วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คุณทำบุญเพื่ออะไร




……ได้รับคลิบยูทูปเรื่องทำบุญเพื่ออะไร ดูจบแล้วครับขอบพระคุณเพื่อนที่แจ้งให้ ทราบ เห็นด้วยทุกประการครับ เพราะผมเองก็สนใจเรื่องการทำบุญทำกุศลเหมือนกัน และมีความเชื่อมั่นว่า เราทำบุญเพื่อปัจจุบันมากกว่าทำเพื่อชาติหน้า แต่การทำบุญ ของกระผม ยังยึดหลักเดิม ๆ อยู่ครับ
.......หลักทำบุญที่ยึดเป็นแนวปฏิบัติมี 3 เรียกบุญกิริยาวัตถุ คือทานมัย สีลมัย และ ภาวนามัย ทำทานเพื่อชำระโลภ เพื่อสะสมความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความรักใคร่เมตตา ปฏิบัติศีลเพื่อฝึกสติสัมปชัญญะ ชำระพฤติกรรมทางกายและวาจาให้หมดจดเรียบร้อย ปฏิบัติภาวนามัยเพื่อชำระสะสางโมหะความโง่ให้เกิดสติปัญญาเฉลียวฉลาด บุญที่ได้ กระทำจึงเกิดผลให้กระผมในปัจจุบันชาตินี่แหละ ไม่เคยรอว่าจะไปรับชาติหน้าหรอก
.......ทานวัตถุสิ่งของ เราได้ชำระความตระหนี่ถี่เหนียว ที่เกาะใจเราให้เบาบางลง คน ที่ได้รับสิ่งของไปก็พอใจได้บริโภควัตถุทานที่เราให้ทาน ส่วนธรรมทานมักจะเป็น การให้ความรักความเมตตา ให้อภัย เราได้รับความปิติยินดีที่ได้ทำ ได้รับไมตรีตอบ ย้อนมา ให้วิทยาทานได้รับความพึงพอใจปิติยินดีมาก อย่างกระผมสอนศิษย์ เรื่อง ธรรมบาลี สอนภาษาไทย สอนการวัดผลประเมินผล สอนวิจัย นิเทศการสอน ผู้รับ วิทยาทานเรือนหมื่น ปิติยินดีที่ได้ให้วิทยาทาน เป็นบุญกุศลที่ได้รับในปัจจุบันครับ ส่วนชาติหน้าไม่ต้องไปคาดหวังให้ยาก บุญกุศลเป็นของเราอยู่แล้ว
.........สีลมัย ผมใช้ฝึกสติสัมปชัญญะ เพราะจำเป็นต่อการปฏิบัติศีล ถ้าขาดสติและ สัมปชัญญะ ก็ปฏิบัติศีลยุ่งยาก ถ้าสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวและมีพลังมั่นคง ศีลก็จะ ปฏิบัติง่ายไม่ค่อยขาด เช้ากระผมสมาทานศีลเสร็จก็ให้สติสัมปชัญญะกำกับต่อ ถ้า เจอสถานะอาจทำให้ศีลขาด สติสัมปชัญญะมาทันทีว่า อย่านะ ๆ ๆ  ก็เก็บศีลไว้ได้ ทุกครั้ง ที่พบเรื่องหวาดเสียวต่อศีล สติสัมปชัญญะมาเลย มันดีมาก ๆ ลองเอาไปใช้สิครับ สติสัมปชัญญะ อยู่กับเราจะทำให้เรารู้ตัวตลอดเวลา ถ้าหายไปก็คือเราลืมตัวครับ รู้ตัวมาก ๆยิ่งดี เป็นประโยชน์ต่อเรามาก จะคิด จะพูด จะทำการงาน ในขณะที่เรามี สติสัมปชัญญะท่านเรียกว่าอยู่ในสถานะไม่ประมาท มีคุณประโยชน์มากครับ
........ภาวนามัย ทำบุญด้วยการภาวนามี 3 อย่าง สมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา และ ภาวนาธรรมดา ๆ ชาววัดท่านมี 2 อย่าง ส่วนแบบที่ 3 กระผมเรียกเอง เป็นอย่างไร มาพิจารณากัน
........สมถภาวนา....เป็นการภาวนาเพื่อให้เกิดสมาธิ ตั้งแต่สมาธิพื้นฐาน ไปจนถึงรูปฌาน อรูปฌาน แบบที่เจ้าชายสิทธัตถะไปฝึกกับอาราฬดาบสและอุทกดาบทนั่นแหละ ถือ ว่าวิชานี้มีมาก่อนเกิดพุทธศาสนา
.........วิปัสสนาภาวนา...เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านใช้หลังจากบำเพ็ญสมถะจนเกิดฌานมี สมาธิแล้วน้ำนำสมาธิไปพิจารณารูปนามจนเห็นไตรลักษณ์และบรรลุอริยสัจในที่สุด ถือเป็นแนวทางเอกของพุทธศาสนา
.........ภาวนาธรรมดา....เพราะภาวนาแปลว่าการฝึกอบรม ภาวนาสมถะ เพื่อสมาธิ ภาวนา วิปัสสนาเพื่อเห็นไตรลักษณ์ ส่วนภาวนาธรรมดา เพื่อขจัดโมหะความโง่และให้ความ ฉลาดสติปัญญามาแทนที่ มีความสำคัญมากนะครับ เพราะทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนา เกิดมามี โมหะ ความโง่ ห่อหุ้มไว้ทุกคน นั่นก็ไม่รู้ นี่ก็ไม่เป็น กินยังต้องคนอื่นช่วย ขับถ่ายก็ยุ่งคนอื่น ต้องได้รับการฝึก การอบรม ง่าย ๆก็พ่อแม่พี่น้องช่วยดูแล เรื่อง ยากมากขึ้นก็ส่งโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ความโง่หรือโมหะก็ถูกชำระออกเรื่อย กลายเป็นคนเก่ง ฉลาดมากขึ้น ภาวนาธรรมดาจึงสำคัญและจำเป็นต่อทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนาแบบนี้นั่นเอง
.........สรุปว่าบุญที่กระผมทำอยู่มันให้ผลปัจจุบันนี่แหละ เพราะความฉลาดขยันมีความรู้ก็ บุญนั่นแหละเอาไปใช้ในการทำไร่ทำนา ทำอยู่ 7 ปีเชียวแหละ ไปภาวนาต่อ..เรียน นักธรรม เรียนเทศน์ เรียนบาลี เรียนวิชาครู ผลบุญที่ได้เอาไปเป็นครูสอนนักธรรม สอนบาลี ไปเทศน์สอนชาวบ้าน ผลภาวนาอบรมวิชาครูได้ความรู้คือบุญไปสอบบรรจุ ครูได้ด้วย ไปอบรมเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัย ได้บุญคือความรู้มากขึ้น ตำแหน่งหน้าที่ การงานก็เพิ่มขึ้นเพราะบุญจากภาวนาหรืออบรมนั่นแหละ แน่นอนครับบุญกระผมเอา มาใช้ปัจจุบันมากกว่า ส่วนชาติหน้าไม่รู้เหมือนกันจะได้อะไรไปใช้บ้าง แต่คงไม่ต้องไปลำบากที่ทุคติหรอก เพราะผมถือคติว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ดังนั้น จึงเชื่อว่า จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา จบครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น