-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
| ธรรมวิภาคนักธรรมตรี |
||
ทุกะ คือ หมวด ๒ |
||
| ธรรมมีอุปการะมาก ๒ อย่าง | ||
| ๑. สติ ความระลึกได้. | ||
| ๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว. | ||
| องฺ. ทุก. ๒๐/๑๑๙. ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๐. | ||
| ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลก ๒ อย่าง | ||
| ๑. หิริ ความละอายแก่ใจ. | ||
| ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว. | ||
| องฺ. ทุก. ๒๐/๖๕. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๕๗. | ||
| ธรรมอันทำให้งาม ๒ อย่าง | ||
| ๑. ขันติ ความอดทน. | ||
| ๒. โสรัจจะ ความเสงี่ยม. | ||
| องฺ. ทุก. ๒๐/๑๑๘. วิ. มหา. ๕/๓๓๕. | ||
| บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง | ||
| ๑. ปุพพการี บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน. | ||
| ๒. กตัญญูกตเวที บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และ ตอบแทน. | ||
| องฺ ทุก. ๒๐/๑๐๙. | ||
| ติกะ คือ หมวด ๓ | ||
| รตนะ ๓ อย่าง พระพุทธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑. | ||
| ๑. ท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ที่ท่านเรียกว่า | ||
| พระพุทธศาสนา ชื่อพระพุทธเจ้า. | ||
| ๒. พระธรรมวินัยที่เป็นคำสั่งสอนของท่าน ชื่อพระธรรม. | ||
| ๓. หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ชื่อพระสงฆ์. | ||
| ขุ. ขุ. ๒๕/๑. | ||
| คุณของรตนะ ๓ อย่าง | ||
| พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย. | ||
| พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว. | ||
| พระสงฆ์ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้กระทำตามด้วย. | ||
| อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ อย่าง | ||
| ๑. ทรงสั่งสอน เพื่อจะให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น. | ||
| ๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้. | ||
| ๓. ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ. | ||
| นัย. องฺ. ติก. ๒๐/๓๕๖. | ||
| โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่าง | ||
| ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วด้วย กาย วาจา ใจ. | ||
| ๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ. | ||
| ๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น. | ||
| ที. มหา. ๑๐/๕๗. | ||
| ทุจริต ๓ อย่าง | ||
| ๑. ประพฤติชั่วด้วยกาย เรียกกายทุจริต. | ||
| ๒. ประพฤติชั่วด้วยวาจา เรียกวจีทุจริต. | ||
| ๓. ประพฤติชั่วด้วยใจ เรียกมโนทุจริต. | ||
| กายทุจริต ๓ อย่าง | ||
| ฆ่าสัตว์ ๑ | ||
| ลักฉ้อ ๑ | ||
| ประพฤติผิดในกาม ๑. | ||
| วจีทุจริต ๔ อย่าง | ||
| พูดเท็จ ๑ | ||
| พูดส่อเสียด ๑ | ||
| พูดคำหยาบ ๑ | ||
| พูดเพ้อเจ้อ ๑. | ||
| มโนทุจริต ๓ อย่าง | ||
| โลภอยากได้ของเขา ๑ | ||
| พยาบาทปองร้ายเขา ๑ | ||
| เห็นผิดจากคลองธรรม ๑. | ||
| ทุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจไม่ควรทำ ควรจะละเสีย. | ||
| องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓. | ||
| สุจริต ๓ อย่าง | ||
| ๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรียกกายสุจริต. | ||
| ๒. ประพฤติชอบด้วยวาจา เรียกวจีสุจริต. | ||
| ๓. ประพฤติชอบด้วยใจ เรียกมโนสุจริต. | ||
| กายสุจริต ๓ อย่าง | ||
| เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑ | ||
| เว้นจากลักทรัพย์ ๑ | ||
| เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑. | ||
| วจีสุจริต ๔ อย่าง | ||
| เว้นจากพูดเท็จ ๑ | ||
| เว้นจากพูดส่อเสียด ๑ | ||
| เว้นจากพูดคำหยาบ ๑ | ||
| เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ๑. | ||
| มโนสุจริต ๓ อย่าง | ||
| ไม่โลภอยากได้ของเขา ๑ | ||
| ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๑ | ||
| เห็นชอบตามคลองธรรม ๑. | ||
| สุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจควรทำ ควรประพฤติ. | ||
| องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓. | ||
| อกุศลมูล ๓ อย่าง | ||
| รากเง่าของอกุศล เรียกอกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ | ||
| โลภะ อยากได้ ๑ | ||
| โทสะ คิดประทุษร้ายเขา ๑ | ||
| โมหะ หลงไม่รู้จริง ๑. | ||
| เมื่ออกุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว | ||
| ก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรละเสีย. | ||
| ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๑. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๖๔. | ||
| กุศลมูล ๓ อย่าง | ||
| รากเง่าของกุศล เรียกกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ | ||
| อโลภะ ไม่อยากได้ ๑ | ||
| อโทสะ ไม่คิดประทุษร้ายเขา ๑ | ||
| อโมหะ ไม่หลง ๑ | ||
| ถ้ากุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว กุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็ | ||
| เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรให้เกิดมีในสันดาน. | ||
| ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๒. | ||
| สัปปุริสบัญญัติ คือข้อที่ท่านสัตบุรุษตั้งไว้ ๓ อย่าง | ||
| ๑. ทาน สละสิ่งของของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น. | ||
| ๒. ปัพพัชชา คือบวช เป็นอุบายเว้นจากเบียดเบียนกันและกัน. | ||
| ๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข. | ||
| องฺ. ติก. ๒๐/๑๙๑. | ||
| อปัณณกปฏิปทา คือปฏิบัติไม่ผิด ๓ อย่าง | ||
| ๑. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป | ||
| ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ. | ||
| ๒. โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไม่มากไม่น้อย. | ||
| ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพื่อจะชำระใจให้หมดจด ไม่เห็นแก่นอนมากนัก. | ||
| องฺ. ติก. ๒๐/๑๔๒. | ||
| บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง | ||
| สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ เรียกบุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง | ||
| ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน. | ||
| ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล. | ||
| ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา. | ||
| ขุ. อิติ. ๒๕/๒๗๐. องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๕. | ||
| สามัญญลักษณะ ๓ อย่าง | ||
| ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง เรียกสามัญญลักษณะ ไตรลักษณะก็เรียก แจกเป็น ๓ อย่าง | ||
| ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง. | ||
| ๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์. | ||
| ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน. | ||
| สํ. สฬ. ๑๘/๑. | ||
| จตุกกะ คือ หมวด ๔ | ||
| วุฑฒิ คือธรรมเป็นเครื่องเจริญ ๔ อย่าง | ||
| ๑. สัปปุริสสังเสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ที่เรียกว่าสัตบุรุษ. | ||
| ๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพ. | ||
| ๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ. | ||
| ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว. | ||
| องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๓๓๒. | ||
| จักร ๔ | ||
| ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร. | ||
| ๒. สัปปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ. | ||
| ๓. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ. | ||
| ๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน. | ||
| ธรรม ๔ อย่างนี้ ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ. | ||
| องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๔๐. | ||
| อคติ ๔ | ||
| ๑. ลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เรียกฉันทาคติ. | ||
| ๒. ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียกโทสาคติ. | ||
| ๓. ลำเอียงเพราะเขลา เรียกโมหาคติ. | ||
| ๔. ลำเอียงเพราะกลัว เรียกภยาคติ. | ||
| อคติ ๔ ประการนี้ ไม่ควรประพฤติ. | ||
| องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๓. | ||
| อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ๔ อย่าง | ||
| ๑. อดทนต่อคำสอนไม่ได้ คือเบื่อต่อคำสั่งสอนขี้เกียจทำตาม. | ||
| ๒. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากไม่ได้. | ||
| ๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป. | ||
| ๔. รักผู้หญิง | ||
| ภิกษุสามเณรผู้หวังความเจริญแก่ตน ควรระวังอย่าให้อันตราย ๔ อย่างนี้ย่ำยีได้. | ||
| องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๕. | ||
| ปธาน คือความเพียร ๔ อย่าง | ||
| ๑. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน. | ||
| ๒. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว. | ||
| ๓. ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน. | ||
| ๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม. | ||
| ความเพียร ๔ อย่างนี้ เป็นความเพียรชอบ ควรประกอบให้มีในตน. | ||
| องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๐. | ||
| อธิษฐานธรรม คือธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อย่าง | ||
| ๑. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้. | ||
| ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง. | ||
| ๓. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ. | ||
| ๔. อุปสมะ สงบใจจากสิ่งเป็นข้าศึกแก่ความสงบ. | ||
| ม. อุป. ๑๔/๔๓๗. | ||
| อิทธิบาท คือคุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ อย่าง | ||
| ๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น. | ||
| ๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น. | ||
| ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ. | ||
| ๔. วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น. | ||
| คุณ ๔ อย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคลให้ถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งไม่เหลือวิสัย. | ||
| อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๒๙๒. | ||
| ควรทำความไม่ประมาทในที่ ๔ สถาน | ||
| ๑. ในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต. | ||
| ๒. ในการละวจีทุจริต ประพฤติวจีสุจริต. | ||
| ๓. ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต. | ||
| ๔. ในการละความเห็นผิด ทำความเห็นให้ถูก. | ||
| อีกอย่างหนึ่ง | ||
| ๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด. | ||
| ๒. ระวังใจไม่ให้ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง. | ||
| ๓. ระวังใจไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง. | ||
| ๔. ระวังใจไม่ให้มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา. | ||
| องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๑. | ||
| ปาริสุทธิศีล ๔ | ||
| ๑. ปาติโมกขสังวร สำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์อนุญาต. | ||
| ๒. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป | ||
| ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏัฐพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ. | ||
| ๓. ปาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต. | ||
| ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสียก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช | ||
| ไม่บริโภคด้วยตัณหา. | ||
| วิ. สีล. ปม. ๑๙. | ||
| อารักขกัมมัฏฐาน ๔ | ||
| ๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่มีในพระองค์และทรงเกื้อกูลแก่ผู้อื่น. | ||
| ๒. เมตตา แผ่ไม่ตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า. | ||
| ๓. อสุภะ พิจารณาร่างกายตนและผู้อื่นให้เห็นเป็นไม่งาม. | ||
| ๔. มรณัสสติ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตน. | ||
| กัมมัฏฐาน ๔ อย่างนี้ ควรเจริญเป็นนิตย์. | ||
| พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ. | ||
| พรหมวิหาร ๔ | ||
| ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข. | ||
| ๒. กรุณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์. | ||
| ๓. มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี. | ||
| ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ. | ||
| ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่. | ||
| อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๓๖๙. | ||
| สติปัฏฐาน ๔ | ||
| ๑. กายานุปัสสนา ๒. เวทนานุปัสสนา ๓. จิตตานุปัสสนา ๔. ธัมมานุปัสสนา. | ||
| สติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา | ||
| เขา เรียกกายานุปัสสนา. | ||
| สติกำหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา | ||
| ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกเวทนานุปัสสนา. | ||
| สติกำหนดพิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแล้ว เป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ | ||
| บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกจิตตานุปัสสนา. | ||
| สติกำหนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล ที่บังเกิดกับใจ เป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม | ||
| ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกธัมมานุปัสสนา. | ||
| ที. มหา. ๑๐/๓๒๕. | ||
| ธาตุกัมมัฏฐาน ๔ | ||
| ธาตุ ๔ คือ | ||
| ธาตุดิน เรียกปฐวีธาตุ | ||
| ธาตุน้ำ เรียกอาโปธาตุ | ||
| ธาตุไฟ เรียกเตโชธาตุ | ||
| ธาตุลม เรียกวาโยธาตุ. | ||
| ธาตุอันใดมีลักษณะแข้นแข็ง ธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุ ปฐวีธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ผม ขน เล็บ | ||
| ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย | ||
| อาหารใหม่ อาหารเก่า. | ||
| ธาตุอันใดมีลักษณะเอิบอาบ ธาตุนั้นเป็นอาโปธาตุ อาโปธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ดี เสลด | ||
| หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร. | ||
| ธาตุอันใดมีลักษณะร้อน ธาตุนั้นเป็นเตโชธาตุ เตโชธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น | ||
| ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย. | ||
| ธาตุอันใดมีลักษณะพัดไปมา ธาตุนั้นเป็นวาโยธาตุ วาโยธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน | ||
| ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ. | ||
| ความกำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ | ||
| ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรียกว่าธาตุกัมมัฏฐาน. | ||
| ม. อุป. ๑๔/๔๓๗. | ||
| อริยสัจ ๔ | ||
| ๑. ทุกข์ | ||
| ๒. สมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด | ||
| ๓. นิโรธ คือความดับทุกข์ | ||
| ๔. มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์. | ||
| ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ได้ชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็นของทานได้ยาก. | ||
| ตัณหาคือความทะยานอยาก ได้ชื่อว่าสมุทัย เพราะเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด. | ||
| ตัณหานั้น มีประเภทเป็น ๓ คือตัณหาความอยากในอารมณ์ที่น่ารักใคร่ เรียกว่ากามตัณหาอย่าง ๑ | ||
| ตัณหาความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ เรียกว่าภวตัณหาอย่าง ๑ ตัณหาความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ | ||
| เรียกว่าวิภวตัณหาอย่าง ๑. | ||
| ความดับตัณหาได้สิ้นเชิง ทุกข์ดับไปหมด ได้ชื่อว่านิโรธ เพราะเป็นความดับทุกข์. | ||
| ปัญญาอันชอบว่าสิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนี้เหตุให้ทุกข์เกิด สิ่งนี้ความดับทุกข์ สิ่งนี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ | ||
| ได้ชื่อว่ามรรค เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์. | ||
| มรรคนั้นมีองค์ ๘ ประการ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ | ||
| เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทำความเพียรชอบ ๑ ตั้งสติชอบ ๑ ตั้งใจชอบ ๑. | ||
| อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑๒๗. | ||
| ปัญจกะ คือ หมวด ๕ | ||
| อนันตริยกรรม ๕ | ||
| ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา. | ||
| ๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา. | ||
| ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์. | ||
| ๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป. | ||
| ๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน. | ||
| กรรม ๕ อย่างนี้ เป็นบาปอันหนักที่สุด ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ตั้งอยู่ในฐานปาราชิกของผู้ถือ | ||
| พระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเป็นเด็ดขาด. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๖๕. | ||
| อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ | ||
| ๑. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้. | ||
| ๒. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้. | ||
| ๓. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้. | ||
| ๔. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น. | ||
| ๕. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๘๑. | ||
| เวสารัชชกรณธรรม คือ ธรรมทำความกล้าหาญ ๕ อย่าง | ||
| ๑. สัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ. | ||
| ๒. สีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย. | ||
| ๓. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ศึกษามาก. | ||
| ๔. วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร. | ||
| ๕. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๔๔. | ||
| องค์แห่งภิกษุใหม่ ๕ อย่าง | ||
| ๑. สำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต. | ||
| ๒. สำรวมอินทรีย์ คือ ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้ ในเวลา | ||
| ที่เห็นรูปด้วยนัยน์ตาเป็นต้น. | ||
| ๓. ความเป็นคนไม่เอิกเกริกเฮฮา. | ||
| ๔. อยู่ในเสนาสนะอันสงัด. | ||
| ๕. มีความเห็นชอบ. | ||
| ภิกษุใหม่ควรตั้งอยู่ในธรรม ๕ อย่างนี้. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๕๕. | ||
| องค์แห่งธรรมกถึก คือ นักเทศก์ ๕ อย่าง | ||
| ๑. แสดงธรรมไปโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ. | ||
| ๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ. | ||
| ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง. | ||
| ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ. | ||
| ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือว่า ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น. | ||
| ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก พึงตั้งองค์ ๕ อย่างนี้ไว้ในตน. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๐๖. | ||
| ธัมมัสสวนานิสงส์ คือ อานิสงส์แห่งการฟังธรรม ๕ อย่าง | ||
| ๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง. | ||
| ๒. สิ่งใดได้เคยฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชัด ย่อมเข้าใจสิ่งนั้นชัด. | ||
| ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้. | ||
| ๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้. | ||
| ๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๗๖. | ||
| พละ คือธรรมเป็นกำลัง ๕ อย่าง | ||
| ๑. สัทธา ความเชื่อ. | ||
| ๒. วิริยะ ความเพียร. | ||
| ๓. สติ ความระลึกได้. | ||
| ๔. สมาธิ ความตั้งใจมั่น. | ||
| ๕. ปัญญา ความรอบรู้. | ||
| อินทรีย์ ๕ ก็เรียก เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๑. | ||
| นิวรณ์ ๕ | ||
| ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี เรียกนิวรณ์ มี ๕ อย่าง | ||
| ๑. พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น เรียกกามฉันท์. | ||
| ๒. ปองร้ายผู้อื่น เรียกพยาบาท. | ||
| ๓. ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม เรียกถีนมิทธะ. | ||
| ๔. ฟุ้งซ่านและรำคาญ เรียกอุทธัจจกุกกุจจะ. | ||
| ๕. ลังเลไม่ตกลงได้ เรียกวิจิกิจฉา. | ||
| องฺ. ปฺจก. ๒๒/๗๒. | ||
| ขันธ์ ๕ | ||
| กายกับใจนี้ แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรียกว่าขันธ์ ๕ | ||
| ๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สัญญา ๔. สังขาร ๕. วิญญาณ. | ||
| ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันเป็นกายนี้ เรียกว่ารูป. | ||
| ความรู้สึกอารมณ์ว่า เป็นสุข คือ สบายกายสบายใจ หรือเป็นทุกข์ คือไม่สบายกายไม่สบายใจ | ||
| หรือเฉย ๆ คือไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่าเวทนา. | ||
| ความจำได้หมายรู้ คือ จำรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ที่เกิดกับใจได้ เรียกว่าสัญญา. | ||
| เจตสิกธรรม คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ (๑) เป็นส่วนดี เรียกกุศล เป็นส่วนชั่ว เรียกอกุศล เป็นส่วนกลาง ๆ | ||
| ไม่ดีไม่ชั่ว เรียกอัพยากฤต เรียกว่าสังขาร. | ||
| ความรู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตาเป็นต้น เรียกว่าวิญญาณ. | ||
| ขันธ์ ๕ นี้ ย่นเรียกว่า นาม รูป. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเข้าเป็นนาม รูปคงเป็นรูป. | ||
| อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑. | ||
| ๑. ความคิด หรือเรื่องราวที่เรียกว่าธรรมะหรือธรรมารมณ์ เรียกว่า สังขาร. | ||
| ฉักกะ คือ หมวด ๖ | ||
| คารวะ ๖ อย่าง | ||
| ความเอื้อเฟื้อ ในพระพุทธเจ้า ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ | ||
| ในปฏิสันถารคือต้อนรับปราศรัย ๑. ภิกษุควรทำคารวะ ๖ ประการนี้. | ||
| องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๓๖๙. | ||
| สาราณิยธรรม ๖ อย่าง | ||
| ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง เรียกสาราณิยธรรม มี ๖ อย่าง คือ :- | ||
| ๑. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วย | ||
| ขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยกาย มีพยาบาลภิกษุไข้เป็นต้น ด้วยจิตเมตตา. | ||
| ๒. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วย | ||
| ขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยวาจา เช่นกล่าวสั่งสอนเป็นต้น ด้วยจิตเมตตา. | ||
| ๓. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง | ||
| คือ คิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนกัน. | ||
| ๔. แบ่งปันลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรม ให้แก่เพื่อนภิกษุสามเณร ไม่หวงไว้บริโภคจำเพาะผู้เดียว. | ||
| ๕. รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่ทำตนให้เป็นที่รังเกียจของผู้อื่น. | ||
| ๖. มีความเห็นร่วมกันกับภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่วิวาทกับใคร ๆ เพราะมีความเห็นผิดกัน. | ||
| ธรรม ๖ อย่างนี้ ทำผู้ประพฤติให้เป็นที่รักที่เคารพของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน | ||
| เป็นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. | ||
| องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๓๒๒. | ||
| อายตนะภายใน ๖ | ||
| ตา | ||
| หู | ||
| จมูก | ||
| ลิ้น | ||
| กาย | ||
| ใจ. | ||
| อินทรีย์ ๖ ก็เรียก. | ||
| ม. ม. ๑๒/๙๖. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕. | ||
| อายตนะภายนอก ๖ | ||
| รูป | ||
| เสียง | ||
| กลิ่น | ||
| รส | ||
| โผฏฐัพพะ คืออารมณ์ที่มาถูกต้องกาย | ||
| ธรรม คืออารมณ์เกิดกับใจ. | ||
| อารมณ์ ๖ ก็เรียก. | ||
| ม. อุป. ๑๔/๔๐๑. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕. | ||
| วิญญาณ ๖ | ||
| อาศัยรูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น เรียกจักขุวิญญาณ | ||
| อาศัยเสียงกระทบหู เกิดความรู้ขึ้น เรียกโสตวิญญาณ | ||
| อาศัยกลิ่นกระทบจมูก เกิดความรู้ขึ้น เรียกฆานวิญญาณ | ||
| อาศัยรสกระทบลิ้น เกิดความรู้ขึ้น เรียกชิวหาวิญญาณ | ||
| อาศัยโผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรู้ขึ้น เรียกกายวิญญาณ | ||
| อาศัยธรรมเกิดกับใจ เกิดความรู้ขึ้น เรียกมโนวิญญาณ. | ||
| ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕. | ||
| สัมผัส ๖ | ||
| อายตนะภายในมีตาเป็นต้น อายตนะภายนอกมีรูปเป็นต้น วิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น กระทบกัน | ||
| เรียกสัมผัส มีชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ :- | ||
| จักขุสัมผัส. | ||
| โสตสัมผัส. | ||
| ฆานสัมผัส. | ||
| ชิวหาสัมผัส. | ||
| กายสัมผัส. | ||
| มโนสัมผัส. | ||
| ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. สํ. นิ. ๑๖/๔. | ||
| เวทนา ๖ | ||
| สัมผัสนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ ไม่สุขบ้าง มีชื่อตามอายตนะ | ||
| ภายในเป็น ๖ คือ :- | ||
| จักขุสัมผัสสชาเวทนา | ||
| โสตสัมผัสสชาเวทนา | ||
| ฆานสัมผัสสชาเวทนา | ||
| ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา | ||
| กายสัมผัสสชาเวทนา | ||
| มโนสัมผัสสชาเวทนา | ||
| ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. สํ. นิ. ๑๖/๔. | ||
| ธาตุ ๖ | ||
| ๑. ปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน. | ||
| ๒. อาโปธาตุ คือ ธาตุน้ำ. | ||
| ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ. | ||
| ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม. | ||
| ๕. อากาสธาตุ คือ ช่องว่างมีในกาย. | ||
| ๖. วิญญาณธาตุ คือ ความรู้อะไรได้. | ||
| ม. อุป. ๑๔/๑๒๕. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑๐๑. | ||
| สัตตกะ คือ หมวด ๗ | ||
| อปริหานิยธรรม ๗ อย่าง | ||
| ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว ชื่อ อปริหานิยธรรม มี ๗ อย่าง คือ :- | ||
| ๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์. | ||
| ๒. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุม ก็พร้อมเพรียงกันเลิก และพร้อมเพรียงกัน | ||
| ช่วยทำกิจที่สงฆ์จะต้องทำ. | ||
| ๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สาทานศึกษา | ||
| อยู่ในสิกขาบทตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้. | ||
| ๔. ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน. | ||
| ๕. ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น. | ||
| ๖. ยินดีในเสนาสนะป่า. | ||
| ๗. ตั้งใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณรซึ่งเป็นผู้มีศีลซึ่งยังไม่มาสู่อาวาสขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุข. | ||
| ธรรม ๗ อย่างนี้ ตั้งอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นไม่มีความเสื่อมเลย มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว. | ||
| องฺ. สตฺตก. ๒๓/๒๑. | ||
| อริยทรัพย์ ๗ | ||
| ทรัพย์ คือ คุณความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริฐ เรียก อริยทรัพย์ มี ๗ อย่าง คือ :- | ||
| ๑. สัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ. | ||
| ๒. สีล รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย. | ||
| ๓. หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต. | ||
| ๔. โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป. | ||
| ๕. พาหุสัจจะ ความเป็นคนเคยได้ยินได้ฟังมามาก คือจำทรงธรรมและรู้ศิลปวิทยามาก. | ||
| ๖. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน. | ||
| ๗. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์. | ||
| อริยทรัพย์ ๗ ประการนี้ ดีกว่าทรัพย์ภายนอก มีเงินทองเป็นต้น ควรแสวงหาไว้มีในสันดาน. | ||
| องฺ. สตฺตก. ๒๓/๕. | ||
| สัปปุริสธรรม ๗ อย่าง | ||
| ธรรมของสัตบุรุษ เรียกว่า สัปปุริสธรรม มี ๗ อย่าง คือ :- | ||
| ๑. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ เช่นรู้จักว่า สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งสุข สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์. | ||
| ๒. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล เช่นรู้จักว่า สุขเป็นผลแห่งเหตุอันนี้ ทุกข์เป็นผลแห่งเหตุอันนี้. | ||
| ๓. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตนว่า เราว่าโดยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ สมบัติ บริวาร ความรู้ | ||
| และคุณธรรมเพียงเท่านี้ ๆ แล้วประพฤติ ตนให้สมควรแก่ที่เป็นอยู่อย่างไร. | ||
| ๔. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิตแต่โดยทางที่ชอบ | ||
| และรู้จักประมาณในการบริโภคแต่พอควร. | ||
| ๕. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในอันประกอบกิจนั้น ๆ. | ||
| ๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประชุมชน และกิริยาที่จะต้องประพฤติต่อประชุมชนนั้น ๆ ว่า | ||
| หมู่นี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ เป็นต้น. | ||
| ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคลว่า ผู้นี้เป็นคนดีควรคบ ผู้นี้เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ | ||
| องฺ. สตฺตก. ๒๓/๑๑๓. | ||
| สัปปุริสธรรมอีก ๗ อย่าง | ||
| ๑. สัตบุรุษประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ คือ มีศรัทธา มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป | ||
| เป็นคนได้ยินได้ฟังมาก เป็นคนมีความเพียร เป็นคนมีสติมั่นคง เป็นคนมีปัญญา. | ||
| ๒. จะปรึกษาสิ่งใดกับใคร ๆ ก็ไม่ปรึกษาเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น. | ||
| ๓. จะคิดสิ่งใดก็ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น. | ||
| ๔. จะพูดสิ่งใดก็ไม่พูดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น. | ||
| ๕. จะทำสิ่งใดก็ไม่ทำเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น. | ||
| ๖. มีความเห็นชอบ มีเห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นต้น. | ||
| ๗. ให้ทานโดยเคารพ คือเอื้อเฟื้อแก่ของที่ตัวให้ และผู้รับทานนั้น ไม่ทำอาการดุจทิ้งเสีย. | ||
| นัย. ม. อุป. ๑๔/๑๑๒. | ||
| โพชฌงค์ ๗ | ||
| ๑. สติ ความระลึกได้. | ||
| ๒. ธัมมวิจยะ ความสอดส่องธรรม. | ||
| ๓. วิริยะ ความเพียร. | ||
| ๔. ปีติ ความอิ่มใจ. | ||
| ๕. ปัสสัทธิ ความสงบใจและอารมณ์. | ||
| ๖. สมาธิ ความตั้งใจมั่น. | ||
| ๗. อุเปกขา ความวางเฉย. | ||
| เรียกตามประเภทว่า สติสัมโพชฌงค์ไปโดยลำดับจนถึงอุเปกขาสัมโพชฌงค์. | ||
| สํ. มหา. ๑๙/๙๓. | ||
| อัฏฐกะ คือ หมวด ๘ | ||
| โลกธรรม ๘ | ||
| ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกอยู่ และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น เรียกว่าโลกธรรม. โลกธรรมนั้น | ||
| ๘ อย่าง คือ มีลาภ ๑ ไม่มีลาภ ๑ มียศ ๑ ไม่มียศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑. | ||
| ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ควรพิจารณาว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา | ||
| ก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็นจริง อย่าให้มัน | ||
| ครอบงำจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ายในส่วนที่ไม่ปรารถนา. | ||
| องฺ. สฏฺก. ๒๓/๑๕๘. | ||
| ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ | ||
| ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ คือมีนี่แล้วอยากได้นั่น ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ. ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ๑. | ||
| ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา. | ||
| ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความปราศจากทุกข์ ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความไม่สะสมกองกิเลส ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความอยากอันน้อย ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความสันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่ ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความเพียร ๑. | ||
| เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ๑. | ||
| ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของ พระศาสดา. | ||
| องฺ. อฏฺก. ๒๓/๒๘๘. | ||
| มรรคมีองค์ ๘ | ||
| ๑. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔. | ||
| ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ ดำริจะออกจากกาม ๑ ดำริในอันไม่พยาบาท ๑ ดำริในอันไม่เบียดเบียน ๑. | ||
| ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเว้นจากวจีทุจริต ๔. | ||
| ๔. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ คือเว้นจากกายทุจริต ๓. | ||
| ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากความเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด. | ||
| ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรในที่ ๔ สถาน. | ||
| ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือระลึกในสติปัฏฐานทั้ง ๔. | ||
| ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ คือเจริญฌานทั้ง ๔. | ||
| ในองค์มรรคทั้ง ๘ นั้น เห็นชอบ ดำริชอบ สงเคราะห์เข้าในปัญญาสิกขา. วาจาชอบ การงานชอบ | ||
| เลี้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าในสีลสิกขา. เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ สงเคราะห์เข้าในจิตตสิกขา. | ||
| ม. มู. ๑๒/๒๖. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๓๑๗. | ||
| นวกะ คือ หมวด ๙ | ||
| มละ คือ มลทิน ๙ อย่าง | ||
| โกรธ ๑ | ||
| ลบหลู่บุญคุณท่าน ๑ | ||
| ริษยา ๑ | ||
| ตระหนี่ ๑ | ||
| มายา ๑ | ||
| มักอวด ๑ | ||
| พูดปด ๑ | ||
| มีความปรารถนาลามก ๑ | ||
| เห็นผิด ๑. | ||
| อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๕๒๖. | ||
| ทสกะ คือ หมวด ๑๐ | ||
| อกุศลกรรมบถ ๑๐ | ||
| จัดเป็นกายกรรม คือทำด้วยกาย ๓ อย่าง | ||
| ๑. ปาณาติบาต ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง คือฆ่าสัตว์. | ||
| ๒. อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย. | ||
| ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม. | ||
| จัดเป็นวจีกรรม คือทำด้วยวาจา ๔ อย่าง | ||
| ๔. มุสาวาท พูดเท็จ. | ||
| ๕. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด. | ||
| ๖. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ. | ||
| ๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ. | ||
| จัดเป็นมโนกรรม คือทำด้วยใจ ๓ อย่าง | ||
| ๘. อภิชฌา โลภอยากได้ของเขา. | ||
| ๙. พยาบาท ปองร้ายเขา. | ||
| ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม. | ||
| กรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นทางบาป ไม่ควรดำเนิน. | ||
| ที.มหา. ๑๐/๓๕๖. ที.ปาฏิ. ๑๑/๒๘๔. ม.มู. ๑๒/๕๒๑. | ||
| กุศลกรรมบถ ๑๐ | ||
| จัดเป็นกายกรรม ๓ อย่าง | ||
| ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง. | ||
| ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย. | ||
| ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม. | ||
| จัดเป็นวจีกรรม ๔ อย่าง | ||
| ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ. | ||
| ๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด. | ||
| ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ. | ||
| ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ. | ||
| จัดเป็นมโนกรรม ๓ อย่าง | ||
| ๘. อนภิชฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา. | ||
| ๙. อพยาบาท ไม่พยาบาทปองร้ายเขา. | ||
| ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม. | ||
| กรรม ๑๐ อย่างนี้เป็นทางบุญ ควรดำเนิน. | ||
| ที. มหา. ๑๐/๓๕๙. ที ปาฏิ. ๑๑/๒๘๔. ม. มู. ๑๒/๕๒๓. | ||
| บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง | ||
| ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน. | ||
| ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล. | ||
| ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา. | ||
| ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่. | ||
| ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ. | ||
| ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ. | ||
| ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ. | ||
| ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม. | ||
| ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม. | ||
| ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง. | ||
| สุ.วิ. ๓/๒๕๖. อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิ. ๒๙. ตฏฺฏีกา. ๑๗๑. | ||
| ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ๑๐ อย่าง | ||
| ๑. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ | ||
| เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ. | ||
| ๒. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย. | ||
| ๓. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า อาการกายวาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ | ||
| ยังมีอยู่อีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้. | ||
| ๔. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่. | ||
| ๕. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่. | ||
| ๖. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น. | ||
| ๗. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัวเราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว. | ||
| ๘. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่. | ||
| ๙. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรายินดีในที่สงัดหรือไม่. | ||
| ๑๐. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน | ||
| ในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง. | ||
| องฺ. ทสก. ๒๔/๙๑. | ||
| นาถกรณธรรม คือ ธรรมทำที่พึ่ง ๑๐ อย่าง | ||
| ๑. ศีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย. | ||
| ๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้สดับรับฟังมาก. | ||
| ๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็นผู้มีเพื่อนดีงาม. | ||
| ๔. โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย. | ||
| ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยันช่วยเอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร | ||
| ๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมที่ชอบ. | ||
| ๗. วิริยะ เพียรเพื่อจะละความชั่ว ประพฤติความดี. | ||
| ๘. สันโดษ ยินดีด้วยผ้านุ่ง ผ้าห่ม อาหาร ที่นอน ที่นั่ง และยา ตามมีตามได้. | ||
| ๙. สติ จำการที่ได้ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้. | ||
| ๑๐. ปัญญา รอบรู้ในกองสังขารตามเป็นจริงอย่างไร. | ||
| องฺ. ทสก. ๒๔/ ๒๗. | ||
| กถาวัตถุ คือ ถ้อยคำที่ควรพูด ๑๐ อย่าง | ||
| ๑. อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย. | ||
| ๒. สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้. | ||
| ๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ. | ||
| ๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่. | ||
| ๕. วิริยารัมภกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารภความเพียร. | ||
| ๖. สีลกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล. | ||
| ๗. สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ. | ||
| ๘. ปัญญากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา. | ||
| ๙. วิมุตติกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส. | ||
| ๑๐. วิมุตติญาณทัสสนากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส. | ||
| องฺ. ทสก. ๒๔/๑๓๘. | ||
| อนุสสติ คือ อารมณ์ควรระลึก ๑๐ ประการ | ||
| ๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า. | ||
| ๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม. | ||
| ๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์. | ||
| ๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน. | ||
| ๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว. | ||
| ๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา. | ||
| ๗. มรณัสสติ ระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตน. | ||
| ๘. กายคตาสติ ระลึกทั่วไปในกาย ให้เห็นว่า ไม่งาม น่าเกลียดโสโครก. | ||
| ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก. | ||
| ๑๐. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับกิเลสและกองทุกข์. | ||
| วิ. ฉอนุสฺสติ. ปม. ๒๕๐. | ||
| ปกิณณกะ คือ หมวดเบ็ดเตล็ด | ||
| อุปกิเลส คือ โทษเครื่องเศร้าหมอง ๑๖ อย่าง (๑) | ||
| ๑. อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง. | ||
| ๒. โทสะ. ร้ายกาจ. | ||
| ๓. โกธะ โกรธ. | ||
| ๔. อุปนาหะ ผูกโกรธไว้. | ||
| ๕. มักขะ ลบหลู่คุณท่าน. | ||
| ๖. ปลาสะ ตีเสมอ คือยกตัวเทียมท่าน. | ||
| ๗. อิสสา ริษยา คือเห็นเขาได้ดี ทนอยู่ไม่ได้. | ||
| ๘. มัจฉริยะ ตระหนี่. | ||
| ๙. มายา มารยา คือเจ้าเล่ห์. | ||
| ๑๐. สาเถยยะ โอ้อวด. | ||
| ๑๑. ถัมภะ หัวดื้อ. | ||
| ๑๒. สารัมภะ แข่งดี. | ||
| ๑๓. มานะ ถือตัว. | ||
| ๑๔. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน. | ||
| ๑๕. มทะ มัวเมา. | ||
| ๑๖. ปมาทะ เลินเล่อ. | ||
| ม. มู. ๑๒/๒๖-๒๗,๖๕. | ||
| ๑. ในธัมมทายาทสูตร ( ม. มู. ๑๒/๒๖-๒๗ ) ข้อ ๑ ว่า โลภะ ข้อ ๑ ว่า โทสะ ในวัตถุปมสูตร | ||
| ( ม. มู. ๑๒/๖๕ ) ข้อ ๑ ว่า อภิชฌาวิสมโลภะ ข้อ ๒ ว่า พยาปาทะ. นอกนั้นเหมือนกัน. | ||
| โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ | ||
| สติปัฏฐาน ๔ | ||
| สัมมัปปธาน ๔ (ปธาน ๔). | ||
| อิทธิบาท ๔ | ||
| อินทรีย์ ๕ | ||
| พละ ๕ | ||
| โพชฌงค์ ๗ | ||
| มรรคมีองค์ ๘ | ||
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น