.......วันนี้ 28 มิถุนายน 2561 อยากเล่าประสบการณ์การแต่งกาพย์สู่กันฟัง โดยเฉพาะท่านที่ชอบอ่านบทร้อยกรองที่กระผมเขียน ซึ่งแต่งด้วยกาพย์มาก กว่าร้อยกรองชนิดอื่น บททักทาย อวยพรวันเกิด บันทึกเรื่องราว ชอบใช้กาพย์ มากกว่าโคลงกลอน สาเหตุเพราะถนัด โดยเฉพาะกาพย์ยานี กาพย์ชนิด อื่น ๆ ก็แต่งบ้างแต่ไม่มาก
.
......แต่งกาพย์ก็เหมือนร้อยกรองชนิดอื่น ๆ นั่นแหละ สิ่งแรกคือจดจำแผน ผังบังคับ บทกาพย์ยานีที่ช่วยผมจำแผนผังบังคับได้ดี...ได้แก่
.......พระเสด็จโดยแดนชล.........ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
........กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย.......พายอ่อนหยับจับงามงอน ฯ
........ทบทวนแผนผังบังคับจากบทนี้ บทหนึ่งมี 2 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรควางข้างหน้า 5 คำ ข้างหลัง 6 คำ รวมวรรคหน้า + หลัง บาทละ 11 คำ เวลาอ่านจังหวะจะเป็น 2-3 และ 3-3 เช่นนี้ทุกบาท สังผัสนอกคือบังคับว่า.....
........สัมผัสบังคับ คำท้ายวรรคที่หนึ่ง ส่งให้คำที่ 3 วรรคที่ 2
........สัมผัสบังคับ คำท้ายวรรคที่ 2 ส่งสัมผัสห้ำท้ายวรรคที่ 3 จบบังคับ
........คำท้ายบทจะส่งสัมผัสให้บทถัดไป ตรงคำท้ายวรรคที่ 2
........ข้อสังเกต วรรคที่ 3 และวรรคที่ 4 ไม่มีบังคับสัมผัสแบบกลอนแปด
........ความไพเราะของกาพย์ยานี นิยมใช้สัมผัสในช่วย ตัวอย่างที่ยกมาจัด
เป็นกาพย์ที่แต่งได้ไพเราะมาก
.........1..วรรคที่ 1 สัมผัสพยัญชนะ ด 3 คำ
.........2. วรรคที่ 2 สัมผัสพยัญชนะ ฉ 2 คำ
.........3. วรรคที่ 3 สัมผัสพยัญชนะ ก 2 คำ พยัญชนะ พ 2 คำ และมี
สัมผัสสระเสียง แอว 2 คำ
........4. วรรคที่ 4 มีสัมผัสเสียงสระ อับ 2 คำ สัมผัสพยัญชนะ ง 2 คำ
........หมายเหตุ สัมผัสในที่เกิดมากมายเช่นนี้ มิใช่กฏหรือข้อบังคับ แต่เป็นรสนิยมของผู้แต่ง ท่านทราบกาพย์ยานี จะมีความไพเราะมากขึ้น ถ้า
........มีสัมผัสใน ประเภทสัมผัสพยัญชนะ มากกว่าสัมผัสสระ
........เสียงท้ายวรรคในบทหนึ่ง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติ การอ่านทำนองเสนาะจะคล่องรื่นไหลดี ถ้าวรรคที่ 2 ลงด้วยเสียงสูง โดยเฉพาะเสียงจัตวา วรรคอื่น ๆส่วนมากมักเป็นเสียงสามัญ ส่วนเสียงอื่นก็มีบ้าง
.........ลองแต่งกาพย์ยานี..........บังคับมีตามแผนผัง
.........สิบเอ็ดคำระวัง................แต่งให้ครบตามกระบวน
.........แต่งให้ครบจำนวนคำตามแผนผัง ไม่ได้นึกถึงความไพเราะ ได้สัมผัสในคู่เดียวคือ แผนผัง คำมันบังคับเสียง ผ 2 คำ จะลองเสริมสัมผัสในเพิ่ม
..........กรองกานท์กาพย์ยานี.......คำควรมีพบแผนผัง
..........สิบเอ็ดพากเพียรยัง...........ลงคำครบจบกระบวน
..........เสริมสัมผัสในมีทุกวรรค อ่านรื่นมากขึ้น เลยได้ข้อสรุปว่าแต่งกาพย์ยานี ต้องรู้จังหวะการอ่านออกเสียงของกาพย์ ตือ 2-3 และ 3-3 อย่าให้มีคำคร่อมจังหวะ เพราะจะอ่านสะดุด เช่น
..........พระเสด็จโดยแดนชล พระเสด็จ 3 พยางค์ แต่มีสองคำ เสด็จพยางค์แรกเสียง ลหุ ลงจังหวะกาพย์ 2 คำ เลยไม่ติดขัด
..........พระดำเนินโดยทางเรือ ดำ ถือเป็นลหุจริง แต่เสียงหนัก ทำให้คร่อมจังหวะต้องอ่าน พระดำ...เนิน โดยทางเรือ กลายเป็น 6 คำ ผิดฉันทลักษณ์วรรคหน้า 5 คำ จังหวะ 2+3
...........กาพย์ยานีสิบเอ็ด...........คำ กาพย์ยานี คร่อมจังหวะ 2+3
...........เฉลิมขวัญวันเกิด............คำ เฉลิมขวัญ อ่านแยกไม่ได้ คร่อมจังหวะ
...........สดุดีราชัน....................คำ สดุดี คร่อมจังหวะ
...........จากตัวอย่างจะพบว่า จำนวนคำวรรคหน้ากำหนดให้มี 5 คำ/พยางค์กาพย์ยานีสิบเอ็ด เฉลิมขวัญวันเกิด และคำ สดุดีราชา จำนวนคำครบตามบังคับแต่อ่านจังหวะ 2-3 ไม่รื่นติดจังหวะต้องอ่านฉีกคำ กาพย์ยา...นีสิบเอ็ดเฉลิม...ขวัญวันเกิด สดุ...ดีราชา อ่านได้แต่ดู ตลกดี จัดคำลงให้พอดีกับ
จังหวะจะอ่านเพราะกว่า
...........นับคำกาพย์ยานี อ่าน 2-3 ได้
...........เฉลิมวันเกิดนุช...เฉลิมอ่านลำพังไม่ต้องพ่วงคำขวัญ
...........ราชันสดุดี..........อ่าน2-3 ได้
...........กรณีวรรคหลังกำหนดมี 6 คำ จังหวะ 3-3 ก็ควรเลือกคำลงให้พอดีถ้ามีคำคร่อม ก็จะทำให้อ่านสะดุด ไม่เพราะ เช่น
...........กระบวนจะยาตรา.........มหากษัตริย์ดำเนิน
...........ชลมารคพระก็เพลิน......ชมปลาชมนกมากมี
...........ปลาชะโดสวาย.............ปลากรายปลาเค้าแปลกสี
...........ปลาสลาดกระดี.............ปลาเสือปลาแรดกดคัง
...........จำนวนคำใส่วรรคหน้า 5 วรรคหลัง 6 บังคับสัมผัสก็ตามแผน แต่อ่านยังไงก็ไม่เป็นกาพย์ยานี 11 ให้ เพราะจังหวะคำวางไม่ดีนั่นเอง ลองปรับจังหวะให้เป็น 2-3 และ 3-3 ดู
............กระบวนจะยาตรา อ่าน 2- 3 ได้.....ขัตติยาจักดำเนิน อ่าน 3-3 ได้
............ชลมาร์คพระเพลิดเพลิน อ่าน 2-3 ได้ ปรับคำนิดหน่อยให้สัมผัส พ
.............มัตสยานานามี อ่าน 3-3 ได้
.............ชะโดแลสวาย อ่าน 2-3 ได้
.............งามปลากรายเค้าหลากสี อ่าน 3-3 ได้
.............สลาดปลากระดี่...อ่าน2-3 ได้
.............แรดกดคังโน่นเสือปลา อ่าน 3-3 ได้
.......กระบวนจักยาตรา................ขัตติยาจักดำเนิน
.......ชลมาร์คพระเพลิดเพลิน........มัตสยานานามี
.......ชะโดแลสวาย.....................งามปลากรายเค้าหลากสี
........สลาดปลากระดี่..................แรดกดคังโน่นเสือปลา
........พอจัดคำลงจังหวะได้ อ่านก็เป็นกาพย์ยานี 11 ได้ทันทีเหมือนกัน แสดงว่าจังหวะของกาพย์ยานี 11 สำคัญไม่น้อย เวลาฝึกแต่ง นอกจากจะจดจำจำนวนคำแล้ว ยังต้องรู้จังหวะแต่ละวรรคด้วยจะช่วยให้กาพย์ อ่านง่ายขึ้น
.........สรุปสาระจากเรื่องที่นำเสนอคือ แต่งกาพย์ยานี 11 ทุกบาทมีจังหวะเป็น2-3 และ 3-3 คล้ายกันตลอด ผู้ฝึกแต่งควรวางคำให้ตรงจังหวะการอ่านด้วย จะช่วยให้กาพย์ที่แต่งอ่านคล่องมากขึ้น กาพย์จะอ่านเพราะถ้ามีสัมผัสในย จะใช้สัมผัสสระก็ดี สัมผัสพยัญชนะ ก็เพราะ กวีที่แต่กาพย์ยานี อ่านเพราะมาก ๆ พบว่าท่านนิยมสัมผัสในเป็นสัมผัสพยัญชนะมากกว่าสัมผัสสระ......... ดูกาพย์อย่างอื่นมั่ง
ลองแต่งกาพย์สุรางคนางค์
...
....ผมใช้วิธีเดิม ๆ ครับ คือหาบทกาพย์ที่จำได้มาศึกษาแผนผังบังคับ เคยดูแผนผังกาพย์สุรางคนางค์ จะมี 4 บรรทัด บรรทัดแรกวางไว้วรรคเดียว ที่เหลือวาง 2 บรรทัดบทที่จำได้ดีจากกาพย์พระไชยสุริยาครับ
................................พระชวนนวลนอน
เข็ญใจไม้ขอน ...........เหมือนหมอนแม่นา
ภูธรสอนมนต์..............ให้บ่นภาวนา
เย็นค่ำร่ำว่า.................กันป่าไภยพาล
..............................วันนั้นจันทร
มีดารากร..................เป็นบริวาร
เห็นสิ้นดินฟ้า...............ในป่าท่าธาร
มาลีคลี่บาน................ใบก้านอรชร
.............................. เย็นฉ้ำน้ำฟ้า
ชื่นชะผะกา............... วายุพาขจร
สาระพันจันทน์อิน.......รื่นกลิ่นเกสร
แตนต่อคลอร่อน.........ว้าว่อนเวียนระวัน
..........กำหนดแต่งวรรคละ 4 คำ จำนวน 7 วรรค ลงตัว 28 คำตามชื่อกาพย์ วางจังหวะคำแบบ2-2 ทุกวรรค สัมผัสนอกหรือบังคับ ดังนี้
.........1. คำท้ายวรรคแรกส่งให้คำท้ายวรรคที่ 2 จบ ไม่ต่อไปวรรค 3
.........2..คำท้ายวรรค 3 รับสัมผัสระหว่างบท และส่งต่อคำท้ายวรรคที่ 5
.........3. คำท้ายวรรคที่ 5 ส้งสัมผัสให้คำท้ายวรรคที่ 6 จบสัมผัสบังคับ
.........กาพย์ท่านสุนทรภู่ แถมสัมผัสเกินมาที่ไหนบ้าง (คำท้ายวรรค 2....วรรค 3)อย่างด้วยก็ได้ บอกไว้ตรงนี้เพื่อทราบเฉย ๆ(คำท้ายวรรค 6 ....วรรค 7) แผนผังไม่ระบุให้มี ท่านสุนทรภู่แถมมา อ่านไพเราะดี จะเอา แผนผัง วางแบบนี้ จะดูง่ายไม่ตาลาย
.........ความไพเราะกาพย์ใช้สัมผัสในช่วย สัมผัสพยัญชนะใข้ได้ทุกวรรค ส่วนสัมผัสสระควรระวังอย่าใช้เสียงสระเดียวกันกับสระที่เป็นสัมผัสบังคับ เหมือนตัวอย่างที่ยกมา ทำให้สัมผัสเลื่อน สัมผัสเฝือ ท่านสุนทรภู่ชอบสัมผัสในอยู่แล้วท่านก็แต่งเอาไพเราะเป็นสำคัญ ส่วนเรา ๆ แต่งตามแบบแผนไปก่อน เก่งแล้วค่อยลองนอกแบบ
.....................................................ลงธารชมปลา
..................ยากนักแลหา..............น้ำมันขุนมัว
...................เห็นน้ำกระเพื่อม.........แลเลื่อมชวนหัว
..................คงจักเห็นตัว................กลับเป็นก้อนดิน
......................................................เด็กยิงกระสุน
..................หนังยางยิงวุ่น..............เสียวหัวลูกหิน
..................โดนเจ็บจริงแท้.............คงแย่ลูกบิน
...................แสบแสนสุดสิ้น............คงได้ด่ากัน
.......................................................ลอยเต็มท่าธาร
....................ถุงซองปลาหวาน.........ขยะสาระพัน
....................พลาสติคกระดาษ.........ประหลาดนักขัน
.....................อีกหน่อยคลองตัน.......ขยะเต็มมากมาย
........................................................อยากให้ช่วยกัน
.....................จัดที่จัดสรร................ขยะเหลือหลาย
.....................ทิ้งให้เป็นที่.................มิมีวุ่นวาย
......................ขจัดอันตราย.............ขยะควบคุม
........................................................บ้านเรือนสดใส
....................ขยะหายไป..................มลพิษมิรุม
.....................ต้นหญ้าเริ่มงอก...........ไม้ดอกไม้พุ่ม
.....................มินานครอบคลุม...........เต็มบ้านเต็มเมือง
........................................................จัดระเบียบดี
.....................คัดรูปคัดสี...................ประเทิงประเทือง
....................งามตางามใจ.................ดอกไม้ขาวเหลือง
....................แลรุ่งแลเรือง.................จัดให้ดูงาม
..........กาพย์สุรางคนางค์ แต่ยากตรงจัดสัมผัสตามแผน ถ้าจัดวางแบบนี้จะสังเกตง่ายหน่อยท้ายวรรคหนึ่งส่งท้ายวรรคสอง ตัด ท้ายวรรคสามรับสัมผัสบทก่อนหน้าและท้ายวรรค ห้าวรรคห้าส่งให้วรรค หก และตัดแค่นี้ แถวหน้า 3 วสรรค มีส่งสัมผัสวรรคเดียวคือวรรค 4
ข้อสังเกตเพื่อจำง่าย มีสัมผัส 3 เส้นทางคือ
..............1. คำท้ายวรรคที่ 1 ส่งคำท้าย ววรค 2 ตัดไม่ส่งต่อ
..............2. คำท้ายวรรค 3 รับสัมผัสบทก่อนน้า และส่งให้คำท้ายวรรค 5 ส่งต่อไปท้ายวรรค หก
..............3. คำท้ายวรรค 4 ส่งคำสองวรรคห้า
.............กาพย์จังหวะ 2-2 อ่านสนุกดี จัดสัมผัสก็ไม่ยากเกินไป น่าจะลองแต่งเล่นดู ชมนก ชมไม้
ชมปลา ก็ง่ายดี ลองดูครับ
ลองกาพย์ฉบังมั่ง
..........ฉบัง 16 เป็นกาพย์ที่ผมจำได้มากมาย จะเอามาเป็นแบบศึกษาแผนผังบังคับเลยไม่ยากจากบทสวดมนต์ประจำสัปดาห์ครับ จากบทสวดมนต์วันศุกร์ที่โรงเรียนน่ะครับ
สวดระลึกธรรมคุณ
(นำ) ธรรมะคือคุณากร...............(รับพร้อมกัน) ส่วนชอบสาธร
ดุจดวงประทีปชัชวาล...............
แห่งองค์พระศาสดาจารย์...............ส่องสัตว์สันดาน
สว่างกระจ่างใจมนท์...............
ธรรมใดนับโดยมรรคผล...............เป็นแปดพึงยล
และเก้ากับทั้งนฤพาน...............
สมญาโลกอุดรพิสดาร...............อันลึกโอฬาร
พิสุทธิ์พิเศษสุกใส...............
เป็นกาพย์ฉบัง 16 สบายผมเลย การจัดจังหวะ 2 คำตลอด เป็น 2-2-2....2-2...2-2-2 เป็น 3 วรรครวมคำ 6+4+6 เป็น 16 คำพอดี สัมผัสบังคับ ดังนี้
.........1. คำท้ายวรรคแรก ใช้รับสัมผัสระหว่างบทด้วย
.........2. สัมผัสในบทมีคู่เดียวคือ คำท้ายวรรที่หนึ่ง ส่งให้คำท้ายวรรคที่ สอง
........จากตัวอย่าง คงแต่งไม่ยาก เพราะจังหวะคำเป็นคู่ ๆ ชมนก ชมปลา ง่ายดี
เพราะส่วนมากชื่อพยางค์เดียว
..........ปลาช่อนปลาหมอปลาหลด..............ปลานิลปลากด
...........ปลาบู่ปลาคังปลากราย
...........นกเขานกขาบปีกลาย.......................นกเจ่าตัวร้าย
...........นกยางอีลุ่มกาแวน
..........สรุปจะแต่งกาพย์ฉบังให้นึกบทสวดมนต์เอาไว้แทนแผนผังบังคับ จังหวะคำเป็นคู่ ๆ 3 วรรค 6-4-6 คำ สัมผัสบังคับในบทมีคู่เดียว คำท้ายวรรคหนึ่ง ไปคำท้ายวรรคสองคำท้ายบทส่งให้คำท้ายวรรคที่สองบทถัดไป....สัมผัสในนิยมสัมผัสพยัญชนะมากกว่าสัมผัสสระ
ถ่ายที่สวนนงนุช พัทยา
.........สมัยไปเรียนเทศน์ พระอาจารย์แนะนำว่าการเทศน์ที่ดี ต้องเลือกสรรถ้อยคำ ที่สุภาพ เรียบร้อย ถูกต้องในเนื้อหา ท่วงทำนองไพเราะ น่าสนใจ ก็เข้าใจนะที่ท่าน แนะนำ แต่ทำไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะสำนวนโวหารที่มีสัมผัสต่อเนื่องกันไป ท่านก็แสดง เป็นตัวอย่าง บ่อย ๆ...เช่น .........สวัสดีญาติโยมทั้งหลาย....ทุกท่านหมายสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา ณเพลา นี้อาตมภาพจักสาธก และหยิบยกเอาคำพุทธภาษิต.....ที่โบราณลิขิตเป็นคำบาลีเอาไว้ มีใจความว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...อัตถวโรแห่งภาษิตอันแยบยล ความว่าตนแลเป็น ที่พึ่งแห่งตน......สาธูชนทั้งหลาย....อาตมภาพขอขยายอรรถให้ชัดเจน.....โยมจะได้ แลเห็นแหละเข้าใจได้โดยง่าย.....ดังจะสาธยายธรรมต่อไป..ฯลฯ ด้วยประการฉะนี้ ฝึกเทศน์อยู่สามปี ได้บ้าง ตกหล่นบ้าง ก็พยายามปรับปรุงแก้ไข เมื่อสอนภาษาไทย ถึงได้ทราบสำนวนการแสดงธรรมเทศนาที่พระอาจารย์สอนให้เทศน์ ก็คือคำร้อยกรอง ประเภทร่ายยาวนั่นเอง นึงถึงทีไรก็อดภูมิใจไม่ได้ .........เมือไปเปิดตำราร้อยกรองหาอ่านฉันทลักษณ์คำประพันธ์ชื่อ ร่ายยาว พบว่าเป็น คำประพันธ์ที่เน้นสำนวนคำสละสลวย จำนวนคำแต่ละวรรค มากบ้าง น้อยบ้าง ไม่เท่ากัน มีการร้อยคำระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจากคำท้ายวรรคหน้า ไปยังคำที่1/2/3 วรรคถัด ไป จะยาวกี่วรรดไม่จำกัด ร่ายยาวนี้ใช้แต่งเทศน์ หรือบทสวด ที่ต้องว่าเป็นทำนอง เช่น เทศน์มหาชาติ เทศน์ธรรมวัตร เมื่อจบความตอนหนึ่งๆมักลงท้ายด้วยคำว่า นั้นแล ฉะนี้แล นั้นเถิด นี้แล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น เมื่อจะเขียนแผนผังรายยาว จะเป็น ดังนี้
........เห็นแผนผังแล้วก็ชักคันไม้คันมือ ขอลองหน่อย เพราะยังไงก็คงง่ายกว่าเทศน์ เนื่องจากมีเวลาแก้ไข เทศน์ว่าปากเปล่านี่นา แก้ไม่ได้ ผิดก็ผิดไปเลย ขอลองหน่อย .......โอมจะขอสาธยาย..........รายอย่างยาวคราวตรึกจะศึกษา........แลหาแผนผังฉันท ...ลักษณ์ประจักษ์ได้.......ใช้คำมากหลากสีสันพรรณนาความ........ตามกำหนดห้าคำนั่น ...อย่างน้อยดอก.......บอกเคยแต่งวรรคยี่สิบห้าหาลงยาก..........คนพูดมากเขียนเลยยาว ...สาวไปเรื่อยเฉื่อยดังลมพัด.......ส่วนสัมผัสมิหลงลืมท้ายทุกวรรคส่ง........ตรงคำต้นวรรคถัดไป....คำไหนก็ได้อย่าใกล้ท้ายวรรคแหละจึ่งควร.....ครบกระบวรร่ายยาวถึงคราวจะจบลง... ฉันนี้แล ..........ร่ายสุภาพ ก็คือร่ายธรรมดา ๆ ที่ครูอาจารย์ท่านกำหนดไว้ แต่งวรรคละ 5 คำ ยาวกี่วรรคก็ได้ ระหว่างวรรคร้อยสัมผัสต่อเนื่องกันไปตลอด ระหว่างคำท้ายวรรคหน้ากัน คำที่1/2/3 วรรคถัดไป จนกว่าจะจบ ให้จบด้วยโคลงสองสุภาพ หรือโคลงสามสุภาพ ดูจาก แผนผังบังคับร่ายสุภาพจะเป็นดังนี้
........ก็ขอลองเขียนร่ายสุภาพ ดูบ้าง .....สาธุจะข้อไหว้...คุณพระไตรพระพุทธ...พิสุทธคุณทั้งสาม....ตามตำนานบอกไว้ ..นัยบุพเพนิวาสน์ สามารถรู้จุติ.........วิชาชาญอุบัติ.........ปรมัตถ์กำจัด..ขัดอาสวะสิ้น.....หมดมลทินเกาะติด....จิตพิสุทธิ์พิสัย.....อัฏฐนัยวิทยา.....วิปัสสนาญาณ....ชาญมโนมยิทธิ......อติทิพย์โสต....รุ่งโรจน์ชาญเจโต........
ฯลฯ ทรงคุณจรณา.......เตวิชชาพรั่งพร้อม....งามหมู่พระแวดล้อม......ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา .........ร่ายดั้น .................ร่ายดั้นก็คือร่ายสุภาพ ถ้าจบด้วยโคลงสองสุภาพ ก็ถือเป็นร่ายสุภาพ ถ้าจบโดย โคลลงสองดั้น ก็เรียก ร่ายดั้น นึกว่าจะมีอะไรพิเศษถึงเรียกร่ายดั้น เมื่อเราเรียนโคลง ก็จะมีโคลง สุภาพ มีโคลงดั้น และโคลงกลบท โคลงที่นำมาต่อท้ายตอนจบเวลาแต่งร่ายมี 2 อย่างคือโคลง สองสุภาพ และโคลงสองดั้น เลยเป็นตัวกำหนดชื่อร่าย จบด้วยโคลงสองสุภาพ เรียกร่ายสุภาพ จบด้วยโคลงสองดั้น เรียกร่ายดั้น .........(ทรงคุณจรณา)... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหม่ะรัแวดล้อม ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา ที่ตัดมานี้ นับในวงเล็กด้วย คือโคลงสามสุภาพ ถ้านับแค่ เตวิชชาพรั่งพร้อม ไปจนจบ ก็เป็นโคลงสองสุภาพ ยกมาแล้วก็จะแปลดงให้เป็นโคลงดั้น ตรงไหน ............1. ตัด วรรสุดท้าย 4 คำ เหลือสองคำคือ ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระแวดล้อม ยิ่งล้วน ............2.ย้ายคำโทให้ไปอยู่วรรคหน้า ................เตวิชชาพรั่งพร้อม....งามหมู่พระล้วนล้อม....ยิ่งงาม (เติมคำงาม อ่านได้ความพอดี) ก็ได้โคลงสองดั้นตามต้องการ .............3. โคลงสามดั้น..(ทรงคุณจรณา)... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระล้วนล้อม ยิ่งงาม ............นำต้นแบบโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้นมาให้ดุ .............4. นำโคลงดั้นที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วในข้อ 2 หรือข้อ 3 ไปต่อท้ายร่ายสุภาพ ตรงที่ป้าย ตัวอักษรสีแดง ก็จะจบร่ายด้วยคำว่า..... .....เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระแวดล้อม ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา เรียกชื่อว่าโคลงสองสุภาพ .... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระล้วนล้อม ยิ่งงาม ดัดแปลงคำท้ายบท ให้มีคำโทคู่ และวรรค ท้ายตัดเหลือ 2 คำ เรียกโคลงสองดั้น เปรียบเทียบแผนผัง โคลงสอง
.....ทรงคุณจรณา.. เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระแวดล้อม ยิ่งล้วนหมู่สงฆ์ แลนา เรียกชื่อว่า โคลงสามสุภาพ ......ทรงคุณจรณา... เตวิชชาพรั่งพร้อม.....งามหมู่พระล้วนล้อม ยิ่งงาม ดัดแปลงคำท้ายบท ให้มีคำโทคู่ และวรรคท้ายตัดเหลือ 2 คำ เรียกโคลงสามดั้น เปรียบเทียบแผนผังโคลงสาม
.........จากตัวอย่าง และแผนผัง จะเห็นได้ชัดเจนว่า จำนวนคำที่ใช้ ปกติวรรคละ 5 คำ และวรรค ท้ายบทให้ 4 คำ ถ้ามี 3 วรรค ก็เป็นโคลงสอง มี สี่ วรรคเป็นโคลงสาม .........ข้อสังเกต วรรคสุดท้ายมี 4 คำ เป็นโคลงสุภาพ วรรคสุดท้ายมี สองคำเป็นโคลงดั้น .........โคลงดั้น ตัดคำวรรคท้ายออกสองคำ คำโทจะย้ายไปวรรคหน้า ทำให้มี โทคู่ สองคำที่ เหลือจึงคือแค่ คำเอกและคำสุภาพ ..........สัมผัสบังคับ ดูตามแผนผังก็พอทราบได้ โคลงสามที่เพิ่มมา 1 วรรค 5 คำ คำท้ายจะส่ง สัมผัสให้วรรคถัดไป ตรงคำที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 คำท้ายวรรค 2 เป็นคำโท ส่งสัมผัสให้คำท้ายวรรค ถัดไปที่เป็นคำโทเช่นกัน คำท้ายบท ส่งสัมผัสให้วรรคแรกบทถัดไป คำที่1 2 หรือ 3 ...........กำลังเขียนถึงร่าย อยู่ ๆ ก็ตัดเข้าโคลงสองโคลงสาม เพราะคำลงท้ายของร่าย ต้องใช้ โคลงสองหรือโคลงสาม ถ้าจบด้วยโคลงสุภาพ ก็เป็นร่ายสุภาพ ถ้าจบด้วยโคลงดั้น ก็เรียกร่ายดั้น ดังนั้นโคลงจึงเป็นตัวกำหนดชื่อร่ายสุภาพหรือร่ายดั้น ..........สรุปการแต่งร่าย มีสองรูปแบบคือ ร่ายที่ใช้ในการแสดงธรรมเทศนา ที่เรียกร่ายยาว ไม่ได้ จำกัดจำนวนคำต่อวรรค จัดให้พอดีกับการแสดงและการหายใจ ตกระหว่าง 5-15 คำกำลังพอดี สัมผัสระหว่างวรรค จากคำท้ายวรรคหน้า ส่งให้วรรคถัดไป คำที่ 1 2 3 4 5 ตามแต่จะพอใจ แต่ก็ ไม่ใกล้คำสุดท้ายวรรคเกินไป แต่ยาวกี่วรรคก็ได้ จนกว่าจะจบเรื่อง และจบลงด้วยคำ เอวังก็มีด้วย ประการฉะนี้ หรือใช้คำ ฉะนี้แล นั่นแล ก็ได้ .........ร่ายที่มีรูปแบบ กำหนดค่อนข้างชัดเจน วรรคละ 5 คำ แต่งยาวกี่วรรคแล้วแต่พอใจ ต้องมี ส่งและรับสัมผัสระหว่างวรรคต่อวรรคไปตลอดจนจะจบเรื่อง ค่อยยกโคลงสามหรือคลองสองปิด ท้ายแสดงว่าจบบทร่าย โคลงสองหรือโคลงสามที่นำมาปิดท้าย ถ้าเป็นโคลงสุภาพ ก็เรียกร่ายนั้น ว่าร่ายสุภาพ ถ้าเป็นโคลงดั้น ก็เรียกร่ายดั้นด้วย
สวัสดีครับ
นกหรือหมู นะ ไปเที่ยว
..........เขียนเล่าประสบการณ์ครั้งหัดแต่งกลอน กาย์และโคลงแล้ว ยังขาดเรื่องฉันท์ ถามว่าเคยฝึกแต่งฉันท์ไหม เคยซิครับ หัดมากกว่าร้อยกรองอย่างอื่นด้วย เพราะมัน ยากจริง ๆ อย่างอื่นหัดวันสองวันแต่งได้ แต่ฉันท์นี่เล่นเป็นสัปดาห์เลย แถมลืมง่าย ด้วย คงเพราะเบื่อไม่อยากจำ ต่อมาเลยใช้วิธีบังคับ เขียนเล่านิทานมันไปเลย เลย ได้นิทานคำฉันท์มา 2 เรื่อง คือท้าวกำกาดำคำฉันท์ และปลาบูทองคำฉันท์ ตลกดี สมน้ำหน้าอยากแต่งยากนัก ยังไม่สะใจเอาอีก ขุนทึงขุนเทืองคำฉันท์ .....ตอนนี้ไม่กลัวมันแล้วจะฉันท์โหดขนาดไหนก็ไม่กลัว ผมฝึกอย่างไร.....
...........ทำไมกลัวแต่งฉันท์นัก ถามตัวเองได้คำตอบว่า....
...........(1) มีหลายฉันท์เหลือเกิน จะแต่งอะไรดีล่ะ ในตำรามีมากมายก็จริง แต่ที่ นิยมแต่งไม่กี่ชนิดหรอก เช่น อินทรวิเชียรฉันท์ ภุชงคประยาตฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ง่ายกว่าเพื่อนน่าจะเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ ผมก็เริ่มที่ฉันท์นี้
...........(2) บังคับให้ใช้คำ ครุ ลหุ เห็นชื่อก็ถอดใจแล้ว อะไรเป็น ครุ อะไรเป็น ลหุ ต่อมาก็ทราบความจริงว่า ทุกคำ ทุก พยางค์ มันเป็น ครุ ลหุ อยู่แล้ว เราใช้คำโดย ไม่เคยถามตนเองเลยว่าคำนี้เป็น ครุ หรือ ลหุ โตจนแต่งงานมีลูกหลายคน ยังแยก ไม่ออก พอเอาจริงวิเคราะห์คำที่เราใช้นั่นแหละ มีคำอยู่ 2 ประเภท พวกไม่มีตัวสะกด
...........คำในแม่ก กา ประสมสระสั้น เรียกคำลหุ มีเสียงเบา ถ้าประสมสระยาว เรียก คำครุ มีเสียงหนัก เช่น กะ-กา ติ-ตี ดุ-ดู
...........คำมีตัวสะกด แม่ กง กน กม เกย เกว กก กด กบ ไม่มีคำลหุ เป็นครุล้วน
...........พอศึกษาครุ ลหุ เข้าใจดีแล้ว ทุกคำพูดที่ใช้ ก็บอกได้คำไหนเป็นครุ คำไหน เป็น ลหุ ถึงตอนนี้ที่เบื่อเรื่อง ครุ ลหุ ก็หมดไป
............(3) จำแผนผังบังคับไม่ได้ ติดมาจากตอนเรียน ครูเขียนผังใส่กระดานให้ดู ความจริงไม่ต้องไปหัดวาดตามครูหรอก นั่นครูสอนนักเรียน แต่เราจะเขียนฉันท์ เลือก ตัวอย่างมาซักบทสองบทก็ใช้ได้แล้ว เช่นจากบทสวดมนต์
.....................องค์ใดพระสัมพุทธ.......สุวิสุทธสันดาน
................ตัดมูลเกลศมาร..................บ่มิหม่น มิหมองมัว
..............จากตัวอย่าง วรรคแถวหน้าที่ 5 คำ คำที่ 3 เป็นลหุ วรรคด้านหลังมี 6 คำ ครุ ลหุ อย่างละครึ่ง คำที่ 1-2 และ 4 เป็นลหุ ตรงกับแผนผังบังคับของ อินทรวิเชียรฉันท์ 11
...........ด้วยวิธีนี้เราสามารถท่องจำคำฉันท์อื่น ๆ และเอามาใช้วิเคราะหฺแผนผังและบังคับได้โดยง่าย เช่นบท ปางเมือ่พระองค์ปรมพุทธ เป็นวสันตดิลกฉันท์ เป็นต้น
.............(4)ปัญหาขัดข้องอย่างแรง คือไม่ลงมือฝึกซะที ผัดวันแล้ววันเล่า ต้อง กัดฟันแหละถึงจะได้ฝึก พอฝึกมาก ๆ ก็ติดเอง
อินทรวิเชียรฉันท์ 11
……….ผมเริ่มฝึกอินทรวิเชียรฉันท์ 11 เพราะรูปร่างคล้ายกาพย์ยานี 11 มาก ลองสังเกตดูครับ
กาพย์ยานี 11
.................พระเสด็จโดยแดนชล.........ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
...........กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย............พายอ่อนหยับจับงามงอน ฯ
อินทรวิเชียรฉันท์ 11
.................องค์ใดพระสัมพุทธ............ สุวิสุทธสันดาน
..........ตัดมูลเกลศมาร....................... .บ่มิหม่น มิหมองมัว
.........จำนวนคำเท่ากัน วรรคหน้า 5 คำ วรรหลัง 6 คำ จังหวะอ่าน 2-3 และ 3-3 เหมือนกันอีก ข้อแตกต่างคือ กาพย์ไม่บังคับครุ ลหุ แต่ฉันท์มีบังคับไว้ วรรคหน้าแทรก ลหุ ไว้คำที่ 3 วรรคหลัง คำที่ 1-2 และ 4 เป็นลหุ สัมผัสบังคับในบทมี 2 แห่งคือ คำ ท้ายวรรคแรก ส่งให้คำที่ 3 วรรคสอง คำท้ายวรรคที่สอง ส่งให้คำท้ายวรรคที่ 3 ระหว่างบทต่อบท คำทายบทแรก ส่งสัมผัสไปยังคำท้ายวรรคที่สองบทถัดไป
ลงมือฝึกแต่งอินทรวิเชียรฉันท์ 11
........(1) ฝึกต่อคำ กลุ่มละ 5 คำ ให้คำที่ 1 -2 หรือ 3 รับสัมผัส
...........ต่อคำทีละห้า........มาลองเป็นไฉน........ไม่ยากนักลองดู....ก็จะรู้แปลกดี ........มีคนมาท้าทาย.......ง่ายหรือยากเชิญเลย.........เคยต่อเพียงสองคำ....พอจำได้ นึกขำ.......ลองทำนึกว่าหมู.........ดูแล้วมิง่ายเลย ฯ
............ลองฝึกกลุ่มละหกบ้าง.......ช่างยุ่งนักจักลองสรร.....สำคัญรับจับคำควร...ตามกระบวนการต่อคำ..........ทำเป็นแล้วก็มิยาก..........จะลำบากเพราะมิเคย
...........ฝึกต่อคำ ปกติเล่นกันทีละ 2 คำ เช่น พี่น้อง สองสาว ขาวผ่อง น้องนาง...ปรับมาเป็นต่อคำหลาย ๆพยางค์/คำ เอาไว้ใช้เวลานึกหาคำมาแต่งร้อยกรอง จะทำให้ นึกไม่ยาก และส่ง-รับ สัมผัสก็คล่อง
..........(2) ฝึกเลือกสรรคำสำหรับแต่งวรรคแถวหน้า จำนวน 5 คำ โดยให้คำที่ 3 เป็น ลหุ เป็นการพยิบวรรคหน้าของฉันท์มาฝึก เอาให้ชำนาญวางลหุคำที่ 3 ให้ได้ ...........ฝึกสรรจะนับคำ.........นำหน้าประกอบกัน..........คั่นกลางแหละคำเบา เขาขันเพราะสำเนียง......เสียงเพลงเพราะยิ่งนัก.....รักกันสมัคคี.... ดีใจเพราะพบพาน นานปีมิได้เห็น....เย็นจิตสนิทใน.......ใจหายมิวายห่วง.....ลงมือฝึกจริง ๆ จะพบว่า
มิยากที่จะกำหนด ลหุไว้ตำแหน่งคำที่ 3
..........(3) ฝึกเลือกคำสำหรับวรรคแถวหลังจำนวน 6 คำ ให้คำที่ 1-2 และ 4 เป็น ลหุ ค่อนข้างยาก ฝึกบ่อย ๆ ก็จะทำได้เอง ลองดู
.....ขณะนั่งมิใช่นอน.........ก็จะร้อนเพราะแดดแรง.........ฤจะแย่งหทัยเธอ...... มนะเพ้อพะวงหา........อุรพาละเมอหลง..........ก็พะวงมิรู้วาย......และขยายขจรไกล
..........ยากตรง 2 คำแรก ลหุ คู่ ค่อย ๆคิดหาไม่เกินความสามารถหรอก ได้สัก 5 กลุ่มคำก็ รู้แล้วว่าต้องวางอย่างไรจะตรงกับต้องการ 6 คำ ส่งและรับสัมผัสอย่างไร
..........(4) ฝึกจับคู่ วรรคหน้า 5 คำ วรรคหลัง 6 คำ แบบต่อคำ คำที่ 3 รับสัมผัส จะได้ฉันท์ คู่ละ 1 บาทพอดี
............เข้าป่าจะชมไพร...........เลาะไศลและแนวเนิน
............โน่นรุกขชาติชื่น...........แหละระรื่นสราญรมย์
.............มาลีก็เบ่งบาน.............มะลิลานพิลาสชม
.............แมงภู่วะวู่ว่อน..............เลาะขจรภิรมย์เชย
.............แต่นต่อมิรอช้า.............เพราะจะมาเสาะอาหาร
............ฝึกแบบนี้จะได้ทักษะการเลือกหาคำมาใช้ ฝึกวางคำลหุในตำแหน่งบังคับ และฝึก ส่ง-รับ สัมผัส ฝึกทีละ บาท ดูจะไม่ยากเกินไป
.............(5) ฝึก 2 บาท โยงสัมผัสให้เป้น ฉันท์ จากข้อ 4 ฝึกทีละบาท มาข้อ 5 ฝึกทีละ 2 บาท ให้มีสัมผัสระหว่างบาท จากคำท้ายบาทแรก ส่งให้คำท้ายวรรคแรก บาทถัดไป วรรพที่ 4 ไม่ต้องสัมผัส
............จำปีแหละจำปา..............มะลิลาผกากรอง
.............ลำเจียกกระเจียวปอง.......ก็จะเด็ดและเก็บกัน
ฝึกต่อ
..............ดอกดวนกะชวนชม...........ก็นิยมเพราะหอมหวน
...............บานชื่นจำปีชวน..............พิศชมภิรมย์ใจ
ฝึกต่อ
…………….งามพุทธชาติบาน.............ก็ละลานและหลากสี
...............จำปาแหละจำปี................ก็ระรื่นระเริงรมย์
............(6) ฝึกวางลหุในกลุ่มคำแบบต่าง ๆ การแต่งฉันท์ ยากเพราะบังคับลหุ บางฉันท์ลหุติด ๆกันหลายคำทำให้แต่งยากไปเลย ต้องฝึกบ่อย ๆให้ชำนาญ โดยนำแผนผังฉันท์ที่อยากแต่ง มาฝึกรวบรวมคำตามจำนวนคำแต่ละวรรค พร้อม กำหนดตำแหน่งครุ-ลหุให้ถูกต้อง ตัวอย่าง จะฝึกแต่งอินทรวิเชียรฉันท์ ไปหาแผนผัง มาดู ดังนี้
แผนผังการจัดคำของอินทรวิเชียรฉันท์มี 2 แบบ วรรคแถวหน้า 5 คำมีลหุตรงกลางวรรคแถวหลัง 6 คำ คำที่1-2และ4 เป็นลหุ ก็นำมาฝึกเล่น ได้
จัดกลุ่ม 5 คำ คำที่ 3 เป็นลหุ
...........ยินดีนะคุณพี่.............มีเงินสะดวกมาก.........ยากงานก็พากเพียร
ยากเรียนมิท้อถอย.........รอยบุญอดีตกาล......นานแล้วมิได้เจอ..เธออยู่สบายดี
เอามาฝึกแบบต่อปากต่อคำ สนุกดี ได้ฝึกวางคำลหุไปด้วย
จัดกลุ่มหกคำ ให้คำที่ 1-2 และ 4 เป็นลหุ
..........วิริยานะอาจารย์..........ก็จะทานติจีวร..........ผิจะสอนก็จักฟัง
ฤจะนั่งก็ยินดี........อรุโณสว่างแล้ว........มนแผ้วเจริญธรรม....ฤจะนำและสวดมนต์
เป็นการฝึกต่อปากต่อคำโดยนำแบบคำฉันท์วรรคหลัง 6 คำมาเล่น ยากหน่อย แต่ก็
ท้าทายดี
ลองแต่งให้ครบบท อินทรวิเชียรฉันท์ 11
..............เป็นคนก็พากเพียร.................ริจะเขียนจะอ่านสรรพ์
...........อ่านออกและเขียนกัน................ก็จะชาญชำนาญมี
..............อ่านออกและเขียนได้..............มนนัยก็เสริมศรี
............ทำการและงานดี......................จะฉลาดและแหลมคม
...............หากคร้านมิอ่านเขียน..............แหละจำเนียรมิควรสม
.............การงานมิรื่นรมย์.......................เพราะจะหนักและกินแรง
.........(7) ฉันท์อื่น ๆ มักจะวางครุ ลหุ แบบเดียวกับบาทที่ 1 บางครั้งก็พบฉันท์
ที่วรรคหน้าและวรรคหลังจำนวนคำเท่ากัน แถมวางครุลหุเหมือนกันอีก หยิบมาฝึก
ต่อคำเล่นได้สบาย ๆ เช่น
..........รูปแบบการวางครุ-ลหุ ของ มาณวกฉันท์ วรรคละ 4 คำ ครุล้อมลหุ 2 ไว้ตรง
กลาง วางเหมือนกันตลอดทุกวรรค จำวรรคเดียวใช้ได้ตลอด
เพลินอุรนัก.......จักจรไป.........ในชลธาร.........หาญจะดำลง.....ตรงขณะลอย
คอยนะสหาย........ว่ายก็สนุก........รุกก็จะเพลิน.....เกินจะประคอง....ลองนะพธู...ฯลฯ
ต่อคำกำหนดครุลหุ เลียนคณะมาณวกฉันท์ แบบนี้ก็แต่งมาณวกฉันท์ได้แน่
.............................มาณวฉันท์..............สรรคณะคำ
.............................สี่นะจะจำ................จังหวะละสอง
.............................ลงแหละนะคู่.............ดูกะทำนอง
.............................ตรงคณะคลอง...........อ่านก็เพราะดี
................................จังหวะเสนาะ...........เพราะขณะอ่าน
.............................เสียงจะผสาน.............รมย์จิตะมี
.............................ชื่นหทยา...................พาสุขศรี
..............................เย็นมนะที่..................ยินดุริยางค์
สาลินีฉันท์ 11 วรรคหน้าครุล้วน 5 คำ วรรคหลัง 6 คำ วางแบบ ลหุ-ครุครุ สองครั้งได้ 6 คำพอดี
.........ฝึกต่อปากต่อคำเพื่อใช้แต่งสาลินีฉันท์ ต่อคำครุล้วน 5 คำ และกลุ่ม 6 คำแบบลหุครุครุ-ลหุครุครุ
ครุล้วน 5 คำ......แต่งฉันท์เรื่องมาก.....ยากที่บังคับ....จับวรรคทั้งห้า....ว่าหนักล้วนล้วน สมควรต้องฝึก......ตรึกตรองจงดี......มีคำมากมาย......วุนวายจับมา.....ห้าคำต่อกลุ่ม
....ฝึกแบบ ลหุครุครุ-ลหุครุครุ กลุ่ม 6 คำ จะทำการก็นานนัก......มิรู้จักนะชื่อไร......สะใบเองนะคุณพี่
มิรอรีจะรีบไป.....ก็ใครเขาจะรอเธอ........มิอยากเก้อก็รีบมา.......ทำนาหว่านผสานกัน
............ฝึกการสรรหาคำที่กำหนดครุลหุ ตามแบบบังคับของสาลินีฉันท์ได้แล้วทั้ง กลุ่ม5คำ และกลุ่ม 6 คำ แสดงว่าจะลองแต่งสาลินีฉันท์ ก้น่าจะไม่ยากเกินไป
ฝึกแต่งสาลินีฉันท์
............สั่งสมคำมากมี.........จะลองดีตริแต่งฉันท์
..........วรรคหน้าห้าคำนั้น.......ก็หนักล้วนสลับไป
...........แถวหลังก็หกคำ.........ลหุนำมิสงสัย
...........ยากหน่อยก็ทนได้.......สติมาก็ยินดี
.............ฉันท์ชนิดอื่น ๆ จะนำมาฝึกต่อปากต่อคำ ก็นำแผนผังบังคับมากาง ตรวจดูการวางครุลหุ แต่ละวรรค วางอย่างไร มีกี่แบบ เลือกมาฝึกทีละแบบ ทำแค่สองสามฉันท์ก็เบื่อแล้ว เพราะเข้าใจแล้วว่า การ วางครุลหุแต่งฉันท์ ไม่ได้ยากเกินไป จากนั้นแค่ดูแผนผังก็ลงมือแต่งได้เลย ไป ๆมา ๆ ก็เหมือนแต่กาพย์กลอนนั่นแหละครับ ลองดูสิ
.......จากตัวอย่างดังกล่าว การศึกษาแบบแผนฉันท์ คงไม่มีใครจะจดจำได้หมดหรอกเพราะฉันท์ทืมีมากหลายชนิด (93)คงมีบางฉันท์ที่เคยใช้เป็นบทสวดมนต์บ้าง บทท่องจำอาขยานบ้าง ที่พอจดจำได้ ส่วนฉันท์ที่จำไม่ได้ก็ต้องพึ่งแผนผังมากางดูแล้วลงมือแต่งตาม ผมก็ใช้วิธีนี้แหละครับ
........เขียนถึงประสบการณ์ฝึกแต่งกลอนแปดครับ บางทีอาจเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากลองแต่แต่กล้า ๆ กลัว ๆ....... ผมเคยกลัวจนเลิกแต่งไปเลย เพิ่งมาหัดแต่งตอนอายุจะสามสิบ พอแต่งได้ก็เอาใหญ่เลย ได้นิราศหลายเรื่อง เบ็ดเตล็ดนับไม่ถ้วน คงหลายพันบทกลอน ตอนนี้คุยโม้ได้ว่า กลอนง่ายเกินไป เลยไม่ค่อยจะแต่ง หันไปแต่ง อย่างอื่นที่ยากกว่า อย่างฉันท์ที่ลือกันว่ายาก อยากรู้ว่ามันยากตรงไหน เจอจริง ๆ ยากเพราะบังคับ ลหุ ติด ๆ กันมาก กว่า 5 คำ แต่ก็ผ่านได้นะ เพราะเรารู้จักคำบาลีค่อนข้างเยอะ บทสวดต่าง ๆ เอามาใช้ได้สบาย ๆ อ้าว นอกเรื่องอีกแล้ว กำลังเล่าเรื่องหัดแต่งกลอนครับ.......
..........ผมนึกแผนผังบังคับกลอนไม่ได้ ผมจะนึกถึงบทกลอนที่เป็นบทอาขยาน เพื่อใช้เป็นแนวศึกษาแผนผังบังคับ บทที่จำได้ดี ได้แก่ บทกลอนพระดาบสสอนสุดสาคร
..........แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์...........มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
..........ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด.........ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน ฯ
...........(1) คณะกลอน ใช้คำวรรคละ 7-9 คำ ใช้ 8 คำ ใช้จังหวะคำแบบ 3-2-3 อ่านเพราะดี บาทหนึ่งมี 2 วรรค แต่ง 2 บาทเป็น 1 บท
............(2) สัมผัสบังคับ มีต่อเนื่องจากวรรค 1 ไปวรรค 2 ไปวรรค 3 และไปวรรค 4 ได้แก่คำท้ายวรรค คี่
คือวรรค 1 และวรรค 3 จะส่งสัมผัสให้วรรคคู่ คำที่ 3 จะเป็นคำรับสัมผัส คำท้ายวรรค คู่ คือวรรคที่ 2 กับวรรคที่ 4 ส่งสัมผัสต่างกัน คำท้ายวรรคที่ 2 ส่งให้คำท้ายวรรคที่ 3 ส่วนคำท้ายวรรคที่ 4 เป็นคำส่งสัมผัสให้บทถัดไป ถ้าแต่งต่อเนื่องมากกว่า 1 บท โปรดสังเกตแผนผัง...........
.........จากแผนผังช่วยให้เรารู้จักกลอนแปดได้ง่ายขึ้น ลูกกลม ๆแทน 1 คำ นับได้แปดคำเท่ากันทุกวรรค
มีแปดวรรคนั่นคือ กลอน 2 บท วงกลมสีเขียวคือคำที่ส่ง-รับสัมผัสกันตามลูกศรสีดำโยงให้ดู ถ้าแต่กลอนก็ใส่คำให้ครบตามแผนผัง นอกจากนี้ ยังต้องพยายามวางจังหวะคำให้อ่านได้แบบ 3-2-3 กลอนที่แต่งก็จะอ่านง่าย และจะอ่านได้เพราะยิ่งขึ้นถ้ามีสัมผัสในช่วย คือ
..........กลอนจะไพเราะถ้ามีสัมผัสในช่วย
..........(1) วรรคแถวหน้า คำที่ 3-4 นิยมสัมผัสสระ คำที่ 5-6/7 นิยมสัมผัสสระ
..........(2) วรรคแถวหลัง คำที่ 3 สัมผัสบังคับ ถ้าจะเล่นสัมผัสใน คำที่ 3 กุบคำที่ 4 ให้เล่นสัมผัสพยัญชนะแทน ส้วนคำที่ 5กับคำที่ 6/7 เล่นสัมผัสสระได้
.........ตัวอย่าง กลอนที่อ่านแล้วเพราะมาก ๆ เพราะเหตุใด
.........บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว...........สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
.........เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา.....................ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต
.........เเล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์...............มันเเสนสุดลึกลำเหลือกำหนด
.........ถึงเถาววัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด............ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในนำใจคน
........วรรคแรกสุดยอดเล่นสัมผัสใน ด-ด ง-ง-ว-ว-ว เหง่ง-เวง
........วรรคที่ 3 คี-ขี่ รุ้ง-พุ่ง
.........วรรคที่ 5 ว่า-อย่า ไว้-ใจ
........วรรคที่ 7 วัลย์-พัน เกี่ยว-เลี้ยว
วรรคแถวหลัง คิอวรรที่ 2 4 6 และ 8
.........คำที่ 3 สัมผัสบังคับ ไม่เล่นสัมผัสใน
.........วรรคที่ 2 มี แล้ว-เหลียว-แล และ แล-แง้
.........วรรคที่ 4 มี 2 จน-บน และ บน-บรร
.........วรรคที่ 6 แสน-สุด ลึก-ล้ำ-เหลือ ล้ำ-กำ
.........วรรคที่ 8 หนึ่ง-ใน-น้ำ
.........จะเห็นมีสัมผัสในทุกวรรค วรรคที่มี 2 คู่ / กลุ่ม จะอ่านเพราะมากกว่ามีกลุ่มเดียว
สรุปเป็นหลักเกณฑ์การแต่งกลอน แปด ดังนี้
.........(1) แต่งวรรคละ 8 คำ จังหวะ 3 - 2 - 3
.........(2) วรรคคี่ แถวหน้า สัมผัสพยัญชนะ เล่นได้ทุกตำแหน่ง ส่วนสัมผัสสระ คำที่ 3 กับคำที่ 4 และคำที่ 5 กับคำที่ 6 หรือ 7
........(2) วรรคคู่ แถวหลัง คำที่ 3 เป็นสัมผัสบังคับ แต่ละเล่นสัมผัสในก็ได้ ให้เป็น สัมผัสพยัญชนะแทน ส่วนคำที่ 5 กับคำที่ 6 / 7 เล่นสัมผัสสระได้ตามปกติ
..........เสียงวรรณยุกต์คำท้ายวรรคกลอนแปด
วรรคที่ 1 หรือวรรคสดับ สามารถใช้ได้ทุกเสียงวรรณยุกต์ แต่ที่ถือว่าไม่ไพเราะ
วรรคที่ 2 หรือวรรครับ ใช้เสียงวรรณยุกต์ จัตวา โท เอก (เรียงลำดับความไพเราะ จากมากไปหาน้อย ) ห้ามเสียงสามัญ และตรี
วรรคที่ 3 หรือวรรครอง ให้ใช้แค่เสียงสามัญ และอนุโลมตรีได้ จึงนิยมใช้กันทั้งสองเสียง
วรรคที่ 4 หรือวรรคส่ง ให้ใช้เสียงสามัญ และอนุโลมให้ใช้เสียงตรีได้ เช่นเดียวกับวรรครอง
...........คำรับสัมผัสบังคับ
...........คำประสมสระตัวเดียวกันในแม่ กา-กา
...........เช่นประสมสระอา อา ขา กา มา นา อา
...........สระอะ เช่น นะ คะ จะ ปะ ระยะ พระ กะ
...........สระอิ ติ ริ จิ บิ ชิ
.......... สระอุ กุ รุ จุ ชุ ตุ ดุ
...........คำประสมสระเดียวมีตัวสะกดต้องมาตราเดียวกัน จะรับ-ส่งสัมผัสได้
...........นาง บาง กลาง ยาง สระ อา + แม่ กง
...........นาย ตาย ชาย ยาย ลาย สระ อา+แม่เกย
...........บุญ คุณ ลุน ตุน ดุน สระอุ + แม่ กน
...........กุด รุด หยุด ปุด นุช สระ อุ+แม่กด
............กูด พูด รูด หูด ปูด ตูด สระอู + แม่กด
..............1. จังหวะกลอน เนื่องจากการแต่งกลอนมีคนนิยมใช้คำแตกต่างกันไป วรรค 6 -7 คำบ้าง 8 คำ นี่มาตรฐาน และ 9 คำ ถือว่ามากที่สุด จนมีคำอธิบายว่าใช้คำวรรคละ 6-9 คำ จึงขอแนะนำจังหวะกลอน ไว้รวม ๆ ไปเลยคือ.....ถ้าแต่งวรรคละ 6 คำ ควรใช้ 2-2-2 อ่านเพราะดี ถ้า วรรคละ 7 คำ จะเป็น 2-2-3 3-2-2 หรือ 2-3-2 ตามใจชอบ แต่ควรเลือกสม่ำเสมอ เพราะคนอ่านไม่มีเวลา ตรวจจังหวะก่อนอ่านหรอก อ่านสะดุดก็ตำหนิเลยว่า..กลอนไม่รื่นไหล กลอนวรรคละ 8 คำ วาง 3-2-3 นั่นแหละดีที่สุด วรรคละ 9 คำก็ 3-3-3 ควรใช้จังหวะที่นิยมแต่งกัน ในที่นี้จะยึด กลอนแปด แบบ 3-2-3 เป็นหลัก เพราะคนนิยมมากกว่าแบบอื่น
............จังหวะกลอนสำคัญมาก แต่งกลอนให้คนอื่นอ่าน ต้องเลือกแบบที่คนนิยมทั่วไป จะ แต่งแบบเราชอบคนเดียวไม่เหมาะ จังหวะก็คือเลือกคำที่ออกเสียงครบตามจังหวะ เช่นจะแต่ง ให้ลงตัววรรคละ 3-2-3 คำ คำที่แต่งต้องอ่านได้ 3 พยางค์ จบความ อ่านต่อ 2 พยางค์ จบ ความและอ่านอีก 3 พยางค์จบความ แบบนี้เรียกจัดคำเป็นแบบ 3-2-3 เช่น
..............จะแต่งกลอนสอนใจให้ลูกหลาน ลงตัว 3-2-3 อ่านง่าย
...............จะแต่งบทกลอนสอนใจให้ลูกหลาน คำ บทกลอน ต้องอ่านติดกันกลายเป็นคร่อม จังหวะทำให้อ่านไม่เพราะ กลายเป็น 4-2-3 ตัดคำ จะ ออก จะรู้ทันทีว่าอ่านคล่องกว่ากัน
..............2. ลงท้ายวรรคสดับด้วยคำตาย ไม่ได้ผิด แต่ทำให้รู้สึกอึดอัด หาคำสัมผัสยาก ขอฝากกลอนวอนนุชสุดที่รัก........ด้วยใจภักดิ์นวลศรีเป็นที่(สุด) รุด คุด ดุจ ผุด พุทธ วุฒิ หาได้แต่เรียบเรียงยากจริง ๆ
..............ขอส่งพรวันเกิดประเสริฐสุด...........ถึงนงนุชขวัญตายุพาพักตร์
..............อายุมั่นขวัญยืนเถิดที่รัก.................พึงประจักษ์คณานับทรัพย์ศฤงคาร ฯ
...............สุด พักตร์ รัก เป็นคำตาย เอามาลงท้ายวรรค ทำให้หาคำมารับสัมผัสยาก
..............3. ในวรรคที่ต้องรับสัมผัส มีหลายคำรับสัมผัสได้ ถือเป็นข้อบกพร่องมาก ๆ
.............จะทักทายรายวันสรรค์เสกสาร..............กราบเทพวานบันดาลพรเสริมศรี
.........แม่มารีตรีรัตน์อวยฤทธี........................ขอจงมีทวีโชคลาภสักการ ฯ
คำสารส่ง....รับด้วยคำ วาน แถมมี ดาลอีก ถือเป็นข้อบกพร่องคนแต่ง
คำ ศรี ส่ง.....รับด้วยคำ ฤทธี แต่มีคำ มารี ตรี ขวางหน้าอยู่ บกพร่องมาก ๆ
คำ ฤทธีส่งสัมผัส ....รับด้วยคำ มี แถม ทวีอีกคำ หักคะแนนกระจุยเลยเพราะบกพร่อง
..............4.ใช้คำประสมสระเดียวกันจริง แต่คนละมาตราสะกด ใช้สัมผัสบังคับไม่ได้
..............เป็นเด็กน้อยค่อยขยันมุ่งมั่นเขียน..........ให้ทันเทียมเพื่อนพ้องคล่องศึกษา
..............ขยันกิจการบ้านงานนำพา.....................ฝึกวิญญาณฉลาดเฉลียวเชียวชาญเชาวน์
คำ เขียนส่งสัมผัส รับด้วยคำ เทียม สระเอียเหมือนกัน แต่คนละมาตราสะกด บกพร่องมาก
คำ นำพา ส่งสัมผัส ....รับด้วยคำ วิญญาณ สระอาเหมือนกัน แต่คนละมาตราสะกด ใช้ไม่ได้
..............5. เล่นสัมผัสในคำที่ 3-4 ในวรรคคู่ เป็นตำแหน่งสัมผัสบังคับ ห้ามเล่นสัมผัสในสระ
อยากเล่นให้ใช้สัมผัสพยัญชนะแทน
..............ขยันเล่นเป็นกลอนอักษรศิลป์................พอยลยินรินคำทำนองสรรค์
..............ลหุครุลองปลูกจับผูกพัน.......................เก่าะก่ายกันนันทนาเวลาฟัง ฯ
..............วรรค 2 คำ ยิน สัมผัสบังคับ อยากเล่นสัมผัสใน เอาคำ ริน มาต่อ ได้เรื่อง กลาย
เป็นสัมผัสเลือนทันที กลอนมีแผล 1 แผล คำ กัน วรรคที่สี่ สัมผัสบังคับ เล่นสัมผัสในอีก เอา
คำนันทนามาต่อ ได้สัมผัสเลือนอีก เป็น 2 แผล แก้ไข.....
..............ขยันเล่นเป็นกลอนอักษรศิลป์................พอยลยินแยกคำทำนองสรรค์
..............ลหุครุลองปลูกจับผูกพัน.......................เก่าะก่ายกันกลมกลืนรื่นยามฟัง ฯ
ยิน อยากเล่นสัมผัสใน เอาเสียง ย มาสัมผัสเป็น ยิน-แยก คำ กัน เอาเสียง กล มาสัมผัส
กลายเป็นเสียง ก 5 คำ ติด ๆ เจ๋งเป้งไปเลย
..............6. ชอบใช้คำเสียงคล้ายกันมารับส่งสัมผัสกัน ทั้งที่เป็นคนละเสียง ใช้ไม่ได้
.............ชมลำธารใสเย็นเห็นตัวปลา...................ว่ายไปมาทวนกระแสแลน้ำใส
.............นั่นปลาหลดกดคังหลังปลากราย..............ทวนน้ำไหลงดงามตามสายชล
.............นึกว่า กราย เป็นเสียง ไอ เอามารับคำ ใส ส่งไปให้คำ ไหล ผิดเต็มร้อย
.............7. ชอบใช้คำมีรูปวรรณยุกต์ เอก หรือโท ท้ายวรรคที่ 2 หรือวรรคที่ 3 โบราณ
เรียก ละลอกทับ ละลอกฉลอง
.............ปลากระดี่รีมาท่าระรื่น......................ปลาหมอตื่นตกใจอะไรนี่
.............ปลาชะโดคึกโครมเข้าโจมตี..............ดับกระดี่อนิจจังสังขารา
........ระรื่น คำเอก นี่ คำเอก ไม่ผิด แต่คนโบราณท่านตำหนิ ระวังบ้างก็ดี
.............คุยถึงการแ
แต่งกลอนช่วงนี้ ใกล้วันสุนทรภู่ 26 มิถนายน 2561 ครับ คงจะเป็นเทศกาล
ชักชวนนักเรียนนักศึกษาแต่งกลอนได้เป็นอย่างดี เลยขอฝากเทคนิคการเขียนกลอนแปดไว้
ให้อ่านกันเล่น แต่เอาไปใช้ได้จริงครับ ส่วนผมก็คงเขียนร้อยกรองอย่างอื่นที่มิใช่กลอน ร่วม
กิจกรรมวันสุนทรภู่ กำลังเลือกอยู่ว่าจะใช้อะไรดี โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลิลิต ก็คงจะ
วนเวียนอยู่ตามนี้แหละ หัวข้อนี้ขอจบละครับ