วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

โลกไม่ว่างพระอรหันต์ อยากไปสุคติ ไปนิพพาน และสัจจะ












(เพิ่มเนื้อหาอีก 4 เรื่อง อยากไปสุคติ ไปนิพพานได้จริงหรือ สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ )

โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้า......
...........มีเพื่อนทางธรรมสนทนากันถึงแนวปฏิบัติธรรมของอุบาสกอุบาสิกาว่า สมัยนี้เราปฏิบัติธรรมกันโดยไม่เห็นจุดหมาย เพียงแต่อยากได้บุญกุศล หวังว่า ตายไปไม่ตกไปในแนวทางอบายภูมิ ไม่ค่อยหวังจะดำเนินไปทางอริย มรรคสักเท่าใด ก็เลยอยากให้เพื่อน ๆลองศึกษา ข้อความที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสแก่ สุภัททปริพพาชกผู้ยืนร้องให้ ใกล้ ๆ ที่พระพุทธเจ้าบรรทม ก่อนจะปรินิพพานไม่กี่นาที พร้อมรำพึงรำพัน ว่าตัวเองเกิดมาเสียประโยชน์ ไม่ทันได้เฝ้าและรับคำสอน พระองค์ก็มาด่วนเจ็บป่วยจะจากไปเสียแล้ว ด้วยความเมตตาของพระพุทธองค์ สุภัททได้ฟังพุทธธรรมคำสอนและได้อุปสมบทโดยพระอานท์เป็นอัชฌายะ ถือเป็นสาวกคนสุดท้ายที่บวชเฉพาะพระพักตร์ของพุทธองค์ โอวาทที่ทรงคุณค่ายิ่งที่พุทธองค์ตรัสครั้งนั้นปรากฏใน พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ขอสรุปย่อ ๆ พอได้ใจความ ดังนี้
....... ก็สมัยนั้น ปริพาชกนามว่า สุภัททะ ชาวเมืองกุสินารา ทราบข่าวว่า พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิม ยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ สุภัททะ ระลึกได้ว่าเราเลื่อมใสพระสมณโคดมว่า ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา จึงเดินทางไปยังป่ามหาวันที่พระพุทธเจ้าทรงอาพาธิและพักผ่อนอยู่  เข้าไปพบพระอานนท์เถระ ขออนุญาตทูลถามข้อสงสัยในใจต่อพระพุทธเจ้า พระอานนท์ห้ามว่าอย่ารบกวนพระองค์เลย เพราะยังอาพาธหนักอยู่ สุภัททะอ้อนวอนสามครั้ง พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เลยตรัสแก่พระอานนท์ ว่าอย่าห้ามปริพพาชกเลย เพราะทรงทราบว่าสุภัททะคือสาวกคนสุดท้ายของพระองค์ สุภัททะได้สนทนากับพระพุทธองค์มีสาระสำคัญคือ
...........สุภัททะทูลถามถึงการตรัสรู้ของสำนักนักปราชญ์ทั่วไปที่คนยกย่องนับถือ  แต่พระพุทธเจ้าตัดบทว่าเรามีเวลาน้อย อย่าไปสนใจเรื่องอื่น ให้ตั้งใจฟังที่เราจะสอน ตรัสว่า."... ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ส่วนในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระ-*อรหันต์ทั้งหลาย ฯ
[...........๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก  ไม่มีในภายนอก แต่ธรรมวินัยนี้ ฯ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลั ทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ..."
........สุภัททรับฟังพุทโธวาทแล้วเลื่อมใสยิ่งนัก ได้ทูลขออุปสมบท พุทธองค์อนุญาตนับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่บวชเฉพาะพระพักตร์ของพุทธองค์ (จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ทีฆนิกาย มหาวรรคหัวข้อ 138-140)
...........โดยนัยแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวแล้ว หมายความว่า ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือปฏิบัติตามแนวทาง อริยมรรค 8 ซึ่งก็คือยึดไตรสิกขาที่เรียก อธิสีลสิกขา อธิจิตสิกขาและอธิปัญญาสิกขา นั่นเอง ย่อมจะมีคนที่สามารถบรรลุเป็นอริยได้ อริยะย่อมมีขอบเขตตั้งแต่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรคและอรหัตตริยผล ที่ท่านเรียกอริยมรรค 4 อริยผล 4 นั่นเอง แสดงว่าตราบที่ยังมีผู้ปฏิบัติมรรค 8 อยู่ ย่อมจะมีอริยบุคคลเกิดขึ้นได้ในโลก นับเป็นพระโอวาททีทรงคุณค่ายิ่งสำหรับนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย อย่าได้ท้อแท้ ถ้าแนวทางที่กำลังปฏิบัติเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้วพึงแน่วแน่ปฏิบัติกันต่อไป
............เมื่อปฏิบัติตามแนวทางอริยมรรคแปดแล้ว คุณธรรมของความเป็นอริยะย่อมบังเกิดมีแก่ผู้ปฏิบัติ มาก น้อย ตามเหตุแห่งการปฏิบัติ หนังสือธรรมวิภาค อธิบายลักษณะพระอริยบุคคลมี 4 ระดับคือ
.............1..โสดาบัน ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ

..................1).สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา
..................2).วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย เช่นสงสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
.................3)สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วยศีลและพรตอย่างนั้น อย่างนี้ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา.
......ความเป็นพระโสดาบันนี้ก็เช่นเดียวกับความเป็นพระอริยบุคคลประเภทอื่นๆ ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต(นักบวช) เท่านั้น แม้ คฤหัสถ์ คือชายหรือหญิงผู้ครองเรือน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เช่น ในสมัยพุทธกาลคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสารเป็นต้นการเข้าถึงกระแสธรรมของพระโสดาบันนั้น เป็นการยกระดับจิตใจของท่านอย่างถาวรทำให้ท่านไม่สามารถกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก เป็นผู้ที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (เช่น นรก หรือเดียรฉาน)ทั้งยังเป็นผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน โสดาบันอาจจำแนกได้เป็น....จูฬโสดาบัน​ คือ ​กัลยาณปุถุชน​ผู้​แทงตลอดลำ​ดับแห่งนามรูปปริ​เฉทญาณ​ ​ที่​ ๑ ​ถึง ​ลำ​ดับโคตรภูญาณที่​ ๑๓ ​ตามสมควร ......มหา​โสดาบัน​ คือ ​อริยบุคคล​ผู้​แทงตลอด​ใน​ลำ​ดับแห่งญาณ​ ๑๖​โดย​สมบูรณ์​
........... 2.สกทาคามี หรือ สกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลลำดับที่ ๒ ใน ๔ ประเภท ที่เรียกว่า "ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว" หมายถึง พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน ผู้ได้บรรลุสกทาคามิผลคือผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ประการแรกได้เช่นเดียวกับพระโสดาบัน อีกทั้งทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วยคือกามราคะ หมายถึง ความพอใจในกาม คือ การความเพลินในการได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่าพอใจปฏิฆะ หมายถึง ความกระทบกระทั่งในใจ คล้ายความพยาบาทอย่างละเอียดหากสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งสองประการนี้หมดไปก็จะเป็นพระอนาคามี
..............3.อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีกแต่จะเกิดในพรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้นเลย เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทที่ ๓ ใน๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ประการได้แล้ว ยังเหลือสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก ๕ ประการ คือ1.รูปราคะ หมายถึง ความพอใจในรูปฌาน หรือ รูปธรรมอันประณีต หรือ ความพอใจในรูปภพ 2.อรูปราคะ หมายถึง ความพอใจในอรูปฌาน หรือ พอใจในอรูปธรรม เช่น ความรู้เป็นต้น หรือ ความพอใจในอรูปภพ3.มานะ หมายถึง ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นพระอนาคามี (แม้ว่าจะเป็นจริงๆ) เป็นต้น 4.อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งของจิต 5.อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งอนึ่งพึงเข้าใจว่า แม้สังโยชน์เบื้องสูงบางข้อจะมีชื่อเหมือนกิเลสอย่างหยาบที่ยังมีในปถุชน (ผู้ยังไม่เป็นบรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เช่น มานะ อุทธัจจะ หรือ อวิชชา แต่สังโยชน์เบื้องสูงอันเป็นกิเลสที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจของพระอนาคามีนั้น เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าของปถุชนอย่างมาก
............พระอรหันต์ คือ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถละ สังโยชน์ได้ครบทั้ง 10 ประการ
..............จากคำอธิบายในเอกสารตำราต่าง ๆ พอช่วยให้เรารู้จักอย่างน้อย 2 สาระสำคัญคือ พระอริยเจ้า ทั้ง 4 ระดับ จะเกิดขึ้นเมื่อมีคนปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา หรืออริยมรรค 8 ถามว่าปัจจุบัน มีไหมคนที่ถือปฏิบัติตามแนวทางนี้ ถ้ามีอริย 4 ก็ย่อมยังมีอยู่

..............สาระสำคัญที่สอง จะรู้ได้อย่างไร มีผู้บรรลุธรรมระดับไหน ไม่มีทางรู้ได้หรอก เพราะคนที่บรรลุธรรม ไม่โอ้อวดบอกใครหรอก ว่าฉันเป็นพระโสดา เป็นสกิทาคา อนาคาหรือเป็นอรหันต์ คนที่มีคุณธรรมระดับอริยะถึงจะทราบได้ว่าคนไหนเป็นอริยะจริงหรืออริยะปลอม ชาวบ้านอย่างเรา ก็แค่สังเกตดูพฤติกรรมของคนที่เราสงสัยว่าใช่อริยะเจ้าใหม ตรวจดูสังโยช 10 ก็เดาได้แล้วนี้ใช่หรือไม่ใช่



------------------------------------------------

อยากไปสุคติ .......ขุนทอง เขียน
----------------------------------------------
.........เพื่อน ๆสายวัดคุยกันว่า เข้าวัดประจำ ทำบุญไม่ขาด หลวงพ่อบอกชาติหน้า ไม่ตก นรก ไปสวรรค์แน่นอน ทำเอาเพื่อนขยันไปวัดไม่ค่อยจะขาด โดยเฉพาะวันพระมาชวนเรา ไปจำศีลที่วัดด้วย เราก็ปฏิเสธประจำเช่นกัน แกเป็นห่วงว่าขืนนายไม่สนใจเข้าวัดอย่างนี้ จะไปสุคติสวรรคกะเขาได้อย่างไร เราก็ไม่เคยบอกนะว่าเราอยากไปทุคติ แต่เราก็คิดแบบ ของเรา คือรู้จักทั้งทุคติและสุคติ และเลือกสุคติดีกว่า ไม่มีเรื่องทุกข์ทรมานมากมายเหมือน ทุคติ วันนี้มาคุยเรื่องคติทั้งสองอย่างนี่กัน
........ทุคติ มี 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกายและเดรัจฉาน ตามลำดับความทุกข์ทรมานมาก ไปหาน้อย เรามองเห็นเดรัจฉานภูมิ เพราะซ้อนทับกับมนุษยภูมิ เดรัจฉานหลายชนิด ก็คุ้นเคย เอามาเป็นสัตว์เลี้ยงบ้าง เอามาเป็นสินค้าบ้าง ความเป็นอยู่ไม่สะดวกสบายเหมือนคน หลาย ชนิดเป็นอยู่อย่างลำบาก น่าเกลียดน่ากลัวก็มี เดรัจฉานที่ดีที่สุดในกลุ่มทุคติ 4 ยังขนาดนี้ นอกนั้นก็คงไม่มีใครอยากไป อ้อสิ่งที่ทำให้ไปสู่ทุคติคือ บาปหรืออกุศลกรรม คนทำ แต่บุญกุศลไปไม่ได้
.........สุคติมี 4 ได้แก่ มนุษย์ สวรรค์ รูปพรหมและอรูปพรหม ที่เรียกสุคติเพราะมีความ เป็นอยู่ดีกว่าทุคติ ต้องมีบุญกุศลมากพอถึงจะเดินทางไปสุคติได้ เหตุนี้กระมัง เวลาทำบุญ ถึงปรารถนาไปสุคติกัน ไปสวรรค์ ต้องมีบุญกุศลมาก ๆ ไม่ได้จำกัดบุญชนิดไหน ส่วนรูปพรหมอรูปพรหม นอกจากมีบุญกุศลมาก ๆแล้ว ยังต้องมีฌานสมาบัติด้วยถึงจะไปยังพรหมโลกได้  สุคติ 3 อย่างหลัง เคยได้ยินได้ฟัง ไม่ค่อยได้เห็น แต่สุคติอย่างแรกคือมนุสสภูมิ..... นี่เราอยู่ อาศัยมาแต่แรกเกิดเลยแหละ คุ้นเคยเสียจนลืมไปว่า..ที่นี่คือ สุคติ นะ ทำบุญจึงปรารถนาไปสุคติ คือสวรรค์มากกว่า ทั้ง ๆที่นี่มีอะไรดีกว่าสวรรค์อีก มาศึกษาดูซิ ใน มนุสสภูมิมีดีอะไรบ้าง
..........คนจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่องไปบำเพ็ญบารมีหลายภพหลายชาติ นรกสวรรค์ พรหมโลกไปมาหมด สุดท้ายก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในมนุสสโลกนี่แหละ แสดงว่า ที่นี่ ดีกว่าที่อื่น ไปตรัสรู้ที่สวรรค์ เมืองที่คนบริโภคบุญ สอนให้กลัวบาป อาจโดน ถามว่าบาปคืออะไร น่ากลัว ไหม หรือในพรหมโลกสอน ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา พรหมเข้าสมาบัติตลอดวัน ไม่สนใจ หรอกชรา เป็นอย่างไร ทุกข์เป็นอย่างไร คง เสียเวลามากกว่าจะสอนไตรลักษณ์ให้เข้าใจได้
.........มนุสสโลกเรามีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์องค์เจ้า ทำบุญทำทานก็สะดวกนะ พระ โพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์ ส่วนมากก็อยูในมนุษย์โลกนี่เอง เช่น พระเตมีย์ใบ้ พระมหาชนก สุวรรณสามกุมาร มโหสถจนกระทั่งเวสสันดร แสดงว่าที่นี่เหมาะสำหรับ นักบุญที่บำเพ็ญ บุญมากกว่าชาวบ้านทั่วไป

.........เป็นแหล่งรวมของผู้จะท่องไปในสังสารวัฏ ยังกะ บ.ข.ส. จากจุดนี้ตรงไปนรก ได้ เลยเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือแม้แต่เดรัจฉาน ก็ได้เลย ทำบาปมาก ๆ เข้าไว้ อยาก เกิดในภพ มนุษย์อีก ทำบุญมาก ๆ ยังไม่พอศีลห้าต้องขยันรักษา อยากไปสวรรค์ ทำ บุญแล้วยังต้องมี คุณธรรมของเทวดาคือหิริและโอตตัปปะ อยากไปเป็นพรหม ทำบุญ กุศลแล้วยังต้องมีฌาน สมาบัติด้วย เมืองมนุษย์นี่เราเลือกบำเพ็ญบุญกุศลได้ตามที่ ชอบ อ้อบาปก็ด้วยทำที่นี่แหละมนุษย์จึงเป็นเหมือนสถานีขนส่ง-รับ ผู้โดยสารไปยังภพภูมิต่าง ๆ
.........บาป บุญ คือตั๋วสองอย่าง บาปจะส่งไปทุคติ ส่วนบุญกุศลคือตัวไปยังสุคติ ขึ้นรถ โดยสารให้ถูก ขึ้นผิดเขาไล่ลงเอง เพราะฉะนั้น กลัวได้ไปทุคติ ก็อย่าชอบทำบาปนัก ไหว้พระตอนเช้าช่วยให้นึกถึงเรื่องบุญกุศล อยู่เฉย บาปมันมาชวนไปทำบาปก่อน โดย ธรรมชาติใจคนมันชอบบาปมากกว่าบุญด้วยสิ ชวนไปตกปลา ล่าสัตว์ ไปผับ ง่าย กว่าชวนไปวัด อะไรที่ทำให้นึกถึงบุญทำไว้ก่อน บาปจะแทรกยาก
.......อยากทำบุญ ไม่ค่อยได้ไปวัด ไม่ได้ใส่บาตร เปิดใจหน่อย บุญกิริยาวัตถุ วิธีทำบุญ สามหลัก ทำทาน ได้บุญ มีใครรับทานจากเราได้บ้าน ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เขายินดีรับ ทาน จากเรา คนยากคนจนก็มีอีกมากมาย ไม่ได้ไปวัดก็ทำทานได้ เดี๋ยวไปเจอวัดมี หลวงตารูปเดียววันพระไปกันทุกครัวเรือนเต็มศาลา หลวงตาน้ำตาตกเลยแหละ เพราะ บริโภคไม่ไหว มีแต่ในเมืองแหละ วัดมีพระมาก บ้านนอกทำบุญบ้านทีนิมนต์สามวัดถึง ได้พระ 9 รูป สีลมัยปฏิบัติศีล ได้บุญ ก่อน ต้องรอไปจำศีลวันพระถึงจะเรียกรักษาศีล ซึ่ง ไม่ใช่วิธีที่ดี อยู่นอกวัดต่างหากที่อยากให้มีศีล อยู่บ้านมีศีล ไปเรียนมีศีล ไปทำงานมีศีล อยู่ร่วมในสังคมอย่างคนมีศีล ศีลแบบนี้ต่างหากถึง จะเกิดบุญกุศลและได้อานิสงส์ครบ สีเลน สุคตึ ยันตึ สีเลนโภคสัมปทา สีเลนนิพพุตึ ยันตึ ตัสมาสีลัง วิโสธเย ภาวนามัย การ อบรมให้เกิดปัญญาช่วยชำระโมหะคือความโง่งมงายออก ไปบ้างเป็นบุญอย่างยิ่ง ภาวนา มิใช่กรรมฐานไม่ใช่วิปัสสนาเท่านั้น เราสามารถอบรมให้เกิดสติปัญญาที่ทำให้โมหะ ความโง่หายไปได้มากมายหลายวิธี การศึกษาคือการอบรมที่ขจัด ความโง่ได้อย่างดี มาก ๆ บุญทั้งนั้น มีค่าต่อการทำการงานอีกด้วย อย่าท้อแท้เลยว่าจะไม่ มีโอกาสทำบุญ กุศลมากเหมือนคนอื่น
.........ยกตัวอย่างสนใจอยากได้บุญมาก ตื่นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้า สมาทานศีล แผ่เมตตาจากนั้นก็ทำงานบ้านช่วยแม่ จัดของให้แม่ไปทำบุญตักบาตร ไปเรียนก็มีน้ำใจ เอื้อเฟื่อต่อ เพื่อน ช่วยทำงานชั้นเรียน ช่วยงานโรงเรียน เลิกเรียนรีบกลับมาช่วยงานบ้าน วัยทำงานก็ตั้งใจทำ เต็มกำลังความสามารถ หมั่นศึกษาหาความรู้ พัฒนาสติปัญญา อยู่เสมอ สติปัญญาที่เกิดคือ บุญราคาแพงด้วย คนที่เริ่มทำงานพร้อมกัน บางคนขยันหาความรู้ งาน เขาก็ก้าวหน้าไวกว่าเพราะมีความรู้คือสติปัญญา ก็คือบุญนั่นเอง สรุปว่ามีบุญอยู่รอบตัวเรา สนใจลองสำรวจและ เลือกทำบุญที่ชอบซิครับ มีบุญมาก ๆ จะเห็นค่าของบุญเอง



------------------------------
ไปนิพพานได้ จริงหรือ

------------------------------

.......ชาวบ้านอย่างเราที่นับถือพุทธศาสนาเคยได้ยืนชื่อ นิพพานและเข้าใจว่าเป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดและสั่งสมบุญกุศลกันเรื่อยร่ำไป ดังนั้นเวลาทำบุญทำทานมักได้ยินคำปรารถนาว่า ขอให้ได้เข้าสู่พระนิพพาน ในอนาคตกาลโน้นเทอญฯได้ยินบ่อย ๆครับ มาลองศึกษาดูกันว่าพระนิพพานที่อยากไปให้ถึง เป็นอย่างไร
.......นิพพานโดยความหมายศัพท์ หมายถึงความดับสนิท แห่งตัณหา ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา สามตัณหานี้คือสมุทัยในอริยสัจ 4 เมื่อดับได้เรียกว่า นิโรธ ในอริยสัจ 4 เมื่อนิโรธท่านเรียกว่าคือเข้าถึงนิพพาน ดังนั้นนิโรธ จึงเป็นไวพจน์ของคำว่านิพานนั่นเอง
.......มีคำอธิบายว่านิโรธคือการดับตัณหาที่เป็นสมุทัยอริยสัจ ทุกข์อริยสัจก็ดับด้วยได้แก่ทุกข์คือ ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโคทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อไปดูความหมายของนิพพานที่แปลว่าดับ ดับอะไร ดับกิเลส ได้แก่ตัณหา 3ดับทุกข์ ก็เป็นความหมายเดียวกันนั่นเองกับ นิโรอริยสัจ จากการวิเคราะห์ความหมายของคำว่านิโรธและคำว่านิพพาน แสดงว่าเกิดขึ้นในใจของผู้บรรลุอริยสัจนั่นเองไม่ใช่ภพภูมิที่จะต้องดำเนินไปหาหลังจากการตาย ไม่มีบุญกุศลใดที่ท่านบอกว่านำไปสู่นิพพาน มีแต่บอกว่าทำบุญกุศลมาก ๆ จะได้ไปสุคติคือสวรรค์ บำเพ็ญฌานให้มั่นไว้จะได้ไปยังพระหมโลก ส่วนนิพพานท่านบอกว่าต้องปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุอรหันต์จึงจะเข้าถึงนิพพานขนะที่ยังไม่ตายนั่นแหละ
........นิพพานท่านจำแนกไว้ 2 ประการคือ สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่ยังมีขันธ์ห้าดำรงอยู่ คือยังมีชีวิตอยู่ กับ อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานของผู้ที่บรรลุนิพพานมาก่อนแล้วตายไป โดยนัยนี้แสดงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อท่านบรรลุธรรมระดับสูงสุดชั้นนี้คือดับกิเลสหมดจดแล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านบรรลุสอุปาทิเสสนิพพานแล้วนั่นเองต่อมาเมื่อท่านมรณะภาพ เรียกว่าท่านเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน ดังนั้นการนิพพาน ต้องนิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยนิพพาน ถ้าตายแล้วค่อยนิพพาน ก็แสดงว่านิพพานไม่แท้ เพราะยังมีต่อหลังจากตาย นิพพานดับตัวสมุทัยคือตัณหา 3 แล้วไม่มีเหตุปัจจัยจะทำให้เกิดอีก อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านเรียกอาการแตกดับของขันธ์ 5ทานผู้บรรลุสอุปาทิเสสนิพพานมาแล้ว ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปอนุปาทิเสสนิพพาน แบบมรณภาพ เรียกการตายของพระ ไม่ใช่พระตายแล้วไปมรณภาพ
.......ทำไมไปนิพพานไม่ได้ เพราะนิพพานไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก กิเลสปัจจัยตัวสำคัญ 3 อย่างคือกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ดับหมดทุกตัวเมื่อปฏิบัติธรรมบรรลุนิโรธอริยสัจ หมดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ท่านจึงเรียกว่านิพพาน ชาติปิทุกขา ทุกข์ตัวแรกในทุกขอริยสัจก็ไม่เกิด ตัวอื่น ๆ ก็ดับไปโดยปริยาย ดังนั้นการบรรลุนิพพาเป็นการบรรลุขณะยังไม่ตายนี่แหละ การตายขณะยังไม่บรรลุนิพพาน ก็เหมือนคนทั่วไป มีสุคติและทุคติเป็นที่ไป ไม่มีนิพพานให้ เพราะนิพพานไม่ใช่ภพภูมิ แต่ถ้าภพหน้าเกิดในมนุสสภพและมีพระพุทธศาสนา ถือว่าโชคดี มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ก็อาจบรรลุนิพพานได้
........กระผมเขียนถึงนิพพานที่เป็นคุณธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา เพราะเห็นพวกพ้องชวนกันไปนิพพานแบบไปสวรรค์ คือตายแล้วไปนิพพาน ก็อยากทักว่าแน่ใจว่าใช่หรือ ปกติพระท่านจะแนะนำว่า การทำบุญกุศลให้มากไว้ ขอให้เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้พบพุทธศาสนาและได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพาน เคยทราบมาแค่นี้


-----------------------------------
สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ

-----------------------------------

..........ช่วงนี้เจอนักปฏิบัติธรรมบ่อย เจอหน้ากันก็อดสนทนาถึงการปฏิบัติมิได้ ผมไม่ช่างพูดคุย เลยคุยไม่ทันเขา เอาแต่รับฟังแล้วนำมาคิด มีเวลาก็เขียนถึง เพื่อน ๆก็รู้หลังจากวางยาแล้วก็ติดตามว่าจะเกิดผลอะไร ตามมาดูเฟซ ดูเวบบลอก แล้วก็นำไปนินทาเราทีหลังว่า กูนึกแล้วแกต้องเขียนอะไรให้พวกกูอ่านแน่ ครับก็ทราบนะว่าโดนเพื่อนชอบวางยา เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องคำสอนต่าง ๆของพุทธศาสนาสองสามวันที่แล้วก็เจอเพื่อนบอกว่า เขารู้วิธีพบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ยินก็รู้สึกทึ่งสิครับ เลยถามมันว่ารู้ได้ไง เขาบอกว่ารู้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติธรรม อาจารย์ก็ยืนยันเป็นวิธีที่จะพบสัจจะได้
.........เป็นการอบรมวิปัสสนา ทางวัดเขาจัดเข้าค่ายปฏิบัติสามวันเจ็ดวัน ให้ทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถือศีลแปด นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม อาจารย์บอกเป็นแนวทางที่จะได้พบสัจจะจริง ก็ไม่ซักต่อ เพียงแค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเขาจะพูดถึงอะไร ก็เลยอยากจะตามหาสัจจะที่เขาว่า มันเป็นอย่างไร สัจจะที่นักปฏิบัติธรรมอยากพบ อยากบรรลุถ้าเป็น แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มีตัวเดียวครับชื่อ อริยสัจจ 4 ประการนั่นแหละไม่ใช้สัจจอย่างอื่น ไปดูคำขยายที่พระอรรถกฐานจารย์ร้อยกรองไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จะเห็นแนวทางอริยสัจจคืออะไร
..........ทุกขอริยสัจจ ท่านบรรยายทุกข์ไว้ 11 ข้อ ดังบาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
..........สมุทัยอริยสัจ ท่านบันทึกไว้ว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินีเสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
..........ทุกขนิโรธอริยสัจจ บาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย
..........มรรคอริยสัจ บาลีว่า อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติสัมมาสะมาธิ
...........อันนี้คืออริยสัจจ 4 ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใจความอริยสัจนี้เป็นคำสอนที่พระองค์ตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปัตนมิคทายวัน หลังตรัสรู้ไม่นาน สมัยโน้นเพียงฟังพระพุทธองค์เทศนา ก็สามารถบรรลุอริยสัจจ ได้ คนที่บรรลุอริยสัจจได้จากการฟังเทศนามากมาย อัญญาโกญทัญญะคือคนแรก จากนั้นก็มีคนฟังเทศนาแล้วบรรลุอริยสัจจสี่มากมาย
..........ปัจจุบันคนที่สามารถเทศนาให้ผู้ฟังบรรลุธรรม หาได้ยาก พระพุทธเจ้าได้ประทานแนวปฏิบัติให้ เรียกว่า วิปัสสนา จึงมีพระภิกษุสมัยต่อมาสามารถบรรลุธรรม จากการปฏิบัติวิปัสสนามากมายเช่นกัน ถ้าสนใจวิปัสสนาเพื่อบรรลุสัจจธรรม ก็ลองปรึกษาพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสนาธุระดู จะได้คำแนะนำที่ถูกต้อง ลำพังการอ่านคู่มืออ่าน ตำรา อาจมีข้อผิดพลาดได้ พระอาจารย์ที่สามารถแนะนำเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนามีมากมาย ลองติดต่อสอบถามดู
..........การรู้อริสัจจ 4 มี 3 ระดับนะครับ อย่างกระผมรู้มาจากการศึกษาเล่าเรียนจากการอ่านเอกสารตำรา อ่านพระไตรปิฎก เป็นการเรียนรู้ระดับ ปริยัติ ส่วนท่านที่ไปฝึกปฏิบัติธรรม แนวทางสติปัฏฐาน 4 ท่านกำลังศึกษาด้วยวิธี ปฏิบัติ หลังจากที่ท่านปฏิบัติจนเกิดรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ เรียกว่าท่านเกิดบรรลุการ ปฏิบัติระดับ ปฏิเวธ ถือเป็นพระอริยะได้แล้วอย่างน้อยก็พระโสดาบันแหละ
..........ก็ขอสรุปสิ่งที่เขียนถึงวันนี้คือ การรู้สัจจะของนักปฏิบัติธรรม หมายถึงอริยสัจ 4 ครับ ไม่ใช่สัจจะแบบชาวบ้านพูดกันทั่วไป ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค กระผมนำบาลี จากธัมมจักกัปปะวัตตนสูตรมาแสดงให้ดูแล้ว ปกติคนที่อ่านแล้วทราบความหมาย มีไม่น้อยหรอกครับ บวชเรียนมาบ้างก็เข้าใจได้ เลยไม่ลงคำแปลไว้ อ้อรู้อริยสัจมี 3 ระดับจริง ครับ ตรวจสอบให้ดีว่าบรรลุระดับไหนแล้ว จะได้บอกคนอื่นได้ถูกต้อง เดี๋ยวจะกลายเป็นพูดไม่จริงไป.....
สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น