..................................
| วินัยบัญญัติ | ||
| อนุศาสน์ ๘ อย่าง | ||
| นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ | ||
| ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกนิสสัย มี ๔ อย่าง | ||
| คือ เที่ยวบิณฑบาต ๑ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๑ อยู่โคนไม้ ๑ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑. | ||
| กิจที่ไม่ควรทำ เรียกอกรณียกิจ มี ๔ อย่าง | ||
| คือ เสพเมถุน ๑ ลักของเขา ๑ ฆ่าสัตว์ ๑ พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ๑ กิจ ๔ อย่างนี้ บรรพชิตทำไม่ได้. | ||
| สิกขาของภิกษุมี ๓ อย่างคือ | ||
| ศีล สมาธิ ปัญญา | ||
| ความสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย ชื่อว่า ศีล | ||
| ความรักษาใจมั่น ชื่อว่าสมาธิ | ||
| ความรอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่าปัญญา. | ||
| โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม | ||
| เรียกว่า อาบัติ | ||
| อาบัตินั้นว่าโดยชื่อ มี ๗ อย่าง คือ | ||
| ปาราชิก ๑ สังฆาทิเสส ๑ ถุลลัจจัย ๑ ปาจิตตีย์ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๑ ทุกกฎ ๑ ทุพภาสิต ๑. | ||
| ปาราชิกนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้วขาดจากภิกษุ | ||
| สังฆาทิเสสนั้นต้องเข้าแล้ว ต้องอยู่กรรมจึงพ้นได้ | ||
| อาบัติอีก ๕ อย่างนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว ต้องแสดงต่อหน้าสงฆ์หรือคณะหรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจึงพ้นได้ | ||
| อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติเหล่านี้ ๖ อย่าง คือ | ||
| ต้องด้วยไม่ละอาย ๑ | ||
| ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ ๑ | ||
| ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง ๑ | ||
| ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ | ||
| ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ | ||
| ต้องด้วยลืมสติ ๑ | ||
| ข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ซึ่งยกขึ้นเป็นสิกขาบท | ||
| ที่มาในพระปาติโมกข์ ๑ | ||
| ไม่ได้มาในพระปาติโมกข์ ๑ | ||
| สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์นั้น คือ | ||
| ปาราชิก ๔ | ||
| สังฆาทิเสส ๑๓ | ||
| อนิยต ๒ | ||
| นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ | ||
| ปาจิตตีย์ ๙๒ | ||
| ปาฏิเทสนียะ ๔ | ||
| เสขิยะ ๗๕ | ||
| รวมเป็น ๒๒๐ | ||
| นับทั้งอธิกรณสมถะด้วยเป็น ๒๒๗. | ||
| ปาราชิก ๔ | ||
| ๑. ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก | ||
| ๒. ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ต้องปาราชิก. | ||
| ๓. ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก. | ||
| ๔. ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิก. | ||
| สังฆาทิเสส ๑๓ | ||
| ๑.ภ ิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๒. ภิกษุมีความกำหนดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๓. ภิกษุมีความกำหนดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส | ||
| ๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยกาม ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๕. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ จำเพาะเป็นที่อยู่ | ||
| ของตน ต้องทำให้ได้ประมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดยกว้างเพียง ๗ คืบ วัดใน | ||
| ร่วมใน และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำให้เกินประมาณก็ดี | ||
| ต้องสังฆาทิเสส | ||
| ๗. ถ้าที่อยู่ซึ่งจะสร้างขึ้นนั้น มีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้ | ||
| สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส | ||
| ๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล | ||
| ๙. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อ | ||
| จะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส | ||
| ๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ | ||
| ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น | ||
| ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| ๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียนสงฆ์ ภิกษุ | ||
| อื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส. | ||
| อนิยต ๒ | ||
| ๑. ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๓ อย่าง | ||
| คือ ปาราชิก หรือสังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น | ||
| หรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น. | ||
| ๒. ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๒ อย่าง คือ | ||
| สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น หรือเขาว่า | ||
| จำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น. | ||
| นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ | ||
| แบ่งเป็น ๓ วรรค มีวรรคละ ๑๐ สิกขาบท | ||
| จีวรวรรค ที่ ๑ | ||
| ๑. ภิกษุทรงอติเรกจีวรได้เพียร ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าล่วง ๑๐ วันไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๒. ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ. | ||
| ๓. ถ้าผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ๆ ประสงค์จะทำจีวร แต่ยังไม่พอ ถ้ามีที่หวังว่าจะได้มาอีก พึงเก็บ | ||
| ผ้านั้นไว้ได้เพียงเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเก็บไว้ให้เกินเดือนหนึ่งไป แม้ถึงยังมีที่หวังว่า | ||
| จะได้อยู่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๔. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้ทุบก็ดี ซึ่งจีวรเก่า ต้องนิสสัคคิย | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๕. ภิกษุรับจีวรแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๖. ภิกษุของจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มี | ||
| สมัยที่จะขอจีวรได้ คือ เวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย. | ||
| ๗.ในสมัยเช่นนั้น จะขอเขาได้ก็เพียงผ้านุ่งผ้าห่มเท่านั้น ถ้าขอให้เกินกว่านั้น ได้มา ต้อง | ||
| นิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๘. ถ้าคฤหัสถ์ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เขาพูดว่า เขาจะถวายจีวรแก่ภิกษุชื่อนี้ ภิกษุนั้นทราบ | ||
| ความแล้ว เข้าไปพูดให้เขาถวายจีวร | ||
| ๙. ถ้าคฤหัสถ์ผู้จะถวายจีวรแก่ภิกษุมีหลายคน แต่เขาไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ภิกษุไปพูดให้ | ||
| เขารวมทุนเข้าเป็นอันเดียวกัน ให้ซื้อจีวรที่แพงว่าดีกว่าที่กำหนดไว้เดิม ได้มา ต้องนิสสัคคิย | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๑๐. ถ้าใคร ๆ นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุต้อง | ||
| การจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรือ อุบาสกว่า ผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขามอบ | ||
| หมายไวยาวัจกรนั้นแล้ว สั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึงเข้าไป | ||
| หาเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวร ดังนี้ ได้ ๓ ครั้ง ถ้าไม่ได้จีวร ไปยืนแต่พอเขาเห็นได้ ๖ ครั้ง | ||
| ถ้าไม่ได้ขืนไปทวงให้เกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ถ้าไปทวงและ | ||
| ยืนครบกำหนดแล้วไม่ได้จีวร จำเป็นต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่า ของนั้นไม่สำเร็จประโยชน์ | ||
| แก่ตน ให้เขาเรียกเอาของเขาคืนมาเสีย. | ||
| โกสิยวรรคที่ ๒ | ||
| ๑.ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมเจือด้วยไหม ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุจะหล่อสันถัตใหม่ พึงใช้ขนเจียมดำ ๒ ส่วน ขนเจียมขาวส่วนหนึ่ง ขนเจียมแดงส่วน | ||
| หนึ่ง ถ้าใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนขึ้นไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๔.ภิกษุหล่อสันถัตใหม่แล้ว พึงใช้ให้ได้ ๖ ปี ถ้ายังไม่ถึง ๖ ปี หล่อใหม่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ | ||
| . เว้นไว้แต่ได้สมมติ. | ||
| ๕.ภิกษุจะหล่อสันถัต พึงตัดเอาสันถัตเก่าคืบหนึ่งโดยรอบมา ปนลงในสันถัตที่หล่อใหม่ เพื่อ | ||
| จะทำลายให้เสียสี ถ้าไม่ทำดังนี้ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๖.เมื่อภิกษุเดินทางไกล ถ้ามีใครถวายขนเจียม ต้องการก็รับได้ ถ้าไม่มีใครนำมา นำมาเองได้ | ||
| เพียง ๓ โยชน์ ถ้าให้เกิน ๓ โยชน์ไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้สางก็ดี ซึ่งขนเจียม ต้องนิสสัคคิย | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๘.ภิกษุรับเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดี ทองและเงินที่เขาเก็บไว้เพื่อตน | ||
| ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๙.ภิกษุทำการซื้อขายด้วยรูปิยะ คือของที่เขาใช้เป็นทองและเงิน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๑๐.ภิกษุแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ปัตตวรรคที่ ๓ | ||
| ๑.บาตรนอกจากบาตรอธิษฐานเรียกอติเรกบาตร อติเรกบาตรนั้น ภิกษุเก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน | ||
| เป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๑๐ วันไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุมีบาตรร้าวยังไม่ถึง ๑๐ นิ้ว ขอบาตรใหม่แต่คฤหัสถ์ ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้ | ||
| มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย แล้วเก็บไว้ฉันได้เพียง | ||
| ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๗ วันไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๔.เมื่อฤดูร้อนยังเหลืออยู่อีกเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๗ จึงแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน | ||
| ได้ เมื่อฤดูร้อนเหลืออยู่อีกกึ่งเดือน คือตั้งแต่ขึ้นค่ำหนึ่งเดือน ๘ จึงทำนุ่งได้ ถ้าแสวงหาหรือ | ||
| ทำนุ่งให้ล้ำกว่ากำหนดนั้นเข้ามา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุอื่นแล้ว โกรธ ชิงเอาคืนมาเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นชิงเอามาก็ดี ต้องนิสสัคคิย | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุขอด้ายแต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เอามาให้ช่างหูกทอเป็นจีวร ต้องนิสสัคคิย | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา สั่งให้ช่างหูกทอจีวร เพื่อจะถวายแก่ภิกษุ ถ้าภิกษุไป | ||
| กำหนดให้เขาทำให้ดีขึ้นด้วยจะให้รางวัลแก่เขา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. | ||
| ๘.ถ้าอีก ๑๐ วันจะถึงวันปวารณา คือตั้งแต่ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ถ้าทายกรีบจะถวายผ้าจำนำ | ||
| พรรษา ก็รับเก็บไว้ได้ แต่ถ้าเก็บไว้เกินกาลจีวรไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. กาลจีวรนั้นดังนี้ | ||
| ถ้าจำพรรษาแล้วไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วันปวารณาไปเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน | ||
| ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าได้กรานกฐินนับแต่วันปวารณาไป ๕ เดือน คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่ง | ||
| เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๔. | ||
| ๙.ภิกษุจำพรรษาในเสนาสนะป่าซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ออกพรรษา แล้ว อยากจะเก็บไตรจีวรผืน | ||
| ใดผืนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อมีเหตุก็เก็บไว้ได้เพียง ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเก็บไว้ให้เกิน ๖ คืน | ||
| ไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ได้สมมติ. | ||
| ๑๐.ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ | ||
| ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท | ||
| มุสาวาทวรรคที่ ๑ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.พูดปด ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ด่าภิกษุ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ส่อเสียดภิกษุ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๔.ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน ถ้าว่าพร้อมกัน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน เกิน ๓ คืน ขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับผู้หญิง แม้ในคืนแรก ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง เกินกว่า ๖ คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. [๑] | ||
| ๘.ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๙.ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์. [๒] | ||
| ๑๐.ภิกษุขุดเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี ซึ่งแผ่นดิน ต้องปาจิตตีย์ | ||
| *****๑. เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย | ||
| ๒.เว้นไว้แต่ได้สมมติ | ||
| ภูตคามวรรคที่ ๒ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุพรากของเขียวเกิดอยู่กับที่ ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุประพฤติอนาจาร สงฆ์เรียกตัวมาถาม แกล้งพูดกลบเกลื่อนก็ดี นิ่งเสียไม่พูดก็ดี | ||
| ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทำการสงฆ์ ถ้าเธอทำโดยชอบ ติเตียนเปล่า ๆ | ||
| ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๔.ภิกษุเอาเตียง ตั่ง ฟูก เก้าอี้ ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บ | ||
| เองก็ดี ไม่ใช่ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนกุฎีสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช่ | ||
| ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุรู้อยู่ว่า กุฎีนี้มีผู้อยู่ก่อน แกล้งไปนอนเบียด ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคบแคบใจเข้า | ||
| ก็จะหลีกไปเอง ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๘.ภิกษุนั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี บนเตียงก็ดี บนตั่งก็ดี อันมีเท้าไม่ได้ตรึงให้แน่น ซึ่งเขาวางไว้ | ||
| บนร่างร้านที่เขาเก็บของในกุฎี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๙.ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี พึงโบกได้แต่เพียง ๓ ชั้น ถ้าโบกเกินกว่านั้น ต้องปา | ||
| จิตตีย์. | ||
| ๑๐.ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ เอารดหญ้าหรือดิน ต้องปาจิตตีย์ | ||
| โอวาทวรรคที่ ๓ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ สั่งสอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป สอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่ ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ. | ||
| ๔.ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน. | ||
| ๖.ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว. | ||
| ๘.ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำก็ดี ล่องน้ำก็ดี ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ข้ามฟาก. | ||
| ๙.ภิกษุรู้อยู่ฉันของเคี้ยวของฉัน ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์เขาถวาย ต้องปาจิตตีย์. เว้น | ||
| ไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน. | ||
| ๑๐.ภิกษุนั่งก็ดี นอนก็ดี ในที่ลับสองต่อสอง กับนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| โภชนวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคล ภิกษุไม่เจ็บไข้ ฉันได้แต่เฉเพาะวันเดียวแล้ว ต้อง | ||
| หยุดเสียในระหว่าง ต่อไปจึงฉันได้อีก ถ้าฉันติด ๆ กันตั้งแต่สองวันขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ถ้าทายกเขามานิมนต์ ออกชื่อโภชนะทั้ง ๕ อย่าง คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ | ||
| อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปรับของนั้นมาหรือฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ต้อง | ||
| ปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือ เป็นไข้อย่าง ๑ หน้าจีวรกาลอย่าง ๑ เวลาทำจีวรอย่าง ๑ เดินทาง | ||
| ไกลอย่าง ๑ ไปทางเรืออย่าง ๑ อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง ๑ โภชนะเป็นของ | ||
| สมณะอย่าง ๑. | ||
| ๓.ภิกษุรับนิมนต์แห่งหนึ่ง ด้วยโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ไม่ไปฉันในที่นิมนต์ | ||
| นั้น ไปฉันเสียที่อื่น ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ยกส่วนที่รับนิมนต์ไว้ก่อนนั้นให้แก่ภิกษุอื่น | ||
| เสีย หรือหน้าจีวรกาลและเวลาทำจีวร. | ||
| ๕.ภิกษุฉันค้างอยู่ มีผู้เอาโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้า มาประเคน ห้ามเสียแล้ว ลุก | ||
| จากที่นั่งนั้นแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันซึ่งไม่เป็นเดนภิกษุไข้ หรือไม่ได้ทำวินัยกรรม ต้อง | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุรู้อยู่ว่า ภิกษุอื่นห้ามข้าวแล้ว [ตามสิกขาบทหลัง] คิดจะยกโทษเธอ แกล้งเอาของเคี้ยว | ||
| ของฉันที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ ไปล่อให้เธอฉัน ถ้าเธอฉันแล้ว ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงวันใหม่ | ||
| ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๘.ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๙.ภิกษุขอโภชนะอันประณีต คือ ข้าวสุก ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย | ||
| ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม ต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ปวารณา เอามาฉัน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๑๐.ภิกษุกลืนกินอาหารที่ไม่มีผู้ให้ คือยังไม่ได้รับประเคน ให้ล่วงทวารปากเข้าไป ต้อง | ||
| ปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน. | ||
| อเจลกวรรคที่ ๕ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉัน แก่นักบวชนอกศาสนา ด้วยมือตน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน หวังจะประพฤติอนาจาร ไล่เธอกลับมาเสีย | ||
| ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๔.ภิกษุนั่งอยู่ในห้องกับผู้หญิง ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุนั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะทั้ง ๕ แล้ว จะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้น ในเวลาก่อน | ||
| ฉันก็ดี ฉันกลับมาแล้วก็ดี ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนฉันก็ดี ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป | ||
| ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือจีวรกาล และเวลาทำจีวร | ||
| ๗.ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง ๔ เดือน พึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น | ||
| ถ้าของให้เกินกว่ากำหนดนั้นไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณา | ||
| เป็นนิตย์. | ||
| ๘.ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุ. | ||
| ๙.ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่ พึงไปอยู่ได้ในกองทัพเพียง ๓ วัน ถ้าอยู่ให้เกินกว่ากำหนดนั้น | ||
| ต้องปาจิตตีย์ | ||
| ๑๐.ในเวลาที่อยู่ในกองทัพตามกำหนดนั้น ถ้าไปดูเขารบกันก็ดีหรือดูเขาตรวจพลก็ดี | ||
| ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมู่เสนาที่จัดเป็นกระบวนแล้วก็ดี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| สุราปานวรรคที่ ๖ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุจี้ภิกษุ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุว่ายน้ำเล่น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุไม่เป็นไข้ ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นติดก็ดีเพื่อจะผิง ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ติดเพื่อเหตุอื่น ไม่เป็นอาบัติ. | ||
| ๗.ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ คือ จังหวัดกลางแห่งประเทศอินเดีย ๑๕ วัน จึงอาบน้ำ | ||
| ได้หนหนึ่ง ถ้ายังไม่ถึง ๑๕ วันอาบน้ำ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น. ในปัจจันต | ||
| ประเทศ เช่นประเทศเราอาบน้ำได้เป็นนิตย์ ไม่เป็นอาบัติ. | ||
| ๘.ภิกษุได้จีวรใหม่มา ต้องพินทุด้วยสี ๓ อย่าง คือ เขียวคราม โคลน ดำคล้ำ อย่างใด | ||
| อย่างหนึ่งก่อน จึงนุ่งห่มได้ ถ้าไม่ทำพินทุก่อนแล้วนุ่งห่ม ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๙.ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้ว ผู้รับยังไม่ได้ถอนนุ่งห่มจีวรนั้น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๑๐.ภิกษุซ่อนบริขาร คือ บาตร จีวร ผ้าปูนั่ง กล่องเข็ม ประคดเอว สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ของ | ||
| ภิกษุอื่น ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| สัปปาณวรรคที่ ๗ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ บริโภคน้ำนั้น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุรู้อยู่ว่า อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ เลิกถอนเสียกลับทำใหม่ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๔.ภิกษุรู้อยู่ แกล้งปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุรู้อยู่ เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า ๒๐ ปี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุรู้อยู่ ชวนพ่อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๘.ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวด | ||
| ประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์ | ||
| ๙.ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น คือ ร่วมกินก็ดี ร่วมอุโบสถสังฆกรรมก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้อง | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๑๐.ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว เพราะโทษที่กล่าวคัดค้าน | ||
| ธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ให้เป็นอุปัฏฐากก็ดี ร่วมกินก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์ | ||
| สหธรรมิกวรรคที่ ๘ มี ๑๒ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุประพฤติอนาจาร ภิกษุอื่นตักเตือน พูดผัดเพี้ยนว่า ยังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน | ||
| ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ต้องปาจิตตีย์.ธรรมดาภิกษุผู้ศึกษา ยังไม่รู้สิ่งใด | ||
| ควรจะรู้สิ่งนั้น ควรไต่ถามไล่เลียงท่านผู้รู้. | ||
| ๒.ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่ ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลายอุตสาหะ ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๓.ภิกษุต้องอาบัติแล้วแกล้งพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าข้อนี้มาในพระปาติ | ||
| โมกข์ ถ้าภิกษุอื่นรู้อยู่ว่า เธอเคยรู้มาก่อนแล้วแต่แกล้งพูดกันเขาว่า พึงสวดประกาศ | ||
| ความข้อนั้น เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้ว แกล้งทำไม่รู้อีก ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๔.ภิกษุโกรธ ให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๕.ภิกษุโกรธ เงื้อมือดุจให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๖.ภิกษุโจทก์ฟ้องภิกษุอื่น ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๗.ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้เกิดแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๘.เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่ ภิกษุไปแอบฟังความ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาว่าอะไรตนหรือพวก | ||
| ของตน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๙.ภิกษุให้ฉันทะ คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมแล้ว ภายหลังกลับติเตียน | ||
| สงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๑๐.เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสินข้อความข้อหนึ่ง ภิกษุรูปใดอยู่ในที่ประชุมนั้น | ||
| จะหลีกไปในขณะที่ตัดสินข้อนั้นยังไม่เสร็จ ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสีย ต้อง | ||
| ปาจิตตีย์. | ||
| ๑๑.ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้ว ภายหลัง | ||
| กลับติเตียนภิกษุอื่นว่า ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๑๒.ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ต้องปาจิตตีย์. | ||
| รัตนวรรคที่ ๙ มี ๑๐ สิกขาบท | ||
| ๑.ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่กับ | ||
| พระมเหสี ต้องปาจิตตีย์. | ||
| ๒.ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่ ถือเอาเป็นของเก็บได้เองก็ดี | ||
| ให้ผู้อื่นถือเอาก็ดี ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ของนั้นตกอยู่ในวัด หรือในที่อาศัย | ||
| ต้องเก็บไว้ให้แก่เจ้าของ ถ้าไม่เก็บ ต้องทุกกฎ. | ||
| ๓.ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัดก่อน เข้าไปบ้านในเวลาวิกาล ต้อง | ||
| ปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่การด่วน. | ||
| ๔.ภิกษุทำกล่องเข็ม ด้วยกระดูกก็ดี ด้วยงาก็ดี ด้วยเขาก็ดี ต้องปาจิตตีย์. ต้อง | ||
| ต่อยกล่องนั้นเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก. | ||
| ๕.ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง พึงทำให้มีเท้าเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่ | ||
| ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึง | ||
| แสดงอาบัติตก. | ||
| ๖.ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น ต้องปาจิตตีย์. ต้องรื้อเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก. | ||
| ๗.ภิกษุทำผ้าปูนั่ง พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๒ คืบ พระสุคต | ||
| กว้างคืบครึ่ง ชายคืบหนึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ | ||
| ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก. | ||
| ๘.ภิกษุทำผ้าปิดแผล พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้น ยาว ๔ คืบพระสุคต | ||
| กว้าง ๒ คืบ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสีย | ||
| ก่อน จึงแสดงอาบัติตก. | ||
| ๙.ภิกษุทำผ้าอาบน้ำฝน พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๖ คืบพระสุคต | ||
| กว้าง ๒ คืบครึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณ | ||
| เสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก. | ||
| ๑๐.ภิกษุทำจีวรให้เท่าจีวรพระสุคตก็ดี เกินกว่านั้นก็ดี ต้องปาจิตตีย์. ประมาณ | ||
| จีวรพระสุคตนั้น ยาว ๙ คืบพระสุคต กว้าง ๖ คืบ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสีย | ||
| ก่อน จึงแสดงอาบัติตก. | ||
| ปาฏิเทสนียะ ๔ | ||
| ๑.ภิกษุรับของเคี้ยวของฉันแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ด้วยมือของตนมาบริโภค ต้อง | ||
| ปาฏิเทสนียะ. | ||
| ๒.ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์ ถ้ามีนางภิกษุณีมาสั่งทายกให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ถวาย เธอพึงไล่ | ||
| นางภิกษุณีนั้นให้ถ้อยไปเสีย ถ้าไม่ไล่ ต้องปาฏิเทสนียะ. | ||
| ๓.ภิกษุไม่เป็นไข้ เขาไม่ได้นิมนต์ รับของเคี้ยวของฉันในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็น | ||
| เสขะ มาบริโภค ต้องปาเทสนียะ. | ||
| ๔.ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเป็นที่เปลี่ยว ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวของฉัน ที่ทายกไม่ได้ | ||
| แจ้งความให้ทราบก่อน ด้วยมือของตนมาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ. | ||
| เสขิยวัตร | ||
| วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษาเรียกว่าเสขิยวัตร เสขิยวัตรนั้น จัดเป็น ๔ หมวด หมวดที่ ๑ เรียก | ||
| ว่าสารูป หมวดที่ ๒ เรียกว่าโภชนปฏิสังยุต หมวดที่ ๓ เรียกว่าธัมมเทสนาปฏิสังยุต หมวด | ||
| ที่ ๔ เรียกว่า ปกิณณกะ. | ||
| สารูปที่ ๑ มี ๒๖ | ||
| ๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งห่มให้เรียบร้อย. ไปในบ้าน. | ||
| ๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งห่มให้เรียบร้อย. ไปนั่งในบ้าน. | ||
| ๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักปิดกายด้วยดี ไปในบ้าน. | ||
| ๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักปิดกายด้วยดี ไปนั่งในบ้าน. | ||
| ๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักระวังมือเท้าด้วยดี ไปในบ้าน. | ||
| ๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักระวังมือเท้าด้วยดี ไปนั่งในบ้าน. | ||
| ๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีตาทอดลง ไปในบ้าน | ||
| ๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีตาทอดลง ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เวิกผ้า ไปในบ้าน | ||
| ๑๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เวิกผ้า ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๑๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่หัวเราะ ไปในบ้าน | ||
| ๑๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่หัวเราะ ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๑๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่พูดเสียงดัง ไปในบ้าน | ||
| ๑๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่พูดเสียงดัง ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๑๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงกาย ไปในบ้าน | ||
| ๑๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงกาย ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๑๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่ไกวแขน ไปในบ้าน | ||
| ๑๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่ไกวแขน ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๑๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่สั่นศีรษะ ไปในบ้าน | ||
| ๒๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่สั่นศีรษะ ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๒๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือค้ำกาย ไปในบ้าน | ||
| ๒๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือค้ำกาย ไปนั่งในบ้าน | ||
| ๒๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ ไปในบ้าน | ||
| ๒๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ ไปในบ้าน | ||
| ๒๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้าไปในบ้าน | ||
| ๒๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน | ||
| โภชนปฏิสังยุตที่ ๒ มี ๓๐ | ||
| ๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ. | ||
| ๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร. | ||
| ๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก | ||
| ๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจับรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร. | ||
| ๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ. | ||
| ๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อฉันบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร. | ||
| ๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง. | ||
| ๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก. | ||
| ๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขยุ้มข้าวสุกแต่ยอดลงไป. | ||
| ๑๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าวด้วยข้าวสุก เพราะอยากจะได้มาก. | ||
| ๑๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เจ็บไข้ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน. | ||
| ๑๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ. | ||
| ๑๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก. | ||
| ๑๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม. | ||
| ๑๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปาก เราจักไม่อ้าปากไว้ท่า. | ||
| ๑๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อฉันอยู่ เราจักไม่เอานิ้วมือสอดเข้าปาก. | ||
| ๑๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อข้าวอยู่ในปาก เราจักไม่พูด. | ||
| ๑๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โยนคำข้าเข้าปาก. | ||
| ๑๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว. | ||
| ๒๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย. | ||
| ๒๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง. | ||
| ๒๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าวให้ตกลงในบาตรหรือในที่นั้น ๆ. | ||
| ๒๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันแลบสิ้น | ||
| ๒๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันดังจับ ๆ. | ||
| ๒๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันดังซูด ๆ. | ||
| ๒๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือ. | ||
| ๒๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร. | ||
| ๒๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก. | ||
| ๒๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ. | ||
| ๓๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน. | ||
| ธัมมเทสนาปฏิสังยุตที่ ๓ มี ๑๖ | ||
| ๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีร่มในมือ. | ||
| ๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีไม่พลองในมือ. | ||
| ๓.ฯลฯ มีศัสตราในมือ. | ||
| ๔.ฯลฯ มีอาวุธในมือ. | ||
| ๕.ฯลฯ สวมเขียงเท้า. | ||
| ๖.ฯลฯ สวมรองเท้า. | ||
| ๗.ฯลฯ ไปในยาน. | ||
| ๘.ฯลฯ อยู่บนที่นอน. | ||
| ๙.ฯลฯ นั่งรัดเข่า. | ||
| ๑๐.ฯลฯ พันศีรษะ. | ||
| ๑๑.ฯลฯ คลุมศีรษะ | ||
| ๑๒.ฯลฯ เรานั่งบนอาสนะต่ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะ. | ||
| ๑๓.ฯลฯ เรานั่งบนอาสนะต่ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะสูง. | ||
| ๑๔.ฯลฯ เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่. | ||
| ๑๕.ฯลฯ เราเดินไปข้างหลัง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้เดินไปข้างหน้า. | ||
| ๑๖.ฯลฯ เราเดินไปนอกทาง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้ไปในทาง. | ||
| ปกิณณกะที่ ๔ มี ๓ | ||
| ๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เป็นไข้ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ. | ||
| ๒.ฯลฯ เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะบ้วนเขฬะ ลงในของเขียว. | ||
| ๓.ฯลฯ เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ บ้วนเขฬะ ลงในน้ำ. | ||
| อธิกรณ์ ๔ | ||
| ๑.ความเถียงกันว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย เรียกวิวาทาธิกรณ์. | ||
| ๒.ความโจทกันด้วยอาบัตินั้น ๆ เรียกอนุวาทาธิกรณ์. | ||
| ๓.อาบัติทั้งปวง เรียกอาปัตตาธิกรณ์. | ||
| ๔.กิจที่สงฆ์จะพึงทำ เรียกกิจจาธิกรณ์. | ||
| อธิกรณสมถะ มี ๗ | ||
| ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น เรียกอธิกรณสมถะ มี ๗ อย่าง คือ:- | ||
| ๑. ความระงับอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น ในที่พร้อมหน้าสงฆ์ ในที่พร้อมหน้าบุคคล ในที่พร้อม | ||
| หน้าวัตถุ ในที่พร้อมหน้าธรรม เรียก สัมมุขาวินัย. | ||
| ๒. ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ว่า เป็นผู้มีสติเต็มที่ เพื่อจะไม่ให้ | ||
| ใครโจทด้วยอาบัติ เรียกสติวินัย. | ||
| ๓. ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่ภิกษุ ผู้หายเป็นบ้าแล้วเพื่อจะไม่ให้ใครโจท | ||
| ด้วยอาบัติที่เธอทำในเวลาเป็นบ้า เรียกอมูฬหวินัย. | ||
| ๔. ความปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์ เรียกปฏิญญาตกรณะ | ||
| ๕. ความตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ เรียกเยภุยยสิกา. | ||
| ๖. ความลงโทษแก่ผู้ผิด เรียกตัสสปาปิยสิกา. | ||
| ๗. ความให้ประนีประนอมกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ต้องชำระความเดิม เรียกติณวัดถารกวินัย. | ||
| สิกขาบทนอกนี้ ที่ยกขึ้นเป็นอาบัติถุลลัจจัยบ้าง ทุกกฎบ้าง ทุพภาสิตบ้าง เป็นสิกขาบท | ||
| ไม่ได้มาในพระปาติโมกข์. |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น