเงินสงฆ์ไปเป็นของตนเอง พอมีคนทักท้วงฟ้องร้อง รีบเอาเงินมาคืน แล้วบอกว่าผมคืนแล้วนะ พ้นผิดแล้ว
ใช่ทางกฏหมายถือคืนแล้วพ้นคดีความ ที่จริงไม่พ้นผิดหรอก มันผิดตั้งแต่โกงสำเร็จแล้ว การถอนฟ้องไม่ได้แปลว่าพ้นผิด ปาราชิกก็ขาดกระจุยตั้งแต่ลงมือโกงแล้ว ถ้าคืนเงินแล้วไม่ผิด พวกขี้โกง โจรขโมย ก็ไม่ต้องคิดคุกตาราง  พอเขาจับได้ก็เอาเงินมาคืนซะ พ้นผิดไป แต่ความจริง เอาเงินมาคืนก็แก้ผิดอะไรไม่ได้  โบราณท่านเปรียบปาราชิกเหมือนโทษประหารแบบตัดคอขาด ต่อคืนไม่ติดหรอก
.........ภาวะความเป็นภิกษุ ได้มาตั้งแต่พระอุปัชฌาย์ประกอบพิธีอุปสมบทให้ ด้วยการ ประชุมคณะสงฆ์ สวดประกาศแบบ ญัตติจตุตถกรรมวาจา ประกาศญัตติ และสวดทบทวน สามรอบรวมเป็น 4 ครั้ง ไม่มีผู้ทักท้วงหรือคัดค้าน การประชุมรับสมาชิกใหม่ก็ผ่านไป ด้วยดีมีพระภิกษุใหม่เกิดขึ้น 1 รูป สภาพการเป็นภิกษุจะคงอยู่ต่อไปหลายวันหลาย เดือน จนกว่าจะสิ้นสุดลงโดย ต้องอาบัติปาราชิก หรือการลาสิกขาบท ถ้ากรณีต้อง อาบิติปาราชิก อุปสมบทใหม่ไม่เป็นพระภิกษุ เพราะถือว่าขาดคุณสมบัติ แต่กรณีลา สึกออกมา สามารถอุปสมบทใหม่ได้ไม่มีข้อห้าม
...........ผมเขียนถึงปาราชิกเพราะถกเถียงกันในกลุ่มนักบิณฑ์ด้วยกัน เข้าใจไม่เหมือน กัน เลยนำมาแลกเปลี่ยนเสวนากัน สำหรับกระผมแอบเอามาบันทึกไว้ด้วย กันลืมครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น