วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

ชุด ไปโรงพยาบาลประสาท 4 เรื่องย่อย

(ชุดไปโรงพยาบาลประสาท เขียนอะไรให้อ่านหน่อย หมอนัดยายที่ทรวงอก  และเฝ้าไข้ยายที่โรงพยาบาล)


--------------------------------------
ยายไปโรงพยาบาลประสาท
----------------------------------------

.......19 มกราคม 2561 คุณยายจะไปพบหมอที่ สถาบันประสาทวิทยา กรุงเทพ ฯ เพราะมีอาการปวดที่ปลายประสาท ก็ถามว่าทำไมอยู่ดี ๆ ก็จะไปโรงพยาบาลประสาท ไม่ได้บ้าซักหน่อย เลยโดนซะชุดใหญ่ บ้ากับโรคประสาทมันไม่เกี่ยวกันนะ ทุกคน มีประสาทกันทั้งนั้น ไม่มีประสาทมันก็ไม่มีความรู้สึก เข้าใจไหม....ประสาทอายุมาก ขึ้นมันก็เสื่อมได้ เจ็บปวดได้ หมอที่เชียวชาญทางโรคประสาทเขาจะแนะนำและให้ การรักษาได้ อืมหายง่วงไปเลย ก็ขอโทษยายแล้วกัน จะไปเป็นเพื่อนอยู่แล้ว ก็ตกลงคุยเรื่องเดินทางดีกว่า
......ไปกรุงเทพฯ ไม่เอารถไปนะ เพราะรู้สึกเบื่อ ๆ ขับรถเข้ากรุงเทพฯ โดยเฉพาะ แถวรามานี่ ไปสาย ๆหาที่จอดรถยากมาก ยายเห็นด้วยตกลงไปรถตู้กันตื่นตีสี่ พร้อมก็ ตีห้า ลูกสาวเอารถคันใหญ่ไปส่งที่สถานีขนส่งฉะเชิงเทรา คิวรถตู้ที่จะไปกันจอดที่นั่น ไปถึงมีรถออกพอดี เรียกให้รอเขาบอกรถเต็มให้ไปคิวถัดมา ครู่เดียวรถคิวถัดมาก็วิ่ง มาจอดและให้ผู้โดยสารขึ้น ไม่ถึงสิบนาทีเต็มทุกที่นั่ง ก็ออกปลายทางคือจตุจักร 2 มีนบุรี เคยไปสองสามครั้ง ก็เลยหลับเพราะตื่นเช้าเกินไป ปล่อยให้รถพาไป มาตื่นก็ เข้าเขตมีนบุรีแล้ว ถนนรามคำแหง เลี้ยวขวาไปมีนบุรี ไม่นานก็จอดให้ลง บอกหมดระยะ แล้วลงได้ อ้อค่าโดยสารช่วงนี้สี่สิบบาท
.......เดินต่อไม่ถึง 50 เมตรก็เป็นสถานีรถตู้มีนบุรี ไปอนุสาวรีย์ชัย กับสวนจตุจักร รถจอดอยู่คนละฟากทางเข้าสถานี ขวามือไปจตุจักร ซ้ายมือไปอนุสาวรีย์ ผู้โดยสาร ไปอนุสาวรีย์เข้าแถวน่ารักดี พอรถมาจอดก็เดินขึ้นรถ 12 ที่นั่ง เต็มก็ออก รอคิวถัดไป ไม่ถึงสิบนาทีมาแล้ว ไม่มีกระเป๋าเก็บค่าโดยสารนะ เขาใช้กล่องอัตโนมัติแทน เป็น กล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ส่งให้ต่อ ๆ กัน คนละสามสิบบาท ครบแล้วคืนมาให้คนขับ ครบ 360 ก็ใช้ได้ เคยชมญี่นปุ่นหยอดตู้เก็บเงินบนรถเมล์ เจอของไทยเจ๋งกว่า ช่วยให้คน มีวินัยดีมาก ๆ เลย ช่วงจากมีนบุรีไปอนุสาวรีย์ ไม่รู้วิ่งถนนอะไรบ้าง จำไม่ได้ ไม่เหมือน เราขับเอง ก็เลิกสนใจ เปิดโทรศัพท์มือถือดูเนวิเกเตอร์ แรกบอกประมาณ 81 กิโลเมตร ทิ่งช่วงจากหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงครึ่ง ดูใหม่เหลือ 30 กิโลเมตร สังเกตรถติดตลอด มาถึงอนุสาวรีย์ก็สองโมงเศษ
.......เดินออกจากท่ารถก็อนุสาวรีย์ชัย จะไปรถแท็กซี่ยากโบกหลายคัน มันไม่จอด รับ แหมแต่ตัวสวยยังกะคุณนายทำไมไม่จอดรับนะ...ก็เลยบอกว่าอย่าไปเรียกรถที่ เขาไม่ได้เปิดไฟป้าย"ว่าง" เพราะแสดงว่ามีผู้โดยสารแล้ว ไม่นานมีไฟว่าฃ วิ่งมาโบก ทีเดียวได้เลย คนขับอายุห้าสิบเศษยายสัมภาษณ์เอง เราฟังก็รู้สำเนียงบ้านเฮา ก็ไม่ อยากคุยด้วยกลัวเขาจะรู้ว่าบ้านเดียวกัน เดี๋ยวจะเรื่องยาว ไปไม่ถึง 500 เมตรเองก็ ถึงทางเข้าสถาบันแล้ว ให้แกเลือกจอดตามสบาย จอดไหนเราก็ลงที่นั่นแหละ 47 บาท ค่าแทกซี่ ลงตรงหน้าโรงอาหารพอดี กำลังหิว ยายอุทานดีใจนึกว่าอะไร ที่แท้วันนี้มีคลอดนัด พ่อค้าแม่ค้าขายของตรึม ลิ่วจะไปตรวจตลาด แหมสองโมงเศษ หิวมากแล้วกินก่อนน่ายาย
.......ขึ้นไปบนอาคารโรงอาหาร คุ้นเคยดีมาทานหลายครั้งแล้ว คุณจ้อให้ตั๋วคนละ100 ไปแลกเกาเหลาเลือดหมูเจ้าเก่า ชุดละ 40 บาท นั่งก่อนยาย ครู่หนึ่งยายเอามาอีกชุด สงสัยนึกไม่ออกจะกินอะไร เลยมาลงเกาเหลาเหมือนกัน น้ำเปล่าอีกสองขวด ครบ แล้วอาหารเช้า ความจริงโรงอาหารเขามีสิบกว่าร้าน อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราด แกง ร้านอาหารอีกสาน(ส้มตำ แก่งอ่อม ลาบ ไก่ย่าง) ยังเช้าอยู่เลยเว้นไว้ เสร็จทาน อาหารก็เกือบสามโมง เพื่อนยาย คุณ จ้อ เดินมาหาบอกว่าเตรียมการรับการตรวจไว้ให้
ได้คิวที่สอง โหสุดยอด แต่ไม่แปลกใจนะ เพราะเขาทำงานอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นคนใจดี ชอบบริการเพื่อนฝูง ขอบคุณมากจริง ๆ
.......ขึ้นไปตึกตรวจคนไข้ ก็เหมือนโรงพยาบาลทั่วๆไป ให้วัดน้ำหนัก ความดัน ปรากฏ ว่าความดันยายสูงไปหน่อย ต้องรอวัดอีกรอบ จึงค่อยได้เข้าพบหมอ เห็นนานเลยลง ไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่นไปมามีโทรศัพท์บอกว่ายายกำลัง รอรับยาหน้าห้อง 13 ก็เลยรีบ ขึ้นไปชั้นสอง ครูเดียวยายก็ได้ยาเมื่อสี่โมงเศษ มีเวลาตรวจการตลาดนัด ก็เชิญกัน ตามสบาย ชอบชอปทั้งคู่หอบหิ้วกันเต็มมือ ออกไปรอแทกซี่หน้า รามา นานมากกว่า จะเรียกได้ เพราะไปแค่อนุสาวรี ใกล้เที่ยงด้วย คนเรียกเยอะด้วย คนขับบอกว่าช่วง เวลานี้ผู้โดยสารเยอะ ใกล้ ๆ ไม่อยากรับกัน ค่าแทกซี่เท่าขามา 47 บาท โดยไม่ได้นัด หมาย พวกเราไปลงรถหน้าศูนย์การค้าเซ็นจูรี
........ช่วงพักเที่ยงคนเยอะร้านอาหารอร่อย ไม่แพง นักเรียนนักศึกษาชอบมาทานกัน เขาบอก ท่าจะจริง คุณจ้อนำทางไปร้านก๋วยเตี๋ยว คนแน่นมากคงจะอร่อย คนรับแขก หน้าตาคุ้น ๆ สำเนียงบ้านเฮา คุยไปคุยมาจำได้ ภรรยาเขาเป็นกลุ่มเพื่อนยายนักเรียน พยาบาล พปก.จันทบุรีนั่นเอง เมนูก๋วยเตียวเรือของแท้สูตรดั้งเดิม สมัยไปเดินซื้อ หนังสือริมคลองหลอด ใกล้ศาลพระแม่ธรณี จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาท อร่อย มาก ไปทีไรซัดสองชามประจำ หลังจากนั้นปิดตลาดนัดสนามหลวง ก๋วยเตียวเรือก็ หายไปด้วย มาโผล่ที่อนุสาวรีย์ ได้ลองอีก รสเดียวกัน วันนี้ได้กินก่วยเตี๋ยวเรือรส แบบนั้นอีกก็อดคิดถึงความหลังไม่ได้ น่าเสียดายกินอิ่ม ไม่เก็บตังค์ซะนี่ ก็ได้แต่ขอบ พระคุณมาก ๆครับ ไปอีกจะแอบไปอุดหนุน เมนูราคา 16 บาทชามเล็ก 30 ชามใหญ่
........อิ่มอร่อยก็ออกมาเจอแผงขายเสื้อผ้าราคาไม่แพง120 150 200 250 ป้ายที่ปิด ไว้สองคนเดินตรวจใหญ่เลย ไปเจอกางเกงยักษ์ เอว 48-50 นิ้ว โคนขา 40 เซ็นต์ ยาย เลือกมาหลายตัว คงเอาไปฝากลูกหลานที่เขาใช้ขนาดพิเศษพวกนี้ได้ ได้ของชอบ แล้วก็ออกมา คุณจ้อนำมาส่งถึงท่ารถตู้ไปมีนบุรี ขึ้นรถแล้วก็ลากลับ ขอบพระคุณมากนะ ครับมากรุงเทพทีไรก็รบกวนทุกที ไปทรวงอกก็เจอ มาทางสถานบันประสาทก็เจอ น้ำใจไมตรีเหลือล้นจริง ๆ
.......ออกจากอนุสาวรีย์ชัย ฯ รถวิ่งทางเดิม อ้อ..ถนนสาย 304 มาลงมีนบุรี ถามหาท่า รถไปฉะเชิงเทรา เข้าชี้ไปแถวคนยืนข้างถนน เข้าใจแล้วตอนเช้าก็เห็นที่ท่ารถตู้ที่จะ ไปอนุสาวรีย์ อยู่ฟากทางฝั่งโน้น ขากลับเขาให้ผู้โดยสารยืนรอที่ฟุคบาท เข้าแถว กันนึกว่าซื้อของกิน กลายเป็นผู้โดยสารจะไปที่ฉะเชิงเทรา ประมาณ 15 คน ถามหารถ รถไปฉะเชิงเทรา เขาบอกให้ไปต่อท้ายแถวได้เลย ถามพ่อหนุ่มเขาบอกจะไปแปดริ้ว เออ แปดก็แปด ไม่นานก็มีนายท่าเดินมานับ 12 คน บอกให้เดินตามเขาไป เห็นพาเลี้ยว ขวาลับหายไป สักห้านาที นายท่ามานับอีก 12 คน มีคนเพิ่มแต่เมื่อไรไม่รู้ พาไปส่งรถ ถึงขนส่งฉะเชิงเทรา ห้าโมงเศษ ต่อสามล้อตุ๊ก ๆ ถึงบ้านเกือบหกโมง เหนื่อยเอาการ ยายขอหลับ แต่เราไม่เคยหลับหัวค่ำ เลยมานั่งเขียนบันทึกจนเมื่อยมือ จบแล้วครับ

--------------------------
เขียนอะไรให้อ่านบ้างสิ 

---------------------------
.......วานนี้ 24 มกราคม 2561 ตั้วใจจะคีย์โตเกียวแห่งความหลังต่อ เพราะยังไม่ ถึงครึ่ง ขนาดคีย์ไปแล้ว 25 หน้า ยายเรียกให้ขับรถพาไปธุระหลายแห่ง แถมกำชับ ด้วยว่าเขียนเล่าให้อ่านด้วย เออประหลาดคนแบบนี้ก็มี ก็ไปด้วยกันยังจะต้องเขียน เล่าให้อ่านอีก
.......เช้า ๆ ว่างนะ ยังไม่ได้ออกไปไหนก็รดน้ำต้นไม้รอบ ๆบ้านเหมือนทุกวันแหละ เจ็ดโมงครึ่ง อ้าวโดนใครถีบ ทาโร่เขาปล่อยมันวิ่งตามหา เรารดต้นไม่อยู่ก็ไม่สนใจมัน ท้วงด้วยโดดถีบด้วยความรัก เรียกความสนใจ เออมึงรักบ่อย ๆเดี๋ยวโดนเคาะหัวหรอก ครู่หนึ่งเด็กแม่บ้านก็ตามหาทาโร่ไปกินอาหารเช้า ข้าวสวยคลุกต้มจืดโครงไก่ อ้อไม่จืด เท่าไรหรอกเขาเติมซีอิ้วขาว เกลือ แถมรสดีให้ด้วย ดูเขาเลี้ยงหมายังกะเลี้ยงเด็ก 

.......ตัวยุ่งไปแล้วเราก็รดน้ำต่อ วันนี้มีกลิ่นหอมฉุน ๆ แบบกลิ่นดอกราตรี เอเราปลูก กอเดียว มันก็ปลีกวิเวกไปกองขยะเทศบาลแล้วนี่นา ก็มันตายนั่นแหละ แต่ทำไมหอม ฉุนมากมาย มัวแต่ส่องดูตามพุ่มมะลิ ไม่เจออะไร แต่กลิ่นมาจากแถว ๆ นี้แน่ ดูไปมา เงยหน้าขึ้นอ้าว คุณวาสนา เล่นแตกช่อดอกพร้อมกันสามช่อเลยเหรอ มิน่าหอมมาก ใช่แล้ววาสนากลุ่มนี้โดนตัดทั้งไปนานแล้ว เอาลำต้นตัดเป็นท่อน ๆชำไว้ ได้ปลูกใหม่ 3 กอ กอนี้แตกหน่อได้ 3 ต้น กำลังงามสูงสัก 2.5 เมตร ไม่ค่อยได้สนใจพิเศษอะไร อยู่ใกล้ก๊อกน้ำ รดน้ำง่าย ชุ่มดินตลอด ที่สุดเขาก็แตกช่อดอกพร้อมกลิ่นหอมฉุนมาก ผมชอบนะหอมแบบดอกราตรี แต่นี่ฉุนมากไปหน่อย อยู่ห่าง ๆ พอไหว
......ต้นไม้รอบบ้านเริ่มแก่และโรยราไปหลายสิบต้น บอกยายว่าไม่ต้องหามาปลูกทด แทนหรอก เพราะคนดูแลก็นับวันแก่มากขึ้นเช่นกัน เดี๋ยวจะขยายพวกที่ดูแลง่าย ๆ แทนเช่น สับปะรดสี ดูไกล ๆคล้ายกล้วยไม้นะ ลืมรดน้ำซักเจ็ดวันยังเฉยเลย ทนมาก มัดติดตอไม้คนนึกว่าเป็นกล้วยไม้ นี่ก็ขยายไว้แทนพวกที่เฉาตายไป หนวดฤๅษี ดู ตอนมันห้อยย้อยเหมือนหนวดยาว ๆสีหงอก ๆ ต้องมีพวกเยอะ ๆ ถึงจะสวย นี่ก็ปลูก ง่าย จับมารวม ๆกันอัดใส่กระถางเล็ก ๆ ลวดเกี่ยวไว้ เอาไปห้อยไว้ ลืมรดน้ำไม่เป็นไร
สัปดาห์ละหนก็ไม่ตาย ว่านนาคราช ชอบชื่อมัน ชอบเวลามันเลื้อยเป็นลำยาว ๆมีใบ เป็นกลุ่มที่ยอดสีเขียว ๆ มีแดงแซม สวยน่าชม เลือกเถาแก่ ๆ มาตัดชำทิ้งไว้รดน้ำมั่ง ลืมมั่ง ไม่นานก็แตกยอด ไม้พวกนี้ดูคล้าย ๆกะบองเพชรนะทนแล้งได้ดี
......คล้า ไม้ใบสวยงาม ปลูกไว้หลายอย่างเหมือนกัน ที่เห็นแวบ ๆ ต้องขุดเอามาขยาย ก็คล้าใบลาย ว่านนกคุ่ม ถ้าไม่ขยายอาจหายได้เหมือนกัน พลูด่าง คงต้องตัดสางออก เพราะรกแล้ว เหลือไว้ซักสองสามกระถางพอ สาวน้อยประแป้งเหลือกอเดียวนี่ก็ควร ขยาย ไม้พวกนี้ดูแลง่าย มีหลายต้นก็ไม่เป็นไร ว่านงาช้างได้มากอเดียว แตกเต็ม กระถางเป็นแบบหน่อสีเขียวแก่ แยกแล้วได้ 5 กระถาง ไม่มีเฉาเลย ใบอุ้มน้ำขนาดนั้น เฉาก็เกินไปละ นี่ก็ปลูกง่าย อยู่เป็นกลุ่มสวยดีนะ ลิ้นมังกรมีอยู่กอหนึ่ง แตกใบจนรก
ตัดทั้งไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ขึ้นใหม่รกดีเหมือนเดิม เดียวแยกไปปลูกใหม่ซักสาม หลุมจะได้รกน้อยหน่อย
......ว่านหางจระเข้ นี่ก็ปลูกง่าย ใบมันน้ำเยอะ ลืมรดน้ำก็ไม่เหี่ยว ยายขอบปลูกเอา เจลไปทำเครื่องสำอาง อ้าวนั่นจันผา แตกหน่อชักจะรกแล้ว ต้องตัดแยกไปชำก่อน ค่อยปลูก ไม้ที่เหมือนจะดูแลง่าย กลับยากเหมือนกัน เอเดินชมสวนนานเกินไปแล้ว ไปธุระอย่างอื่นบ้าง ยายให้พาไปร้านซักผ้า
........เครื่องซักผ้าตายหลายวันแล้ว แต่เราก็ยังต้องใช้เสื้อผ้าที่ซักและรีดด้วยนะ ที่ รีดไว้ก็จวนจะหมด ที่ใช้แล้วก็เต็มตะกร้า ลูกสาวไปทำงาน ว่างอาทิตย์วันเดียว ยาย เลยว่าจะเอาไปซักเองที่ร้านเขา เคยไปกับลูกสาว ทำได้ไม่ยากหรอก แต่ช่วยขับรถ พาไปหน่อย นี่ไงภาระกิจสำคัญวันนี้ ถอยรถออกมามีตะกร้าเสื้อผ้าเต็ม 2 ใบ ติดท้ายรถ ไปไม่ถึง 500 เมตร เจอหน้าร้าน ยายลงไปใช้เครื่องซักแบบหยอดเหรียญ มันคำนวณ เสร็จภายใน 1.25 ชั่วโมง สั่งซักเสร็จ ยายให้พาไปวัดโสธร เลี้ยวขวาเข้าไปอาคาร จอดรถฟรี ของวัด เดินออกมายายไปพบหัวหน้าแพทย์แผนไทย ติดต่อนวดไว้แต่ เช้าแล้ว ได้คิวช่วงนี้พอดี โหวางโปรแกรมแน่นเชียว
.........เจอเราเขาจำได้เพราะมาบ่อย เขายื่นตะกร้าให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มีเวลา 1 ชม. เสร็จเดินเข้าไปห้องนวด มีคนไข้นวดครบ 6 เตียง ว่างคือเตียงที่เราจอง หมอนวด เป็นผู้หญิงวัยสัก 40 เศษ คุยเก่ง มือหนัก เธอวัดความดันบอกปกติ นวดได้ ถามว่า ปวดไหน ก็บอกว่าปวดเมื่อยทั้งตัวแหละ ที่มาวันนี้อยากให้ดูปวดน่องสองข้างให้หน่อย เพราะปวดมากกว่าที่อื่น เธอก็เรื่มบรรยายเลย...กล้ามเนื้อแข็งนะ มิน่ามันปวด ตรงนี้ก็ ตึงมาก เดี๋ยวหนูเอาน้ำมันทาและนวดให้ เลยถามว่าไม่ใช่น้ำมันพรายนะ เธอบอกไม่ใช่
ง้นก็ทาและนวดได้เลย ครู่ใหญ่ ๆ เธอบอกขอถามหน่อย น้ำมันพรายมันเป็นยังไง อ้าวไม่รู้หรือ เคยดูละครแบบหมอผีหมออาคมไหม เธอว่าเคยดู แบบนั้นแหละหมอ ผีหมออาคมเขาแสวงหากันนัก น้ำมันพราย ผีตายโหง ตายท้องกลม เขาชอบ ไปทำ พิธีปลุกเสก เอาเทียนอาคมลนคางผีให้น้ำมันพรายไหลหยดลงมา รองเอามาทำพิธี ปลุกเสกเก็บไว้ใช้ ใช้ทำอะไร..ก็เชื่อกันว่ามีความขลังทางเสน่ห์ ทำให้รักให้หลง ผ่านไปชั่วโมงหนึ่งจบคอร์สเขา เป็นกิจกรรมพิเศษที่ยายจัดให้วันนี้
........ออกจากห้องสปานวดแผนไทย ก็ไปดูเครื่องซักผ้า มันเสร็จพอดี กลับบ้านก่อน จะเอาผ้าไปตาก เลยแวะร้านส้มตำเจ้าประจำได้ส้มตำปลาดุกย่างข้าวเหนียว ก็พา กลับไปบ้าน ยายตากเสื้อผ้าเอง เราก็หิวมากจะบ่ายสามแล้วไม่ได้ทานข้าวเทียงเลย แวบไปทานส้มตำบนบ้านนั่นแหละ อิ่มกำลังจะพักผ่อน ยายมาตามไปเอาผ้าที่ซักไว้ ตะกร้าที่ 2 ไปเอามาตากอีก เต็มสองราวตากผ้าเลย ตากผ้าเสร็จมาตามอีก ไปโรง พยาบาลมีธุระกับน้อง ๆเขาสั่งขนมไว้พาไปเอาหน่อย เออเห็นเราเป็นพลขับแทกซี่ รึไงเรียกเอา ๆ ไปก็ไปเนาะ ไม่กล้าขัดคอหรอก แวบไปทางซอยศาลากลางนะ ออก ถนนริมแม่น้ำบางปะกงน่ะ แถวร้านขายของกินเยอะ ๆ ใกล้ปากทางเข้าศาลหลักเมือง ชลอให้หน่อย ใช่ร้านขายไอติมไหม ก็ใช่ทำไมจะทวงหนี้เขาหรือ เปล่าจะกินไอติม เจ้านี้อร่อยมาก ยายก็หิวเป็นนะ ก็จอดให้ลงแล้วเข้าไปจอดรถที่ศาลหลักเมืองกลับมา ไอติมหมดไปถ้วยหนึ่งแล้ว จบที่สองถ้วย จะขึ้นไปโรงพยาบาล รถรอที่นี่แหละ
........ไปโรงพยาบาลที่นี่ เป็นกิจส่วนตัวเสมอ ไม่ต้องพาไป ก็เข้าใจเพาะยายทำงาน อยู่ที่นี่จนเกษียณมีแต่คนรู้จัก เอ้ารอก็รอ แต่ เอ...กว่าจะลงมาคงนาน ไปเดินเล่นริมน้ำ บางปะกงดีกว่า หน้าโรงพยาบาลฟากถนนคือฝั่งน้ำบางปะกง เขาจัดทำสวนพักผ่อน หย่อนใจสวยงาม วันนี้ตันไม้ทุกต้นประดับไฟยังกะเทศกาลปีใหม่ ไม่รู้มีงานอะไร ถ่ายรูปไว้สองสามรูป สมัยโปเกมอนเปิดตัวใหม่ ๆ แถบนี้ดังมาก เพราะเขาวางจุด ให้คนจับโปเกม่อนมากมาย มีศูนย์ยิมสองสามแห่ง เลยลองเดินสำรวจดู อ้าวยังอยู่นี่ นึกว่าปิดไปหมดแล้ว ลองจับเล่นได้ตัวใหญ่ ๆ หายากสองตัว จากนั้นก็กลับไปรอที่รถ นานโขอยู่เห็นโทรมาบอก กำลังลงจากตึกเตรียมรถได้ ดูละครมากไปรึเปล่า ที่ยืน โทรน่ะมันชั้น 9 ลงมาแล้วเดินมาหารถก็ 500 เมตรได้ สตาร์ทรถรอก็แช่แห้งสิ ยืน รอดีกว่า ใช่จริง ๆ กว่าจะเห็นเดินเข้ามา จากนั้นก็พากลับบ้าน จบนะไม่มีอะไรจะเขียน ให้อ่านอีกแล้ว




-------------------------------
หมอนัดยาย 16 ตุลาคม 2560 

-------------------------------
........ยายมาเป็นคนไข้โรงพยาบาลทรวงอก เพราะสงสัยเส้นเลือด เลี้ยงหัวใจตีบ เทียวไปโรงพยาบาลรามาประมาณ 2 ปี ไม่ไม่มีข้อสรุป เลยชวนไปตรวจที่นี่ เพราะผมเป็นคนไข้ทำบอลลูน 3 จุด และมาพบ หมอประจำ ถ้ายายมาตรวจที่นี่ ก็สบายใจได้เพราะหมอเชี่ยวชาญเฉพาะ โรค น่าจะตรงกับสิ่งที่ยายสงสัย อ้อยายเคยเป็นพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่ โรงพยาบาลพระพุทธโสธรฉะเชิงเทรา ลาออกก่อนเกียณ ก็มีความรู้ พวกโรคภัยไข้เจ็บดี ครับลองมาตรวจดูตามกระบวนการของหมอดที่นี่ ที่สุดก็ตรวจใหญ่ เอกเรย์ และฉีดสี พบว่าเริ่มมีอาการ ไม่มาก ไม่จำเป็น ต้องผ่าตัดใส่ขดลวด ทานยาประจำก็น่าจะหายได้ ถ้ายัง
ไม่ดีขึ้นค่อยดู อีกที ยายสบายใจที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ต้องทานยาตามหมอสั่งและพบ หมอตามนัด
..........ผมก็ทานยาตามหมอสั่งและมาพบหมอตามนัด ช่วงนี้นัดห่าง ประมาณ4-5 เดือนครั้ง แต่ยายนัด 15 วันครั้ง นี่เองที่ต้องพายายมา พบหมอที่โรงพยาบาลทรวงอก นนทบุรีบ่อย ๆ ตรวจและรับยาก็กลับ บ้านได้ ยายเขามีเพื่อนเรียนพยาบาลที่วิทยาลัยพระปกเกล้า จันทบุรี ทำงานอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ฯ หลายแห่ง ตอนนี้เกษียณหมดทุก คนแล้ว พอได้ข่าวยายมาพบหมอ แห่กันกันเยี่ยม ช่วยติดต่อประสาน งานการตรวจการรับยา สนุกกันใหญ่ วันนี้ยายเลยหาผลไม้ลูกโต ๆ มา ฝากเพื่อน มะพร้าวอ่อน ซื้อเขาลูกละสิบบาท อ้อไปซื้อที่สวนเลยนะ เจ้าของสวนใจดี พอรู้จะเอาไปฝากพวกพยาบาลเพื่อน ๆ จัดการปาดหัว เจียนท้ายให้ตั้งได้ สวยงาม ซื้อมา 50 ลูก เลยมีปัญหา เพื่อนมารถเมล์ กันต้องตาม
ไปส่งที่บ้าน ก่อนไปบ้าน พาไปเยี่ยมเพื่อนหน่อย
........เราก็บอกนะว่าเราไม่ใช่คนกรุงเทพ ไม่รู้จักหรอกที่ไหนคืออะไร รู้แต่มันคือที่ไหนไปทั่วกรุงเทพฯแหละ อยากให้ขับรถไปส่งที่ไหนก็บอก ทางแล้วกัน เขาบอกให้พาไปแถววัดราชบพิธ คุณไปหายมราชถูกไหม แหมที่อื่นมีถมไป ไปหายมราชทำไม อ้อขอโทษทางด่วนไปลงยมราช แล้วค่อยไปต่อสนามหลวง ไปถูกไหม ไม่รู้สิเนาะ ปกติให้คนอื่นพา
ไป ขับไปเองไม่แน่ใจ บอกทางดี ๆแล้วกัน กดเนวิเกเตอร์ยมราช มีแฮะ ออจากทรวงอกทาทางงามวงศ์วานลอดทางด่วนไปขึ้นอีกฝั่ง ด่านนี้ มาบ่อย ขามาเสียสิบบาท เขาเรียกด่านกาแฟ ขากลับโหดหน่อยเก็บหก สิบบาท วิงย้อนมาทางจตุจักร บขส.นั่นแหละ เห็นทางด่วนสายใหม่ ขึ้นที่นี่ปลายทางพุทธมณฑลสะดวกมากมาย ยังหาเรื่องไปพุทธมณฑล ไม่ได้เลยยังไม่ได้ลอง เลยมาถึงแยกอนุสาวรีย์บอกทางให้ตัดตรงไป ทางรามานะ อืมสนุกดีแย่งกันบอกทาง ทานด่วนวิ่งผ่านหน้าตึกสมเด็จ พระเทพฯจำได้ ไม่นานเห็นป้ายยมราช
.........ลงทางด่วน ไปหาหลานหลวงนะ ไม่ใช่ลูกหลวงเหรอ เปล่า หลานหลวง เลยแซวว่าสงสัยพระองค์ภาแน่เลย งงกันอะไรนะ เราไม่ บอก ตรงไปถนนหลานหลวง ผ่านฟ้า เข้าราชดำเนิน มุ่งไปสนามหลวง จะถึงสนามหลวงแล้วให้ไปซ้ายหรือขวา เลยจะเลี้ยวซ้ายเสียงบอก ไม่ใช่ตรงนี้ ไปอีกค่อยเลี้ยว ไปวัดราชบพิธ ค่อยเลี้ยวซ้ายอีก เล่นเลียบ คลองกลับมา เสียดายวันนี้เขาปิดถนนที่จะให้เลี้ยวซ้าย เลยวนออกขวา คนบอกทางมึนไม่รู้จะให้ไปทางไหน เราก็วิ่งออกสนามหลวง ไม่หลง หรอกแถวนี้ที่เที่ยวตลาดนัดสมัยก่อนโน้นมาทุกเสาร์อาทิตย์ วิ่งไปจนถึง วังเห็นประตูวังเกิดกว้าง รถคันหนึ่งแล่นออกมา เลยแกล้งถามว่าเข้าวัง ไหม เลยได้หัวเราะกัน นั่นมันรถวังเขา เรามันรถชนบทเข้าไม่ได้ ก็อ้อม ไปทางวัดโพธิ์ เห็นป้ายโรงเรียนวัดราชบพิธ ดีใจโทรบอกกันว่าถึงวัด ราชบพิธแล้ว
.........มีเสียงบอกทางผ่านโทรศัพท์ บอกเลี้ยวซ้าย อ้าวทางปิดออก ไปทางขวา ขึ้นสพานพุทธ วนกลับมาอีกรอบ เลียบมาทางคลองหลอด ถึงกระทรวงมหาดไป เสียงบอกทางใช่ ๆ ๆ ๆ ไม่นานก็เห็นคนดักทาง กวักมือให้ ทำไมเขารู้รถเรานะ ยายบอกรู้สิ ฉันส่งเลขทะเบียนให้ไปแต่ แรกแล้ว อ้อ อย่างนี้เอง จอดรถแล้วก็เชิญสนทนาพาทีกันตามสบาย เลี้ยงข้าวปลาอาหารกัน สนุกสนานตามประสาเด็กนักเรียนพยาบาลพบ กัน ถึงจะวัยหลังเกษียณก็เถอะ คุยกันสนุกได้เท่าเดิม ก็ดีนะนาน ๆพบกัน เราก็เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ตรงนี้มันด้านหลังกระทรวงมหาดไทย ถ้าถนน ไม่ปิด ก็ไปหน้าศาลอาญาเลี้ยวข้างกระทรวง
ได้ คุยกันสนุกสนานเฮฮา พอสมควรแก่เวลาก็ลากลับ เป็นห่วงกันกลับถูกไหมล่ะ เลยบอกว่าผมรู้ ทางไปยมราช พันธทิพย์งามวงวาน จานั้นบอกทางเองละกัน กดเนวิ เกเตอร์มันพาไปยมราช ขึ้นทางด่วนกลับมางามวงศ์วาน ลงทางด่วนสัก 150 เมตรก็พันธทิพย์งามวงศ์วาน เพื่อนของลงไปห้างสามคน เหลืออีก สาม ไปตามซอกซอยโผล่วัดบางขวัญ ออกด้านหลัง ไปบ้านคุณจ้อ ของฝากลงที่นี่แล้วไปส่งอีกสองคน ใกล้ ๆเมืองทองธานี
........เดินตลาดนัดก็นึกถึงตลาดใกล้บ้านที่ไปบ่อย ๆ แต่ของจะถูกลง คน ขายก็แปลกหน้ากัน ไม่ค่อยรู้จักเรา ต่างกับตลาดหน้าศาลากลาง มีแต่คนรู้จัก ไปแผงไหนก็ถามหาแต่ยาย ยายไม่มาด้วยเหรอ บางครั้งหมดอารมณ์ไม่ อยากเดินเลยก็มี ขึ้นรถเสร็จก็กลับกัน แต่ขำดี พอกลับรถได้ ฝนเทลงมา อย่างหนักแทบวิ่งรถไม่ได้ วิ่งมาสิบกว่ากิโลเมตรยังไม่พ้นสายฝน จนนึกห่วง บ้านเพราะตากผ้าไว้ยังไม่ได้เก็บ แต่ยังโชคดีพระพิรุณท่านคงทราบ เลยไม่ให้ ฝนหยดลงแม้แต่หยดเดียว ที่บ้านไม่มีฝน จอดรถเก็บของตามระเบียบจบได้
----------------------------
ไปเฝ้าไข้ยายที่โรงพยาบาล 

---------------------------
.......ผมเขียนเรื่องพาคุณยายไปพักผ่อนที่รีสอร์ทชื่อคล้ายโรงพยาบาล พออ่านเนื้อหาก็ทราบ
ว่าใช่โรงพยาบาลจริง ๆ ผมเขียนให้คนอ่านรู้สึกเบา ๆไม่ซีเรียส แต่บางท่านก็สงสัยว่าโรงพยาบาล
คล้ายรีสอร์ทตรงไหน ครับก็ชวนสงสัยจริง ๆ คนอื่นอาจรู้สึกกลัว ๆ เมื่อต้องไปโรงพยาบาล แต่คุณ
ยายจะรู้สึกเหมือนไปเยี่ยมบ้าน เพราะยายทำงานอยู่ที่นี่กว่าสามสิบปี มีพี่น้องที่คุ้นเคยกันยังทำงาน
อยู่เป็นจำนวนมาก ไปติดต่อแผนกไหนก็ได้ยินเสียงทักทายและให้กำลังใจ อยู่บ้านซะอีกที่เงียบ
เหงา ผมเลยแซวว่ามาโรงพยาบาลยังกะมาพักที่รีสอร์ทเลยนะยาย แกทำปากขมุบขมิบ คงสรรเสริญ
เข้าให้นั่นแหละ
........ยายมาโรงพยาบาลเที่ยวนี้เพราะหมอจะผ่าเอาสกรูที่ใส่ไว้คราวหกล้มสะโพกร้าวนานแล้วแหละ
ออกให้ เพราะกระดูกเชื่อมติดดีแล้ว คืนวันที่ 5 พย.2560 นอนพักเตรียมพร้อมรับการผ่าตัด ลูกสาว
พามาส่งตั้งแต่สามโมงเช้า ได้ห้องที่ตึกใหม่ เบอร์ 1404 ชั้นสิบสี่ห้องที่สี่ โทรมาบอกก็สบายใจที่
ได้ห้องกะว่าหลังเที่ยงจะแวะไปดู ซักห้าโมงเห็นเดินยิ้มเข้ามาบ้านทักทายกับหมาน้อย แปลกใจก็
ถามได้ความว่าขอเขามาทำธุระนิดหน่อยบ่ายให้ตาไปเฝ้า ก็ตามนั้นบ่ายคนเฝ้าก็เป็นตาตามสั่ง
........ถามพยาบาลเขาบอกเป็นการผ่าเอาสกรูออก ไม่อันตรายรักษาแผลให้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร
ก็เลยกลับบ้านเอาโน้ทบุ๊คมานังเขียนหนังสือฆ่าเวลา เขียนไปเขียนมาอยากอัพเฟซบุ้ค เขียนในคอม
จะอัพด้วยมือถือ ไม่ค่อยสะดวก ลองเชื่อมเนตผ่านมือถือด้วยฮอตสปอต ช้าแต่ก็ส่งได้ถ้าข้อความ
ไม่ยาวเกินไป ยาวเกินใช้เวลานานมากรอไม่ไหว ก็พอแก็ปัญหาได้ ปกติโน้ทเวลาเล่นที่บ้าน ใช้
WTFIของบ้านได้เลยเพราะเราเป็นคนตั้งพาสเวอร์ดเอง อยุ่โรงพยาบาลเชคดูมีสัก 12 ชื่อ แต่เราไม่รู้
พาสเวอร์ดเลยใช้ไม่ได้ ขนาดบางชื่อบอกบริการฟรี พอคลิกจะเชื่อมก็ถามหาพาสเวอร์ด นั่นแหละจึง
ต้องงมใช้มือถือ บริการไวไฟฟรีของ ไอ.ซี.ที. ที่คุยว่ามีทั่วถึงทุกจังหวัด ทุกตำบล ลองค้นหาข้อมูล
พบว่าต้องอยู่ใกล้จุดบริการ และต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน สมัครก็ไม่ได้อีก เพราะเราอยู่ห่างจุดบริการ
สงสัยว่าจุดบริการจะอยู่สำนักงานเขาเองมั้ง มีก็เท่ากับไม่มี
.......คนป่วยดูแลไม่ยาก มีเจ้าหน้าที่พยาบาลมาตรวจเยี่ยมตามหมอสั่ง ทำแผล ให้ยา เวลาอาหาร
ก็ทานไม่หมด คนเฝ้าต้องช่วยทุกมื้อ ช่วยกินน่ะ เหลือเยอะของดี ๆ ทั้งนั้น แต่มันจืด มีน้ำปลาก็พอไหว
นอกนั้นก็นอนพัก เข้าห้องน้ำก็ยุ่งหน่อย สายน้ำเกลือ สายระบายของเสียจากแผลผ่าตัด ทุกลักทุเล
กว่าจะเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยุ่งดี แขนเสื้อต้องสอดสายน้ำเกลือ ส่วนผ้านุ่งยายอยากได้แบบกางเกง
เหน็บแน่นดี แต่มันต้องสอดสายยางลอดขากางเกง เลยเอาผ้าถุงให้แทน เวลาอาบน้ำยายชอบใช้ผ้า
ขนหนูเล็ก ๆ ชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวบ้าง เช็ดตูดมั่ง ก็ใช้คนละผืนกัน แต่มันสนุกตรงเอาไปตาก แห้งแล้วจำ
ไม่ได้ผืนไหนเป็นผืนไหน เพราะมาจากห่อเดียวกันสีเดียวกัน จนต้องไปซื้อห่อใหม่สีใหม่
...เช้าเย็นจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจเชคเบาหวานความดัน ถามเขาบอกปกติก็เลยสงสัยว่าหน้าห้องบอกให้จัด
อาหารของคนเป็นเบาหวาน ไม่เปลี่ยนให้เหรอเธอสงสัยทำไมล่ะ ต้องหมอสั่งถึงเปลี่ยนได้ แหม 3 วัน
ที่ตรวจเบาหวาน 101-110 อยู่ช่วงนี้เอง เปลี่ยนอาหารได้คนเฝ้าจะได้ทานง่ายหน่อย แค่นี้แหละที่ถาม
เธอหัวเราะบอกว่าแล้วจะถามหมอให้ สงสัยงวดหน้ามั้งถึงจะเปลี่ยนให้ ของเยี่ยมไข้พวกขนมเครื่องดื่ม
ไม่มีปัญหาคนไข้เลือกทานได้ตามใจชอบ แต่ผลไม้ช่วงนี้มีแต่ของทานยากเช่น มะม่วงมัน ฝรั่ง พลับ
ยายเขาใช้ฟันปลอมบางส่วน เลยไม่ถนัดของพวกเนื้อแข็ง ๆ มาลงที่ตา ถึงจะไม่มีฟันเพราะถอดหมด
แต่มีฟันปลอมแบบเต็มปาก เลยไม่มีปัญหาช่วยกินแทนได้สบาย ๆ ลงไปซื้อน้ำปลา น้ำจิ้ม น้ำปลาหวาน
มาช่วยอีก ทานได้อร่อยดี ขอบคุณแทนยายแล้วกัน
......ยายเป็นคนขอบเย็น ๆ เปิดแอร์แล้วยังไม่พอ ต้องเปิดพัดลมช่วยอีกแรง ยายบอกมันติดแอร์ ลม
แอร์มันพุ่งเลยเตียงไปตกทางประตูเข้าโน่น ทำไมมันไม่ส่องแอร์มาที่เตียงคนไข้ นั่นซีนะ ช่างแอร์คง
ไม่รู้ยายจะมานอนเตียงนี้ ปกติคนไข้เจอแอร์หนาว ๆ มักจะไม่ชอบพาลจะจับไข้ให้ได้ เขาเลยทำแบบ
นี้สำหรับคนไข้ทั่ว ๆไป เรานั่งเฝ้าไข้ยังหนาวจนต้องหาเสื้อยืดแขนยาวมาใส่ เวลาอยู่บ้านล่ะเป็นยังไง
ห้องนอนยายติดแอร์ 2 ตัวนะ แต่เปิดทีละตัว มีพัดลมช่วยอีก 1 ตัว เราจะเข้านอนหลังยายหลับไปแล้ว
ก่อนนอนเราก็แอบปิดพัดลมซะ ยายหลับแล้วไม่รู้หรอก แบบนี้พอไหวไม่หนาวมาก
......อยู่ได้สี่ห้าวันแผลเริ่มดี ปวดน้อย ยายบอกหมอว่าดีขึ้นมากแล้วน่าจะให้ไปพักที่บ้านได้ นอนอยู่
โรงพยาบาลไม่ค่อยหลับ แล้วจะมาทำแผลเป็นครั้งคราวเอง ได้ผลแฮะ หมอแกก็รู้จักนี่ พยาบาลก็
ลูกน้องเก่า ตากลับมาบ้านมาเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน ยายสั่งให้เอารถไปรับหมอให้ออกไปพักที่บ้านได้
เอารถไปจอดที่หน้าประปา ห่างโรงพยาบาลสัก 500 เมตร แล้วขึ้นไปเก็บข้าวของ และจะไปรับยาไป
ใช้ที่บ้าน รอใบสั่งยาจากพยาบาล ลงจากชั้น 14 จะไปรับยา ยายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ว่องไวจริง ๆ
ขนาดแผลผ่าตัดที่สะโพกนะเนี่ย รับยาเสร็จก็พากลับบ้าน อ้อบ้านห่างโรงพยาบาล 1500 เมตรเอง
กำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน ยายร้องเดี๋ยว ๆ ห้าโมงแล้วพาไปทานข้าวเที่ยงก่อนหิว เราขอเข้าห้องน้ำก่อน
ผ่านกรงหมามันเห่าประท้วง ทำนองหลายวันแล้วไม่ได้ไปไหน เลยเปิดกรงให้มันวิ่งไปหารถยนต์ที่
ยายรออยู่ พอเรากลับมารถ หมามันประจำที่เรียบร้อยจะไปด้วย
......เสียงโทร.สั่งไก่ย่างสองตัว ส้มตำไทยไม่เผ็ดหนึ่ง ส้มตำปูปลาร้า หนึ่ง ข้าวเหนียวสอง ร้านส้มตำทาง
สุวินทวงศ์แหงเลย ประมาณ 9 กม.ครับ แต่เขากำลังขุดถนนจะทำผิวจราจรเป็น หกเลน เลยช้าหน่อย
มาถึงที่นั่งว่าง ๆ ลูกค้าเขาส่วนมากสั่งไว้แล้วมารับเป็นถุงส้มตำ ถุงไก่ย่าง ถุงข้าวเหนียว บนราวเหลือ
อยู่สัก 3 จ้าว เรานั่งรอครูหนึ่งหันไปมองหมดแล้ว ไม่นานก็ได้ของครบตามสั่ง อร่อยมากครับ เขาหมัก
ไก่ไม่เค็มมาก ย่างกรอบไม่แฉะ ข้าวเหนียวนิ่ม กินเล่นยังอร่อยเลย ตำไทยไม่เผ็ดแม่ค้ารู้คนสั่ง ไม่ใส่
พริกให้เลย ถูกใจมาก ส่วนตำปูปลาร้าคนอีสานตำเขาใช้ปูนาลวกให้สุกแล้วแช่น่ำปลาเป็นปูดอง ลาว
อีสานสั่งใช้ปูนา ทั่วไปสั่งให้ปูดำ ปลาร้ารสแซบมาก มาทีไรหมดสองจานทุกที ยายให้สับไก่ตัวเดียว
อีกตัวจะเอากลับบ้าน แล้วแกก็เดินไปคุยกับแม่ค้า กลับมาได้ปีกย่างมาเต็มจาน แกกินแบบคนไม่ได้
กินไก่ย่างมาซัก 1 ปี ประมาณนั้นแหละ ไก่ตัวหนึ่ง ปีกอีกจานหนึ่ง เกลี้ยง เหลือแต่กระดูก จะเอาไป
ให้หมากลัวมันท้วง เลยไปเอาคอไก่ย่างมาสองไม้ ปนกับกระดูกไก่ให้หมามัน
......อิ่มทั้งคนและหมาแล้วก็กลับบ้านได้ วิ่งผ่านสามแยกไปนครเนื่องเขต ยายบอกให้พาไปซื้อ
มะพร้าว แต่ตาไม่ไหวอิ่มแล้วง่วงมากเลยขอผัดไว้วันหลังแล้วกัน ง่วงมากขับรถไม่ค่อยจะดี นั่นแหละ
ถึงยอมกลับบ้าน มาถึงบ้านเก็บข้าวของเสร็จก็หลับทั้งตาทั้งยาย หลับแล้วก็ตัวใครตัวมัน จะฝันไปเที่ยว
ไหนก็เชิญ ตาจะจบละ จะหลับแล้วนี่








วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

คุณยายหลายอาการ-หลายออพชั่น





           (เรื่องคุณยายหลายอาการ หลายออพชั่น หมอนัด และเฝ้าไข้ รวม 4 เรื่อง)


คุณยายหลายอาการ
.........อยู่กันมาหลายปี คุณยายธนัญธรเป็นคนเข้มแข็ง เป็นหญิงเหล็ก หญิงแกร่ง ภาพที่ปรากฎให้ใคร ๆเห็น แบบนั้นจริงแต่ยังมีอาการหลายอย่าง ไม่แสดงให้เห็น นานวันเข้า รู้จักกันมากขึ้น อาการที่ไม่ค่อยได้เห็นก็แสดงอาการให้เห็น จนน่าเป็นห่วง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ช่วยให้เข้าใจยายดีขึ้น จะนำมาเล่าให้ลูกหลานฟัง 

.........คุณยายติดกะละมัง คนอื่นเขาเป็นติดอ่าง แต่นี่ไม่ใช่เขาเรียกอะไรไม่รู้ ยาย จะติดคำบางคำในความนึกคิด เวลาจะพูดอะไรด่วน ๆ คำที่ติดอยู่นั่นโผล่มาก่อน โดยที่แกไม่รู้ตัวแถมยืนยันว่าไม่ได้พูดคำนั้น อย่าง คำกางเกงใน คงกระทบใจสัก ครั้งหนึ่งและ ฝังลึกเชียวไม่ยอมลืมง่าย จะไปเที่ยวนอกบ้านกัน เรามีหน้าที่สวม ปลอกคอให้หมาน้อย 2 ตัว จะเอาไปด้วย...จวนเวลาหมาอาบเสร็จ น้ำเช็ดตัวอยู่ ยายออกมาเร่ง
.........นี่ ตา ใส่กางเกงในไว ๆหน่อยสิ.....งง รู้ได้ไงว่าเราไม่ใสกางเกงใน นึก ๆ... อ้อ เร่งเราใส่ปลอกคอให้หมา แม่บ้านเช็ดตัวให้หมาอยู่เลยแกล้ง สวนไป ยุ่งทำไมใส่ไม่ใส่ กางเกงในป้า ยายก็ยังไม่รู้สึกนะ รีบ ๆ หน่อย ใส่กางเกงในแล้วจะไปกันก็ขำกันแหละ รู้ว่ายายแกหลุด ยังไม่รู้สึกตัวอะไร มีอยู่คราหนึ่งรำคาญเลยลองแกล้งยาย... ออกจากห้าง แมคโคร สองข้างทางมีแผงขายหอยแมงภู่ 5-6 แผง ติดป้าย หอยสด ๆ 3 โลร้อย ซื้อไปครั้งหนึ่งเจอหอยเน่า เททิ้งเฉย ๆ เลยนั่งด่าในรถแหละ พวกนี้ขายหอยเน่า ๆ ให้ เราเนาะยาย ทำไมไม่เลือกหอยสด ๆมาขาย ครั้งก่อนเราบอกซื้อหอยสด ๆ สามโล ได้หอยเน่า หรือจะให้เราบอก หอยเน่า ๆ สามโล ถึงจะได้สด ๆ คุยจบถึงแผงพอดี ให้เงินยาย 100 บาท ยายเปิดหน้าต่างรถสั่งบนรถเลย.... แม่ค้า ๆ หอยเน่า ๆ สามโล ปิดปากไม่ทันหลุดไปแล้ว ดีที่คนขายเป็นผู้ชาย แกหัวเราะ...ไม่มีครับมีแต่หอยสด ๆ ยายก็ยังเฉย ได้หอยแล้วก็ออกรถ ยายหันมาถามเรา พ่อค้ามันหัวเราะอะไร ก็ต้องบอกว่าพ่อค้าอารมณ์ดี เมียไม่อยู่ ใครมาเขายิ้มให้เสมอแหละ
.........อาการโลกหมุนเคยยินยายบอกมีปัญหาช่องหู ส่งผลมีอาการโลกหมุนบ่อย แก ชอบแคะหูทั้งแคะเองและวานเขาช่วย แคะเสร็จก็จะมีอาการบ้านหมุน เวียนหัวเป็นบ่อยจนชิน...มีอยู่วันหนึ่งแกมีอาการบ้านหมุน แต่เช้าจนเที่ยง นานกว่าทุกครั้ง ถาม แม่บ้านก็ไม่ได้แคะหูให้ พอตื่น ดีขึ้นก็ถามแคะหูอีกล่ะสิ เปล่าไม่ได้ทำ แล้วทำไหม เหมือนแคะหูบ้านหมุนแบบครั้งก่อน ๆ เปล่านะ ยายแค่ดื่มน้ำข้าวหมากแก้วเดียว เอง ดื่มแล้วทำไมมันมึน ๆ ไม่รู้ อ๋อเมาน้ำข้าวหมาก น้อง ๆสาโทแหละเข้าใจ ที หลังอย่าเยอะนะยาย ไวน์ยังอ่อนกว่าน้ำข้าวหมากจะบอกให้
.........อาการนอนไม่หลับ แรกไม่รู้ หลับยากเมื่อไรแกก็จะหายามากินแล้วก็หลับได้ มาทราบทีหลังเป็นพวกยาที่หมอให้เพราะไปพบหมอก็จะบ่นให้เขาฟัง หมอก็จัดให้ มา เพราะรู้จักหมอดีนี่ หลัง ๆ เห็นใช้ยาพวกแก้แพ้มั้ง กินแล้วก็ง่วง ๆ ได้ต่อมาก็ สังเกตดูแกชอบนอนหลับกลางวัน น่าจะเกินห้าชั่วโมงแล้วกลางคืนมันก็หลับยาก เป็นธรรมดา ก็คงจะมีอาการหลับยากต่อไป เพราะคนสูงอายุอย่างเรา ๆ นอนวันละ 7- 8 ชั่วโมง พอแล้ว หลับมากกว่านั้นจะยากหน่อย
........อาการกระดูกพรุน ยายเล่าให้ฟังเอง ไปตรวจมวลสารกระดูกและทานยาตาม หมอสั่งไม่ขาด วันหนึ่งยายไปเที่ยวตลาดสด หกล้มกระดูกสะโพกร้าว หมอใส่สกรู ให้สองตัวเดินไม่ถนัดจนทุกวันนี้ ไปตรวจเห็นว่ามีปัญหาต้องผ่าเอาสกรูออกรออยู่ หมอจะนัดผ่าเมื่อไร
........อาการซึมเศร้า นี่ยายก็บอกเองเคยเป็นมากถึงขนาดต้องพึ่งจิตแพทย์ อยู่ ด้วยกันก็ไม่รู้นี่ว่ามีอาการซึมเศร้า ก็เห็นรื่นเริงเบิกบานดีอยู่ ชวนให้พาไปนั่นไปนี่ บ่อย ๆ ตลาดสดใกล้ไกลเส้นทาง ไปบางน้ำเปรี้ยว องครักษ์ คลองสิบหก นครนายก ปราจีน อยู่ตรงไหน ตลาดเปิดวันไหน น่าจะจำได้หมดเพราะไปบ่อย บางทีก็เตลิด เข้าไป กทม. สุขาภิบาล 5 ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง งานเมืองทองธานี ศูนย์ศิริกิตต์ มีตารางให้เลือกอยากไปงานไหน สั่งเอา ๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีอาการซึมเศร้า ก็ ขยันเที่ยวได้ขนาดนี้
........โรคเส้นเลือดตีบ อันนี้เห็นน้องชายทำบายพาส ก็คงวิตกอาจเป็นบ้าง เลย พยายามตรวจเชคบ่อย ๆ รามา ไปซักหกเที่ยว ตาไปทรวงอกยายก็ไปเป็นเพื่อน ไปเห็นหมอ และพยาบาลที่นั่นเขาพูดคุยเป็นกันเองดี ขอไปเป็นคนไข้ที่นั่นไม่ ผิดหวังหรอก เขาตรวจอาการต่าง ๆ จนสุดท้ายสั่งให้ไปตรวจด้วยการฉีดสี จะ ได้รู้ชัด ๆว่าอาการที่เป็นอยู่มีผลมาจากเส้นเลือดตีบไหม ถ้าใช่ก็จะได้รับการ แก้ไขไปเลย ครับโรงพยาบาลนี้เชี่ยวชาญเรื่องโรคทรวงอก โดยเฉพาะเรื่อง หัวใจ ปอด มีคนไข้สองโรคนี้มาขอรับรักษาเป็นอันมาก
......เขียนเล่าถึงอาการต่าง ๆ ของยาย ความจริงก็คือแกมีความรู้เรื่องสุขภาพ อนามัยดี ช่วงทำงานก็สนใจแต่คนป่วย ส่วนตัวเองก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก พอออกจากงานมาก็มีเวลามาก สนใจตัวเองมากขึ้น นั่นก็คล้ายจะเป็นโรคที่ 1 นี่ก็ เหมือนเป็นโรคที่ 2 ไปพบหมอก็ได้ยาปลอบใจมา ก็ไล่อาการไปเรื่อย บางทีก็ เจอของจริงเจ็บป่วยจริง ก็กินยาตามหมอสั่ง หมอซึมเศร้าหมอกระดูก หมอโรค หัวใจ ยาวันละหลายสิบเม็ด เป็นคู่แข่งตาได้ เรื่องใช้ยามาก



คุณยายหลายออพชั่น 

-------------------------------
.......คำพูดล้อเล่นกับคุณยายธนัญธร ณรงค์หนู ในฐานะที่ยายเขาเปลี่ยนจุดหมายที่จะไป ธุระบ่อย คือเพิ่มมาเรื่อย ทั้งที่จุดหมายแรกยังไปไม่ถึง บ่อยเข้าก็เลยแกล้งประชดว่า หลาย ออพชั่น แทนที่จะโกรธกลับชอบใจ แถมยังให้เราเขียนขยายความให้อ่านหน่อย เอาแบบ คุณนายสะอาดนั่นแหละ ๆ เป็นงั้นไป .......วันหนึ่งเราเตรียมรถแต่เช้า ยายบอกแต่วานแล้วว่าวันนี้จะไปที่คลองสิบหก นครนายก หาซื้อพืชผักสวนครัวมาปลูก ไม่กล้าถามหรอกว่าปลูกตรงไหน เพราะลงต้นไม้เต็มบ้าน เหลือ ไว้เฉพาะทางเดินที่โรยหินกรวด และทางรถเข้าออก กระนั้นก็ไม่วายเอากระถางมาวาง รถ เยียดกระถางแตกบ่อย ๆ แต่ไม่เข็ด เลยประชดด้วยขยายสวนไปเป็นสวนลอยฟ้า ทำโครง นั่งร้านไม้ไผ่ ข้างทางเดิน เอากระถางมานั่ง ปลูกพวกสัปรดสี หอยกาบ พวกหว่านต่าง ๆ พอติดมันก็เป็นกำแพงต้นไม้เห็นบอก ดี ๆ ทำเยอะ ๆ จะเอาผักกาดหอม กระหล่ำ คะน้า มาลงด้วยเป็นงั้นไป เลยขยายซะเต็มบ้าน
.......รอจนสายไม่ออกซะที ถอยรถมารอหน้าบ้าน เปิดกระจกถาม รอนานแล้วเมื่อไรจะไป ยายบอกจะรีบไปไหนอาบน้ำให้ลูกอยู่ กำลังแต่งตัว รอก่อน อ้อจะเอาหมาน้อยสองตัวไปด้วย ต้องอาบน้ำแร่แช่น้ำหมักก่อน สวมแค่ปลอกคอมีสายจูง ถ้าอากาศหนาวมีเสื้อคลุมด้วยตอน ได้มาใหม่ ๆ มีรองเท้าด้วยนะ แต่ใส่ได้ไม่เกิดสามครั้งหรอก เพราะมันหลุดหายไปข้างหนึ่ง ก็ต้องทิ้งแล้ว บ่อยเข้าซื้อไม่ไหวเลยเลิก ลงบ้านแล้วหมาก็สำคัญ จองที่นั่งเบาะหน้า ยายขึ้น มาก็เลื่อนชั้นนั่งตักสองตัวแย่งกัน กัดกันประจำตัวเล็กต้องถอย มานั่งตักเรากขับรถไม่ถนัด เลยอุ้มไปนอนเบาะหลัง ทีนี้ก็ออกรถได้จะไปคลองสิบหก
........ไปทางพนมนะมีธุระจะแวะเยี่ยมหลวงน้าวัดเตาอิฐ ก็ต้องออกมาทางตะวันออกพลาซ่า ไม่ไปทางบางน้ำเปรี้ยวซึ่งเป็นทางตรง ทางพนมอ้อมมาก แต่ยายสั่งก็ต้องไป คงไม่มีอะไรอีก แต่ผิดเลยพลาซ่ามานิดหนึ่ง...จอด ๆ ๆ ๆ นั่นไก่ย่างวิเชียรบุรีตรงนั่น ...ใช้เห็นแล้วป้ายออก ตัวโตอ่านออกน่า...แวะซี จะซื้อซ่นตีนไก่ให้หมา รู้อยู่แกล้งถามเฉย ๆเปิดกระจก ไม่ลงนะ ตะโกนถามเลย ลุง ๆ มีซ่นตีนไหม ลูกค้าเขามองใหญ่เลยเพราะเขาไม่รู้นี่ ลุงป้าคนขายเขา รู้จักเราดี แกร้องตอบมีเพียง 5 ไม้ครับ...เอาหมด..เอาปีกด้วย 2 ไม้ ข้าวเหนียวสอง จบ ไปได้ ......นั่งรถไปป้อนซ่นตีนให้หมาไป แอบดูคนก็แทะด้วยนะ ไม่ทักหรอกเห็นบ่อย....เดี๋ยว ๆ นั่นแผงปลาแดดเดียวจอดหน่อย เคยซื้อบ่อย ปลานิล ปลาช่อน เขาทำอร่อย ซื้อมาอย่างละกิโล เลยถามทำไมซื้อน้อยแกบอกข้างหน้าก็มี ถูกกว่าตรงนี้ เออมีเผื่อซื้ออีกด้วย เอาพวกปลาแดด เดียวนี่ถวายพระได้ไหม ได้สิควายตัวเป็น ๆเขายังเอาไปถวายวัดเลยแต่ถ้าจะเอาไปถวายให้ ฉัน ไม่ดีหรอก ไม่มีแม่ครัว เอาแบบทอดสุกแล้วถวายดีกว่า ใกล้พนมมีป้ายสินค้าสองมือ
จากญี่ปุ่น ยายเถียงมือสอง แวะหน่อยมีอะไรน่าสนใจไหม ก็ต้องแวะออกมาก็เต็มสองมือ แหละ เห็นไหมใครว่าไม่ใช่สองมือ
......เลยพนมไปซักห้ากิโลเมตรก็ถึงวัด มีศาลพระภูมิตั้งเรียงราย มีเจดีย์เต็มสวนป่า เห็น ยกมือไหว้ครั้งเดียว ปกติผ่านศาลที่ไหนก็ไหว้ดะ เคยแกล้งบอกว่าตรงนั้นมีศาลนะ แกก็ไหว้ ครั้งหนึ่งขับรถไปมอเตอร์เวย์ ผ่านลาดกระบัง จะไปกทม. เครื่องบินลำใหญ่มันร่อนต่ำลง เลยชี้ให้แกดู นั่นเครื่องบิน แกยก มือไหว้ เสร็จก็หันมาด่าเราว่าแกล้งให้แกไหว้เครื่องบิน.... กว่าจะถึงกุฎิพระก็ผ่านซักสามศาล ขอบคุณชาวบ้านที่ตั้งไว้น้อย เราลงไปดูต้นโพธิ์ทองถ่ายรูป ปล่อยยายไปหาพระเอง เดี๋ยวจะ ตามไป สักครูกลับมาบอกพระไม่อยู่ ก็ออกเดินทางต่อไป
.......ไปคลองสิหก ตัดตรงไปทางอำเภอบ้านสร้างปราจีบุรี ผ่านบางปลาร้า มีตลาดนัด...เดี๋ยว ๆ แวะหน่อย ก็จอดให้ไปตรวจราชการตลาดนัด ได้ผักมาสองสามกำก็ไปต่อได้คราวนี้ยาวหน่อย ฝนตก ติดต่อกันหลายวันมีซากตัวเหี้ยมันขวางรถเขา เลยเป็นศพไปเห็น 4-5 ศพ ยายก็บ่นคนขับ พวกนี้ใจดำ เหยียบได้แม้กระทั่งเหี้ย มันตัวเล็กยาย ตัวใหญ่แบบวัว ควาย ช้าง ต่อให้เหยียบ ขี้แตกกระจาย ก็ไม่ตาย ทำไมล่ะ ขี้แตกขนาดนั้นจะเหลือเรอะ แหมไม่เชื่ออีก ตอนผ่านเขา ใหญ่ลงปากช่องเห็นขี้ข้างกระจายเต็มถนนไหม ยายว่าเห็นซิ ยังขนลุกเลย อ้าวแล้วขี้แตก กระจายเพราะรถเหยียบใช่ไหม แต่ไม่เห็นช้าง....ไม่ตายซักตัว ไม่เห็นแปลกนี่ เออก็มันเหยียบ แต่ขี้ ไม่เจอตัวมันนี่
.......ผ่านอำเภอบ้านสร้างมาอย่างเรียบร้อย มามีปัญหาตอนขึ้นถนนนครนายก-รังสิต ต้องจอด ให้ลงรถเป็นระยะ ๆ แผงลอยผลไม้ แผงลอยเป็นระยะ ๆ ยายก็ต้องลงไปตรวจการเป็นระยะ เหมือนกัน กว่าจะหลุดมาได้ก็นานเกือบชั่วโมง ผ่านหน้าศูนย์การแพทย์องครักษ์มีตลาดนัด ที่ศูนย์การแพทย์ รู้อีก ตา ๆ แวะหน่อยวันนี้ตลาดนัดรอบตึกศูนย์แพทย์ด้วย ของเยอะดี ก็ต้อง แวะเข้าไป ปล่อยลงแล้วเราไปหาที่จอด ได้ข้างวิทยาลัยแพทย์ ดีเหมือนกัน ทาโร่คุกกี้ จะได้ ลงเดินไปขี้เยี่ยวบ้าง มีก๊อกประปาคงใช้รดต้นไม้ ไปเปิดน้ำใส่กระบะ ให้หมาดื่ม มันคงหิวมาก หมดไปสองกระบะ จูงให้เดินไปริมรั้ว มีหญ้าอ่อน ๆ ขึ้นมันเล็มกินหญ้าไป เยี่ยวรดไป แบบ หมา ๆ ไม่มีมรรยาทเลย เอ๊ะ ไม่เกี่ยวกับเจ้าของนะ มันเป็นของมันเอง ครู่หนึ่งมันเห่ากรร โชกจะไปกัดหมาชาวบ้านเขา ขำก็ขำ มึงสองตัวหนักไม่ถึงครึ่งเขาหรอก อย่าอวดดีเลย เขา เดินดูเฉย ๆ ไม่คิดจะมาท้ากัดพวกแกหรอก มันคงนึกว่าลูกหมามั้งไม่สนใจเดินหลีกหนีไป ครู่หนึ่งยายโทรมาบอกเสร็จแล้วรอหน้าตึกอำนวยการ
..............ออกจากศูนย์แพทย์นครนายกเลี้ยวซ้ายไปสักครึ่งกิโลเมตรก็เป็นเป้าหมายที่จะมา วันนี้ สี่โมงเย็นแล้วตลาดนัดมีแม่ค้าเต็มพื้นที่ คนซื้อกำลังสนุกเดินชมและเลือกซื้อของกัน ไปส่งยายปากทางเข้าตลาดนัด แล้วเราก็อ้อมไปหาที่จอดรถ ที่เดิมแหละ สวนพันธุ์ไม้พวก พืชสวนครัว ขิง ข่า ตะไคร้ มะเขือ กะเพราะ แมงลัก พริก สะระแหน่ ฯลฯ ต้นละ10-15 บาท วันนี้ได้สัก 25 ต้น พอแล้ว มาซื้อบ่อย ปลูกไว้สักระยะหนึ่งมันก็ตาย มาเอาไปปลูกใหม่ ห้าโมงเสร็จยายหอบสมบัติมามีแต่ของกิน ใส่ท้ายรถแล้วก็ชวนกันกลับ ถึงบ้านค่ำมืด พอดีเหมื่อนทุกครั้งที่ไปเที่ยวทางนี้..........



หมอนัดยาย 16 ตุลาคม 2560 

--------------------------------
........ยายมาเป็นคนไข้โรงพยาบาลทรวงอก เพราะสงสัยเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ เทียวไปโรงพยาบาลรามาประมาณ 2 ปี ไม่มีข้อสรุป เลยชวนไปตรวจที่นี่ เพราะผมเป็นคนไข้ทำบอลลูน 3 จุด และมาพบ
หมอประจำ ถ้ายายมาตรวจที่นี่ ก็สบายใจได้เพราะหมอเชี่ยวชาญเฉพาะ โรค น่าจะตรงกับสิ่งที่ยายสงสัย อ้อยายเคยเป็นพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่ โรงพยาบาลพระพุทธโสธรฉะเชิงเทรา ลาออกก่อนเกียณ ก็มีความรู้ พวกโรคภัยไข้เจ็บดี ครับลองมาตรวจดูตามกระบวนการของหมอที่นี่ ที่สุดก็ตรวจใหญ่ เอกเรย์ และฉีดสี พบว่าเริ่มมีอาการ ไม่มาก ไม่จำเป็น ต้องผ่าตัดใส่ขดลวด ทานยาประจำก็น่าจะหายได้ ถ้ายังไม่ดีขึ้นค่อยดู อีกที ยายสบายใจที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ต้องทานยาตามหมอสั่งและพบ หมอตามนัด
..........ผมก็ทานยาตามหมอสั่งและมาพบหมอตามนัด ช่วงนี้นัดห่าง ประมาณ4-5 เดือนครั้ง แต่ยายนัด 15 วันครั้ง นี่เองที่ต้องพายายมา พบหมอที่โรงพยาบาลทรวงอก นนทบุรี บ่อย ๆ ตรวจและรับยาก็กลับ
บ้านได้ ยายเขามีเพื่อนเรียนพยาบาลที่วิทยาลัยพระปกเกล้า จันทบุรี ทำงานอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ฯ หลายคน ตอนนี้เกษียณหมดทุก คนแล้ว พอได้ข่าวยายมาพบหมอ แห่กันมาเยี่ยม ช่วยติดต่อประสาน งานการตรวจการรับยา สนุกกันใหญ่ วันนี้ยายเลยหาผลไม้ลูกโต ๆ มา ฝากเพื่อน มะพร้าวอ่อน ซื้อเขาลูกละสิบบาท อ้อไปซื้อที่สวนเลยนะ เจ้าของสวนใจดี พอรู้จะเอาไปฝากพวกพยาบาลเพื่อน ๆ จัดการปาดหัว เจียนท้ายให้ตั้งได้ สวยงาม ซื้อมา 50 ลูก เลยมีปัญหา เพื่อนมารถเมล์ กันต้องตามไปส่งที่บ้าน อ้อ...ก่อนไปบ้าน ให้พาไปเยี่ยมเพื่อนหน่อย
........เราก็บอกนะว่าเราไม่ใช่คนกรุงเทพ ไม่รู้จักหรอกที่ไหนคืออะไร รู้แต่มันคือที่ไหน ? ....ไปทั่วกรุงเทพฯแหละ อยากให้ขับรถไปส่งที่ไหนก็บอก ทางแล้วกัน เขาบอกให้พาไปแถววัดราชบพิธ คุณไปหา ยมราชถูกไหม แหมที่อื่นมีถมไป ไปหายมราชทำไม อ้อขอโทษทางด่วนไปลงยมราช แล้วค่อยไปต่อสนามหลวง ไปถูกไหม ไม่รู้สิเนาะ ปกติให้คนอื่นพาไป ขับไปเองไม่แน่ใจ บอกทางดี ๆแล้วกัน กดเนวิเกเตอร์ยมราช มีแฮะ..... ออกจากทรวงอกทาทางงามวงศ์วานลอดทางด่วนไปขึ้นอีกฝั่ง ด่านนี้ มาบ่อย ขามาเสียสิบบาท เขาเรียกด่านกาแฟ ขากลับโหดหน่อยเก็บหกสิบบาท วิ่งย้อนมาทางจตุจักร บขส.นั่นแหละ เห็นทางด่วนสายใหม่ ขึ้นที่นี่ปลายทางพุทธมณฑลสะดวกมากมาย ยังหาเรื่องไปพุทธมณฑล ไม่ได้เลยยังไม่ได้ลอง เลยมาถึงแยกอนุสาวรีย์บอกทางให้ตัดตรงไป ทางรามานะ อืมสนุกดีแย่งกันบอกทาง ทานด่วนวิ่งผ่านหน้าตึกสมเด็จ พระเทพฯจำได้ ไม่นานก็เห็นป้ายยมราช
.........ลงทางด่วน ไปหาหลานหลวงนะ ไม่ใช่ลูกหลวงเหรอ เปล่า หลานหลวง เลยแซวว่า สงสัยพระองค์ภาแน่เลย งงกันอะไรนะ เราไม่ บอก ตรงไปถนนหลานหลวง ผ่านฟ้า เข้าราชดำเนิน มุ่งไปสนามหลวง จะถึงสนามหลวงแล้วให้ไปซ้ายหรือขวา เลยจะเลี้ยวซ้าย เสียงบอก ไม่ใช่ตรงนี้ ไปอีกค่อยเลี้ยว ไปวัดราชบพิธ ค่อยเลี้ยวซ้ายอีก เล่นเลียบ คลองกลับมา เสียดายวันนี้เขาปิดถนนที่จะให้เลี้ยวซ้าย เลยวนออกขวา คนบอกทางมึนไม่รู้จะให้ไปทางไหน เราก็วิ่งออกสนามหลวง ไม่หลง หรอกแถวนี้ที่เที่ยวตลาดนัดสมัยก่อนโน้นมาทุกเสาร์อาทิตย์ วิ่งไปจนถึง วังเห็นประตูวังเปิดกว้าง มีรถคันหนึ่งแล่นออกมา เลยแกล้งถามว่าเข้าวัง ไหม เลยได้หัวเราะกัน นั่นมันรถวังเขา เรามันรถชนบทเข้าไม่ได้ ก็อ้อม ไปทางวัดโพธิ์ เห็นป้ายโรงเรียนวัดราชบพิธ ดีใจโทรบอกกันว่าถึงวัดราชบพิธแล้ว
.........มีเสียงบอกทางผ่านโทรศัพท์ บอกเลี้ยวซ้าย อ้าวทางปิดออก ไปทางขวา ขึ้นสพานพุทธ วนกลับมาอีกรอบ เลียบมาทางคลองหลอด ถึงกระทรวงมหาดไป เสียงบอกทางใช่ ๆ ๆ ๆ ไม่นานก็เห็นคนดักทาง กวักมือให้ ทำไมเขารู้รถเรานะ ยายบอกรู้สิ ฉันส่งเลขทะเบียนให้ไปแต่ แรกแล้ว อ้อ อย่างนี้เอง จอดรถแล้วก็เชิญสนทนาพาทีกันตามสบาย เลี้ยงข้าวปลาอาหารกัน สนุกสนานตามประสาเด็กนักเรียนพยาบาลพบ กัน ถึงจะวัยหลังเกษียณก็เถอะ คุยกันสนุกได้เท่าเดิม ก็ดีนะนาน ๆพบกัน เราก็เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ตรงนี้มันด้านหลังกระทรวงมหาดไทย ถ้าถนน ไม่ปิด ก็ไปหน้าศาลอาญาเลี้ยวข้างกระทรวงได้ คุยกันสนุกสนานเฮฮา พอสมควรแก่เวลาก็ลากลับ เป็นห่วงกันกลับถูกไหมล่ะ เลยบอกว่าผมรู้ ทางไปยมราช พันธทิพย์งามวงวาน จากนั้นบอกทางเองละกัน กดเนวิเกเตอร์มันพาไปยมราช ขึ้นทางด่วนกลับมางามวงศ์วาน ลงทางด่วนสัก 150 เมตรก็พันธ์ทิพย์งามวงศ์วาน เพื่อนขอลงไปห้างสามคน เหลืออีก
สาม ไปตามซอกซอยโผล่วัดบางขวัญ ออกด้านหลัง ไปบ้านคุณจ้อ ของฝากลงที่นี่แล้วไปส่งอีกสองคน ใกล้ ๆเมืองทองธานี
........เดินตลาดนัดก็นึกถึงตลาดใกล้บ้านที่ไปบ่อย ๆ แต่ของจะถูกลง คนขายก็แปลกหน้ากัน ไม่ค่อยรู้จักเรา ต่างกับตลาดหน้าศาลากลาง มีแต่คนรู้จัก ไปแผงไหนก็ถามหาแต่ยาย ยายไม่มาด้วยเหรอ บางครั้งหมดอารมณ์ไม่ อยากเดินเลยก็มี ขึ้นรถเสร็จก็กลับกัน แต่ขำดี พอกลับรถได้ ฝนเทลงมาอย่างหนักแทบวิ่งรถไม่ได้ วิ่งมาสิบกว่ากิโลเมตรยังไม่พ้นสายฝน จนนึกห่วง บ้านเพราะตากผ้าไว้ยังไม่ได้เก็บ แต่ยังโชคดีพระพิรุณท่านคงทราบ เลยไม่ให้ ฝนหยดลงแม้แต่หยดเดียว ที่บ้านไม่มีฝน จอดรถเก็บของตามระเบียบ จบได้


ไปเฝ้าไข้ยายที่โรงพยาบาล 

-------------------------------
.......ผมเขียนเรื่องพาคุณยายไปพักผ่อนที่รีสอร์ทชื่อคล้ายโรงพยาบาล พออ่านเนื้อหาก็ทราบ ว่าใช่โรงพยาบาลจริง ๆ ผมเขียนให้คนอ่านรู้สึกเบา ๆไม่ซีเรียส แต่บางท่านก็สงสัยว่าโรงพยาบาล คล้ายรีสอร์ทตรงไหน ครับก็ชวนสงสัยจริง ๆ คนอื่นอาจรู้สึกกลัว ๆ เมื่อต้องไปโรงพยาบาล แต่คุณ ยายจะรู้สึกเหมือนไปเยี่ยมบ้าน เพราะยายทำงานอยู่ที่นี่กว่าสามสิบปี มีพี่น้องที่คุ้นเคยกันยังทำงาน อยู่เป็นจำนวนมาก ไปติดต่อแผนกไหนก็ได้ยินเสียงทักทายและให้กำลังใจ อยู่บ้านซะอีกที่เงียบ เหงา ผมเลยแซวว่ามาโรงพยาบาลยังกะมาพักที่รีสอร์ทเลยนะยาย แกทำปากขมุบขมิบ คงสรรเสริญ เข้าให้นั่นแหละ
........ยายมาโรงพยาบาลเที่ยวนี้เพราะหมอจะผ่าเอาสกรูที่ใส่ไว้คราวหกล้มสะโพกร้าวนานแล้วแหละ ออกให้ เพราะกระดูกเชื่อมติดดีแล้ว คืนวันที่ 5 พย.2560 นอนพักเตรียมพร้อมรับการผ่าตัด ลูกสาว พามาส่งตั้งแต่สามโมงเช้า ได้ห้องที่ตึกใหม่ เบอร์ 1404 ชั้นสิบสี่ห้องที่สี่ โทรมาบอกก็สบายใจที่ ได้ห้องกะว่าหลังเที่ยงจะแวะไปดู ซักห้าโมงเห็นเดินยิ้มเข้ามาบ้านทักทายกับหมาน้อย แปลกใจก็ ถามได้ความว่าขอเขามาทำธุระนิดหน่อยบ่ายให้ตาไปเฝ้า ก็ตามนั้นบ่ายคนเฝ้าก็เป็นตาตามสั่ง 

........ถามพยาบาลเขาบอกเป็นการผ่าเอาสกรูออก ไม่อันตรายรักษาแผลให้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยกลับบ้านเอาโน้ทบุ๊คมานังเขียนหนังสือฆ่าเวลา เขียนไปเขียนมาอยากอัพเฟซบุ้ค เขียนในคอม
จะอัพด้วยมือถือ ไม่ค่อยสะดวก ลองเชื่อมเนตผ่านมือถือด้วยฮอตสปอต ช้าแต่ก็ส่งได้ถ้าข้อความ ไม่ยาวเกินไป ยาวเกินใช้เวลานานมากรอไม่ไหว ก็พอแก้ปัญหาได้ ปกติโน้ทเวลาเล่นที่บ้าน ใช้ WTFIของบ้านได้เลยเพราะเราเป็นคนตั้งพาสเวอร์ดเอง อยุ่โรงพยาบาลเชคดูมีสัก 12 ชื่อ แต่เราไม่รู้ พาสเวอร์ดเลยใช้ไม่ได้ ขนาดบางชื่อบอกบริการฟรี พอคลิกจะเชื่อมก็ถามหาพาสเวอร์ด นั่นแหละจึง ต้องงมใช้มือถือ บริการไวไฟฟรีของ ไอ.ซี.ที. ที่คุยว่ามีทั่วถึงทุกจังหวัด ทุกตำบล ลองค้นหาข้อมูล พบว่าต้องอยู่ใกล้จุดบริการ และต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน สมัครก็ไม่ได้อีก เพราะเราอยู่ห่างจุดบริการ สงสัยว่าจุดบริการจะอยู่สำนักงานเขาเองมั้ง มีก็เท่ากับไม่มี
.......คนป่วยดูแลไม่ยาก มีเจ้าหน้าที่พยาบาลมาตรวจเยี่ยมตามหมอสั่ง ทำแผล ให้ยา เวลาอาหาร
ก็ทานไม่หมด คนเฝ้าต้องช่วยทุกมื้อ ช่วยกินน่ะ เหลือเยอะของดี ๆ ทั้งนั้น แต่มันจืด มีน้ำปลาก็พอไหว
นอกนั้นก็นอนพัก เข้าห้องน้ำก็ยุ่งหน่อย สายน้ำเกลือ สายระบายของเสียจากแผลผ่าตัด ทุกลักทุเล
กว่าจะเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยุ่งดี แขนเสื้อต้องสอดสายน้ำเกลือ ส่วนผ้านุ่งยายอยากได้แบบกางเกง
เหน็บแน่นดี แต่มันต้องสอดสายยางลอดขากางเกง เลยเอาผ้าถุงให้แทน เวลาอาบน้ำยายชอบใช้ผ้า
ขนหนูเล็ก ๆ ชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวบ้าง เช็ดตูดมั่ง ก็ใช้คนละผืนกัน แต่มันสนุกตรงเอาไปตาก แห้งแล้วจำ
ไม่ได้ผืนไหนเป็นผืนไหน เพราะมาจากห่อเดียวกันสีเดียวกัน จนต้องไปซื้อห่อใหม่สีใหม่
...เช้าเย็นจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจเชคเบาหวานความดัน ถามเขาบอกปกติก็เลยสงสัยว่าหน้าห้องบอกให้จัด
อาหารของคนเป็นเบาหวาน ไม่เปลี่ยนให้เหรอเธอสงสัยทำไมล่ะ ต้องหมอสั่งถึงเปลี่ยนได้ แหม 3 วัน
ที่ตรวจเบาหวาน 101-110 อยู่ช่วงนี้เอง เปลี่ยนอาหารได้คนเฝ้าจะได้ทานง่ายหน่อย แค่นี้แหละที่ถาม
เธอหัวเราะบอกว่าแล้วจะถามหมอให้ สงสัยงวดหน้ามั้งถึงจะเปลี่ยนให้ ของเยี่ยมไข้พวกขนมเครื่องดื่ม
ไม่มีปัญหาคนไข้เลือกทานได้ตามใจชอบ แต่ผลไม้ช่วงนี้มีแต่ของทานยากเช่น มะม่วงมัน ฝรั่ง พลับ
ยายเขาใช้ฟันปลอมบางส่วน เลยไม่ถนัดของพวกเนื้อแข็ง ๆ มาลงที่ตา ถึงจะไม่มีฟันเพราะถอดหมด
แต่มีฟันปลอมแบบเต็มปาก เลยไม่มีปัญหาช่วยกินแทนได้สบาย ๆ ลงไปซื้อน้ำปลา น้ำจิ้ม น้ำปลาหวาน
มาช่วยอีก ทานได้อร่อยดี ขอบคุณแทนยายแล้วกัน
......ยายเป็นคนขอบเย็น ๆ เปิดแอร์แล้วยังไม่พอ ต้องเปิดพัดลมช่วยอีกแรง ยายบอกมันติดแอร์ ลม
แอร์มันพุ่งเลยเตียงไปตกทางประตูเข้าโน่น ทำไมมันไม่ส่องแอร์มาที่เตียงคนไข้ นั่นซีนะ ช่างแอร์คง
ไม่รู้ยายจะมานอนเตียงนี้ ปกติคนไข้เจอแอร์หนาว ๆ มักจะไม่ชอบพาลจะจับไข้ให้ได้ เขาเลยทำแบบ
นี้สำหรับคนไข้ทั่ว ๆไป เรานั่งเฝ้าไข้ยังหนาวจนต้องหาเสื้อยืดแขนยาวมาใส่ เวลาอยู่บ้านล่ะเป็นยังไง
ห้องนอนยายติดแอร์ 2 ตัวนะ แต่เปิดทีละตัว มีพัดลมช่วยอีก 1 ตัว เราจะเข้านอนหลังยายหลับไปแล้ว
ก่อนนอนเราก็แอบปิดพัดลมซะ ยายหลับแล้วไม่รู้หรอก แบบนี้พอไหวไม่หนาวมาก
......อยู่ได้สี่ห้าวันแผลเริ่มดี ปวดน้อย ยายบอกหมอว่าดีขึ้นมากแล้วน่าจะให้ไปพักที่บ้านได้ นอนอยู่
โรงพยาบาลไม่ค่อยหลับ แล้วจะมาทำแผลเป็นครั้งคราวเอง ได้ผลแฮะ หมอแกก็รู้จักนี่ พยาบาลก็
ลูกน้องเก่า ตากลับมาบ้านมาเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน ยายสั่งให้เอารถไปรับ หมอให้ออกไปพักที่บ้านได้
เอารถไปจอดที่หน้าประปา ห่างโรงพยาบาลสัก 500 เมตร แล้วขึ้นไปเก็บข้าวของ และจะไปรับยาไป
ใช้ที่บ้าน รอใบสั่งยาจากพยาบาล ลงจากชั้น 14 จะไปรับยา ยายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ว่องไวจริง ๆ
ขนาดแผลผ่าตัดที่สะโพกนะเนี่ย รับยาเสร็จก็พากลับบ้าน อ้อบ้านห่างโรงพยาบาล 1500 เมตรเอง
กำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน ยายร้องเดี๋ยว ๆ ห้าโมงแล้วพาไปทานข้าวเที่ยงก่อนหิว เราขอเข้าห้องน้ำก่อน
ผ่านกรงหมามันเห่าประท้วง ทำนองหลายวันแล้วไม่ได้ไปไหน เลยเปิดกรงให้มันวิ่งไปหารถยนต์ที่
ยายรออยู่ พอเรากลับมารถ หมามันประจำที่เรียบร้อยจะไปด้วย
......เสียงโทร.สั่งไก่ย่างสองตัว ส้มตำไทยไม่เผ็ดหนึ่ง ส้มตำปูปลาร้า หนึ่ง ข้าวเหนียวสอง ร้านส้มตำทาง สุวินทวงศ์แหงเลย ประมาณ 9 กม.ครับ แต่เขากำลังขุดถนนจะทำผิวจราจรเป็น หกเลน เลยช้าหน่อย มาถึงที่นั่งว่าง ๆ ลูกค้าเขาส่วนมากสั่งไว้แล้วมารับเป็นถุงส้มตำ ถุงไก่ย่าง ถุงข้าวเหนียว บนราวเหลือ อยู่สัก 3 จ้าว เรานั่งรอครูหนึ่งหันไปมองหมดแล้ว ไม่นานก็ได้ของครบตามสั่ง อร่อยมากครับ เขาหมัก ไก่ไม่เค็มมาก ย่างกรอบไม่แฉะ ข้าวเหนียวนิ่ม กินเล่นยังอร่อยเลย ตำไทยไม่เผ็ดแม่ค้ารู้คนสั่ง ไม่ใส่ พริกให้เลย ถูกใจมาก ส่วนตำปูปลาร้าคนอีสานตำเขาใช้ปูนาลวกให้สุกแล้วแช่น่ำปลาเป็นปูดอง ลาว
อีสานสั่งใช้ปูนา ทั่วไปสั่งให้ปูดำ ปลาร้ารสแซบมาก มาทีไรหมดสองจานทุกที ยายให้สับไก่ตัวเดียว
อีกตัวจะเอากลับบ้าน แล้วแกก็เดินไปคุยกับแม่ค้า กลับมาได้ปีกย่างมาเต็มจาน แกกินแบบคนไม่ได้
กินไก่ย่างมาซัก 1 ปี ประมาณนั้นแหละ ไก่ตัวหนึ่ง ปีกอีกจานหนึ่ง เกลี้ยง เหลือแต่กระดูก จะเอาไป
ให้หมากลัวมันท้วง เลยไปเอาคอไก่ย่างมาสองไม้ ปนกับกระดูกไก่ให้หมามัน
......อิ่มทั้งคนและหมาแล้วก็กลับบ้านได้ วิ่งผ่านสามแยกไปนครเนื่องเขต ยายบอกให้พาไปซื้อ
มะพร้าว แต่ตาไม่ไหวอิ่มแล้วง่วงมากเลยขอผัดไว้วันหลังแล้วกัน ง่วงมากขับรถไม่ค่อยจะดี นั่นแหละ
ถึงยอมกลับบ้าน มาถึงบ้านเก็บข้าวของเสร็จก็หลับทั้งตาทั้งยาย หลับแล้วก็ตัวใครตัวมัน จะฝันไปเที่ยว
ไหนก็เชิญ ตาจะจบละ จะหลับแล้วนี่ 

วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

ไปมืองจัน และเที่ยวตลาดนัด

 (เพจนี้รวมเรื่องไปเที่ยว จันทบุรี ตลาดนัดเนินหิน และ ตลาดนัดทุ่งสะเดา)
-----------------
ไปเมืองจันทบุรี
----------------
........วานนี้ 3 มกราคม 2561 มีคำสั่งสายฟ้า จาก ผบ.ทบ. คุณธนัญธร ณรงค์หนู แจ้งให้ขับรถจันทบุรี เตรียมเสื้อผ้าไปค้าง 1 คืน คำสั่งออกเมื่อ เวลา 13.30 น. ก็ไม่ได้คิดฝันหรอก เพราะตอนเช้าแจ้งให้เราทราบแล้วว่า คงไม่ไปปวดขา เดินไม่ถนัด หลังหมอผ่าเอาสกรูออกจากสะโพก มีอาการ ปวด เดินไม่ถนัด นอกจากทานยา พบหมอตามนัด ก็ให้ประคบร้อน เพื่อ บรรเทาอาการปวด ซื้อกระเป๋าน้ำร้อนไฟฟ้ามาให้ 2 ใบ เช้านี้ก็ให้ประคบแต่ เช้า เห็นบ่นว่าแฟนเพื่อนเสีย มีเพื่อนบางคนไลน์แจ้งว่าคณะเพื่อน จะไป ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดอภฺธรรม คืนวันที่3  ปวดขาขนาดนี้คงไม่ไปหรอก ก็ รับทราบตามนี้ จากนั้นเราก็ไปทำกิจต่าง ๆ
.......กิจที่ต้องดูแลก็มีต้นไม้รอบบ้าน ต้องฉีดน้ำรดให้ประมาณ 45 นาที วันละครั้ง ก่อนมีระบบพ่นน้ำจากท่อ พีอี ช่วย ตอนนี้ชำรุดมาก คงซ่อมไม่ได้ นอกจากทำใหม่ทั้งหมด ไว้มีเวลาจะรื้อทำใหม่ นอกจากนี้ก็ดูแลการให้ อาหารหมา 6 ตัว ตกลงกันแล้วว่าจะเลี้ยงแบบหมาวัด แค่มีข้าวคลุกเศษ อาหารให้ก็พอ ข้าวก็ซื้อปลายข้าวหรือข้าวราคาถูกมาหุง เศษอาหารก็โครง ไก่วันละโครง ต้มแล้วสับ ๆ ๆ ๆ คลุกข้าวให้ หมาแต่ละตัวอ้วนเกินพิกัด เจริญอาหารเกินไป นอกจากนี้ก็งานบ้านวันแม่บ้านหยุด ปัดกวาดถูบ้าน ส่วน เรื่องซักผ้ายายเขาคุมอยู่
.......รดน้ำต้นไม้เสร็จขึ้นบ้านมานั่งหน้าจอคอม เล่นเฟซ ไลน์ ไปเรื่อย หิวข้าวก็มีข้าวเหนียว หมูหมักทอด อิ่มอร่อยได้สบาย ๆ แล้วก็มานั่งต่อ งานเขียนต่าง ๆ ใช้เวลาหน้าจอคอมนี่แหละ เวลา 13.30 น. มีคำสั่งแบบ สายฟ้าแลบออกมา เลยต้องหยุดทุกอย่างไปเตรียมรถ และขึ้นมาเตรียมเสื้อผ้า เอารถออกไปรอที่หน้าบ้าน นึกว่าจะรีบร้อน ออกจากบ้านได้ 14.25 น. แวะข้างทางหาของฝากเพื่อน หาขนมกินแทนข้าวเที่ยง ตรวจสอบแผนที่ ระยะทาง 190 กม. น่าจะใช้เวลาสัก 3.30 ชั่วโมง คงถึงค่ำพอดี เลยขอให้ประสานเรื่องที่พัก รีสอร์ทเดิมที่เคยไปพักให้ ด้วย เห็นคุยโทรศัพท์ กับเพื่อน ไม่นานก็บอกเรียบร้อย
.......เรามาทางบางปะกง วางแผนจะใช้ทางหลวงหมายเลข 7 มอเตอร์เวย์ รวดเดียวจากบางปะกงถึงจันทบุรี รถคงไม่มาก เพราะคนไปเที่ยวปีใหม่ 3 วันแล้ว คงขากลับมากกว่า ใช่จริง ๆ ถนนโล่งดี ผ่านด่านบางปะกง ชลอรถ จะรับบัตร อ้าวไม่มีคนแจกบัตร มีป้ายแทนบอกว่าปีใหมฟรีค่าธรรมเนียม อืม หวังว่าคงฟรีทุกด่านนะ ยายเตรียมเหรียญสิบบาทให้กำหนึ่ง เก็บไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเจอเซเว่นจะแวะเอาไปให้เขา ค่าขนม กาแฟ ต้องใช้ เราวิ่งออกจาก ด่านบางปะกงมา ช่วงนี้เขากั้นรั่วสองข้างถนน มีร้านก็ออกไปซื้อไม่ได้ ก็วิ่ง รถไปเรื่อย ๆ ยายบ่นหิวข้าว ก็ช่วยไม่ได้ รอสักครูก่อน ไม่นานก็ด่านพานทอง ฟรีค่า ธรรมเนียมเช่นกัน รถค่อนข้างมาก มีพวกจากเมืองชล และพนัสนิคมมา สมทบ ไปกันเป็นขบวนใหญ่ แต่วิ่ง 100 และ 100+ วัยรุ่นอย่างเราก็ชอบนะ กลัวถึงปลายทางค่ำมืด
.......เสียงรถหวอ ดัง มาข้างหลัง นึกว่ารถพยาบาล อ้าวรถนำขบวน บนทาง ด่วนยังต้องใช้คนนำทาง พวกนี้โง่หรือเปล่า ทางด่วนขับรถง่ายจะตาย เขา กลัวหลงทางล้อมรั้วไว้ทั้งสองข้างแล้ว ไม่หลงง่าย ๆหรอก แก่ขนาดเรายัง ไม่หลงเลยก็หลบให้เขาหน่อย สงสารเนาะ เลยเมืองชลมาไม่นานคราวนี้ หวอรถกู้ภัยตามด้วยรถพยาบาล ขอทางจะไปไหน โรงพยาบาลอยู่เมืองชล เยอะแยะจะเลยไปทำไม ไม่นานก็ได้คำตอบ รถทะเลาะกันบนทางด่วน เตะตูดกันพังยับ อีกคันหั่วทิ่มรั้วทางด่วน คอนกรีตน่ะลูกคอหักยับไปอีกคัน ก็รีบ ๆหลบไป รถพยาบาลจะได้ทำงานสะดวก
........เจอปั้มน้ำมันขอแวะตรวจห้องน้ำสักครู่ มีร้านขายของกิน ยายลงไปก่อนแล้ว คงหิวมาก เรากลับมาเห็นนั่งกินขนมเฉยรอบนรถแล้ว เดียวนี้ยายเป็นคนกิน ง่าย นิสัยใกล้เคียงกับเราแล้ว คือไม่เรื่องมากไม่ต้องไปนั่งร้านอาหาร ซื้อมากินบนรถนี่แหละ เปิดแอร์เย็น ๆให้อยู่แล้ว เหม็นกลิ่นไก่ย่างส้มตำ ก็กลิ่นที่เราทำเอง ไม่ต้องโทษใครกินเสร็จเปิดกระจกไล่กลิ่น ก็จบ อยากหอมพ่นสเปรย์ใหม่ แค่นี้เอง พอกินอิ่ม ตาขับรถได้ทางเกือบ 40 กิโลเมตร ไม่ต้องถามว่านั่งในร้านหรือนิ่งกินบนรถดี
........ผ่านเข้าเขตระยอง ร้านไก่ย่างปิดไม่ทำการเกือบทั้งหมด ยายบ่นเสียดาย ปิดทุกร้านเลย โถยายคนขายก็เหมือนเรานี่แหละ ปิดปีใหม่ 4 วัน ติดกันเขาก็ถือโอกาสปิดแผงไก่ย่างส้มตำเขาบ้างซี พวกนี้คนอีสานเพชรบูรณ์ซะส่วนใหญ่ กลับไปเยี่ยมบ้านกัน หลังปีใหม่ค่อยมาเปิดแผงลอยกันอีกที เทศกาลหยุดที หลายวันนี่มีผลต่อคนงานอีสานมาก เพราะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมบ้าน สมัยอยู่กรุงเทพ ไปเรียนหนังสือที่บางเขน เจ้าของบ้านไปจ่ายกับข้าวบ่นว่าต้องมาจ่ายเองทำกับข้าวเอง ลำบากมาก คนทำงานบ้าน ยาม มันลากันหมด ไปเยี่ยมบ้านที่อีสาน บ้านฉันก็เหมือนกัน คนขับรถก็ด้วยขับรถมาตลาดเอง ยังงง ๆอยู่นี่ ฟัง แล้วก็ขำ ฤทธิ์ของแรงงานอีสานทำเอาบ้านเมืองเป็นอัมพาตได้เชียวนะ 

.......อาทิตย์อ่อนแสงลง รถเปิดไฟวิ่งกันเมื่อออกจากระยอง ผ่านนายายอาม ยายถามทำไมชื่อบ้านนอกจัง ความจริงนั่นมันชื่อเดิมตั้งแต่เป็นบ้านนอก บ้านไม่กี่หลัง พอเศรษฐกิจดีขึ้น ตึกรามขึ้นเต็มไปหมดกลายเป็นตลาดนายายอาม เป็น อบต.นายายอาม วันนี้ของแสดงความชื่นชมนะ บ้านนายายอามเป็นอำเภอนายายอามแล้ว ชื่อยังรักษาคำนายายอามไว้อยู่ ดีจริง ๆ นายายอามแวะซื้อผลไม้หายาก สองชนิดคือ ฟักเขียว ฟักทอง ราคาไม่แพง อร่อยด้วย เที่ยวนี้ขากลับคงได้อุดหนุนกันอีก รีบไปจะค่ำมืดแล้ว บาย บายนายายอาม
.......เข้าเขตอำเภอท่าใหม่มืดเต็มที่ ดูเวลาเพิ่งจะหกโมงเหลือระยะทางไม่ถึงสาม สิบกิโลเมตรถึงปลายทาง อบต.คลองนารายณ์ บ้านเพื่อนอยู่แถวนั้น ผ่านที่พัก สวนชมจันทร์รีสอร์ท เลยไปสัก 3 กิโลเมตร ถามยายบอกให้ไปบ้านเพื่อนก่อน เข้าที่พักทีหลัง ดูเนวิเกเตอร์หน้ารถบอกกำลังไปตามถนนหมายเลข 3 ผ่านอำเภอ ท่าใหม่ไม่นานก็เป็นทางแยกซ้ายไปสระแก้ว ขวาไปตราด เราเลี้ยวขวาไปไม่นาน ก็เป็นเขตเมืองจันทบุรี ผ่านหน้าสวนชมจันทร์รีสอร์ท ยายชี้ให้ดูบอกจะพักที่เดิม เลยไปไม่นานเป็นสะพานสระบาป ชื่อเพราะดี ยายบอกเพื่อนให้ยูเทิร์นกลับมาตรง ซุ้มทางเข้าวัดสองห้อง แต่เป็นทางไป อบต.คลองนารายณ์ด้วย เลี้ยวซ้ายไปไม่ นานก็มีคนมายืนหน้าบ้าน นัยว่าเป็นคนที่คุยโทรศัพท์กับยายนั่นแหละ เขาให้ถอยหลังเข้าจอดจะได้ออกง่าย
........ลงไปเป็นบ้านคุณอำนวยที่เคยมาครั้งหนึ่งแล้ว บ้านสวนผลไม้แบบชาวเมือง จันทร์ทั่วไป คุณอำนวยเป็นนักเรียนพยาบาลวิทยาลัยพระปกเกล้า รุ่น 5 เหมือนกัน เลยมีสมาชิกรุ่นมามาเยี่ยมเต็มบ้าน เห็นว่ายายก็รุ่น 5 เหมือนกัน มิน่ารู้จักกันโดย ไม่ต้องแนะนำ โผล่เข้าไปในบ้านเจอแต่ละคนคุ้น ๆนะ บางคนเคยไปเยี่ยมที่บ้าน แปดริ้ว บางคนไปเจอกันที่โรงพยาบาลทรวงอก ยายไปพบหมอ เพื่อนมาเยี่ยมและชวนไปทานข้าวที่บ้านประจำ คณะก็ตามไปสนุกสนานกัน เคยแซวว่ามาพบหมอนะ ไม่ใช่เลี้ยงรุ่น เพื่อน ๆก็บอกว่านี่แหละรุ่นพวกฉันละ เจอกันก็ยินดี เลยไม่ต้องแนะนำอะไรมาก คนรู้จักทั้งนั้น นั่งลงก็รับบริการอาหารเย็นทันที เขาว่าคนมาทีหลังรีบทาน จะได้ไปงานต่อ อร่อยอาหารหมูชะมวงบรรจงทำจริง ๆสมเป็นอาหารประจำถิ่น ล่อไปสองชามก็สวัสดี ขอบคุณ
.......ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยเพราะจะไปนั่งฟังสวดอภิธรรม แล้วก็ออกมา ขึ้นรถผู้โดยสารเต็มคันรถ อีกคันตามหลังมา มีรถนำหน้าพาไปเลยไม่เครียด ตามเขาไป วิ่งเข้าในเมือง ทุ่มเศษแล้วรถราบนถนนค่อยว่างหน่อย ไม่นานก็ถึงวัดเดินตามกันไปศาลาสวด ทักทายด้วยการจุดธปคารวะศพ ค่อยไปทักทายเจ้าภาพแล้วก็หลบไปนั่งแถวหลัง ให้พวก ผู้หญิงเขาทักทายกัน เพิ่งทราบว่าวันนี้คณะนักเรียนพยาบาล พปก.จันทบุรี รุ่น 5 เป็นเจ้าภาพร่วม ภรรยาผู้วายชนม์เป็นนักเรียนรุ่น 5 นี้เหมือนกัน เจี้ยวจ้าว ๆ ทัก ทายกัน จนใกล้สองทุ่มพระลงมา 4 รูป รอครู่หนึ่งพิธีกรก็เชิญชวนฟังสวดอภิธรรม
.......งานนี้เจ้าภาพภรรยาผู้วายชนมคือ.คุณ งามทรัพย์ ศิริวงศ์ เพื่อนนักเรียน พปก. รุ่น 5 เจอหน้าก็จำได้ ไปเยี่ยมตอนเราไปโรงพยาบาลทรวงอกบ่อย ๆ นึกว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่แท้บ้านอยู่จันทบุรีนี่เอง ได้เวลาอยากดูขั้นตอนการสวด เหมือนแถวบ้าน ไหม ก็คล้ายกันนะ มีเชิญคนไปจุดธูปเทียนบูชาพระ บูชาพระธรรม และจุดบูชาศพ อ้อ มีเคาะโลงศพด้วย พิธีกรก็อธิบายว่าทำไมเคาะโลงศพ บอกว่าเมื่อก่อนไม่มี เครื่องขยายเสียง เคาะโลงบอกให้รู้จะเริ่มพิธี คนจะได้หยุดคุยกันหันมาร่วมพิธี สวดบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล รับศีล พระสวดอภิธรรม ถวายผ้าบังสุกุล พระสวด ชักอนิจจา ถวายดอกไม้ ก็คือจตุปัจจัยนั่นแหละ และพระก็อนุโมทนา กรวดน้ำ เป็น เสร็จกิจกรรม เจ้าภาพเชิญรับของว่าง เป็นกล่องขนมและนมสด จบกิจกรรมสวด ก็คุยกันต่อ เกือบสามทุ่มค่อยอำลาเจ้าภาพกลับที่พัก ขบวนเพื่อนมาส่งถึงรีสอร์ท ขอบคุณน้ำใจเหลือหลายจริง ๆ
.........เช้าวันที่ 4 มกราคม 2561 ยายบอกมีนัดบ้านคุณอำนวย ตื่นแต่ตีสี่ ไม่รู้จะ ปวด...อะไรกันนักหนา(ปวดภาษาอีสาน ไว้แซวคนใจร้อนอยากทำอะไรเร็ว ๆ จน อยู่ไม่สุข หรือนอนไม่หลับ) ตลาดสดเกือบเจ็ดโมงค่อยไปก็ทัน ไปถึงบ้านเพื่อนก็ ยังไม่หกโมง บางคนก็ยังไม่ตื่น รอนานจนหกโมงครึ่งค่อยออกไปตลาดสดวัดคมบาง ห่างบ้านคุณอำนวยสัก 500 เมตร ไปถึงเจ็ดโมงเช้า แม่ค้ากำลังจัดแผงวางสินค้ากัน บางแผงก็เรียบร้อยพร้อมจำหน่าย เลยแซวว่า พวกตรวจการตลาดสดมาแล้ว
........เจ้าแรก เกาเหลาเลือดหมู ดูสะอาด น่ากิน เลยจองไว้สักสองชุด ถัดไปเป็น พวกผักพื้นบ้าน มีตำลึง มีสะเดา ผักคันจอง อ้อมีมะกอกสุกด้วย ลูกละบาทเดียว หน้าที่ผลไม้ไม่มี เอามะกอกนี่แหละ ใส่ส้มตำดีนักแล เดินลึกเข้าไปแผงปลาพวก ปลาน้ำจืดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นปลาทะเล ราคาก็ใช้ได้แพงทีเดียว อีกแผงเป็นพวก ของกินพื้นบ้าน ไก่ย่าง หมูย่าง เนื้อย่าง มีครบครัน เลยไปหน่อยเจอผักดอง ชิมดูรสบ้าน ๆ ดู ขอถุงหนึ่งเอาไปกินกับน้ำพริก เลยไปเป็นมุมของหวาน ขนมใส่ใส้ ขนม เทียน ขนมชั้น ปากหม้อ ลอดช่อง ชนมปัง ขนมหวานชื่อฝรั่ง มีพวกเด็ก ๆ มุงกันเต็ม อ้อมีแผงขายนกกวัก เขาบอกไม่ใช่เป็นนกไก่นา แหมอุตส่าห์ทักนกกวักแล้วนะ กลัวจะรู้ ว่าเราบ้านนอกเรียกนกไก่นา แต่สาวเมืองจันท์บอกเองนกไก่นา กว่าชั่วโมงหนึ่ง ก็ได้ ของกันเต็มมือ กลับมาบ้าน เปิดบุฟเฟต์กันเต็มที่ แต่คนกินไม่กี่คนหรอก มัวคุยกัน เรากินเกาหลาหมดชามหนึ่งก็สวัสดีแล้ว ออกไปเดินถ่ายภาพเล่นรอบ ๆบ้าน
........เสร็จกิจกรรมสังสรรค์ที่บ้านคุณอำนวยก็เกือบสามโมงเช้า ค่อยร่ำลากันได้ จากนั่นก็แยกย้ายกันกลับ เรากลับทางเดิมแหละประมาณห้าโมงเช้าหมดสภาพ ลืมตา ไม่ขึ้น ขอแวะปั้มข้างทางหลับก่อน จำไว้ทีหลังอย่าปลุกตีสี่ รู้ไหมนอนหกทุ่ม ดูละคร จบ ปลุกตีสี่ก็คือนอนสามชั่วโมงนั่นเอง ใช่ว่านอนจะหลับทันทีเมื่อไร หลับไปตื่นมาก็ เกือบบ่ายสอง วิ่งตามถนนหมายเลข 7 จะเข้าเมืองชล มีออเดอร์ใหม่ ให้แยกออกไป ทางพนัส ก็งง ๆ นะ แยกไปทำไม ถึงสี่แยกพานทองก็เข้าใจ มองหาตลาดสดว่างเปล่า
วันนี้ไม่มี บ่นใหญ่เลย ทำไมมันไม่มี เออ เขาไม่รู้น่ะยาย ถ้ารู้ยายจะผ่านทางนี้เขาคง มาตั้งแผงรอแล้ว ก็เลยพาผ่านไปตลาดเทศบาลพนัสนิคม ปล่อยให้เดินตลาดซะให้ เข็ด ได้ของแล้วค่อยกลับ เข้าบ้าน หกโมงเย็น ขาไปออกบ่ายสองเศษ ไปถึงจันทร์ หกโมงเย็น ขากลับสามโมงเช้าถึงหกโมงเย็น ยังกะทางไปและกลับมันยืดแตกต่างกัน ...ก็คงจบได้แหละครับ เล่ายาวเกินไปแล้ว 


 ------------------------
  เที่ยวตลาดสดทุ่งสะเดา แปลงยาว
--------------------------
.........21 ตุลาคม 2560 สี่โมงเย็น ยายสั่งให้เอารถออก จะไปตรวจการตลาดสด  หมาน้อยสองตัวไปรอที่โรงรถแล้ว มันรู้ได้ไงคนจะไปเที่ยวนอกบ้าน  เปิดประตูรถมันขึ้นก่อนคนเลย มีลูกชายแม่บ้านชื่อ กำปั้น เด็กโรงเรียนวัดโสธร ชั้น ป.1 ขอไปด้วย เลยมีสามคน สองหมา ตาพลขับเช่นเคย  ออกจากบ้านอากาศดีนะ ฟ้าแจ่งจ่างป่าง ไม่มีเมฆซักก้อน รถในถนนก็บางตา เลยมากันตามสบาย ๆ ไม่รีบร้อนผ่านมาทางหน้าศาลากลางเห็นรถและคนเต็มสนามหน้าศาลากลาง  คงเตรียมกิจกรรม วันปิยะมหาราชตัดออกด้านสนามกีฬา ตรงไปยังถนนจักรพรรดิ  ติดไฟแดง ฝั่งเราให้ 20 วินาที อีกข้างให้ 120 วินาที วันนี้มีรถติดไฟแดงกะเราคันเดียว อีก 3 เป็นมอเตอร์ไซด์ พวกเด็กยากจน ดูจากคนซ้อนท้าย กางเกงไม่มีขา เสื้อ ก็หมากกะแหล่ง ดูคงเป็นสาวแล้วนัดกันไปเที่ยวมั้งแต่งตัวคล้าย ๆกัน คนขับเป็นหนุ่มกางเกงยีนขายาวเสื้อคลุมมิดชิด โลกมันกลับตาลปัด คนอายกลับเป็นผู้ชาย สมัยก่อนตอนเรายังเด็กผู้ชายสวมกางเกงขาก๊วย เสื้อไม่ใส่อวดกล้ามเป็นมัด ๆ ไปทำงาน งานบุญถึงจะมีเสื้อย้อมครามใส่ โก้มาก ส่วนสาวนิยมใส่เสื้อย้อมครามแขนยาว ติดกระดุมแพรวพราว รวยน้อยก็กระดุมเขาวัวเจียนเองนะ มีฐานะหน่อยก็กระดุมสตางค์แดงบ้าง สตางดีบุกบ้าง เวลาไปงานบุญได้เห็นแหละ เขาจะใส่อวดกัน ส่วนพวกชอบใส่สายเดี่ยว คุณแม่คุณยาย เสื้อทรงกระบอก ติดสายเดี่ยว เรียกเสื้อหมากกะแหล่ง นิยมใส่อยู่บ้าน ทำงานคล่องตัวดี  เอชักจะออกนอกเลนไปไกลแล้ว ก็ไฟเขียวไม่มา รอไปฟุ้งซ่านไป
...........มอไซด์เบิ้ลเสียงดังพุ่งออกเมื่อไฟเขียวมา เราก็พลอยได้สติออกรถตาม พวกเขาไป เลี้ยวขวาขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง อ้อพวกมันมาจอดรถถ่ายรูปบนสะพาน วิวสวยน่าถ่ายอยู่หรอก แต่นางแบบโป้มากไป ผ่านไป ไม่อยากดูอิจฉาพวกมัน จอดหน้าธนาคารกรุงไทยยายเขาไปตรวจตู้เอทีเอ็มครู่หนึ่งก็ผ่านไปได้ 57'สี่แยกพลาซ่า เลี้ยวซ้ายไปพนมสารคาม รถมากปานกลาง วิ่งได้สบาย ๆ ผ่านแยกเข้าวัดสมาน แยกบางคล้า จนถึงสามแยกหนองปลาตะเพียน มีทางแยกไปสัตหีบ ทางดีมาก รถไม่มาก ชอบ วิ่งรวดเดียวชนสัตหีบจะแวะที่เที่ยวก็มีนะ เขาชีจรรย์  วิหารเซียน บ่อโลมาโชว์ ถึงก่อนสัตหีบเที่ยวแล้วค่อยไปต่อยังได้  วันนี้ผ่านมาเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะไปเที่ยวหรอก หกกิโลผ่านตลาดนัดหัวสำโรง วันนี้ไม่มีนัดว่างเปล่า อีกหกกิโลเมตรถึงสี่แยกทางเข้าไปนิคมอุตสาหกรรม เราเลี้ยวขวาหันหน้าไปทางสัตหีบผ่านตลาดสดทุ่งสะเดาวันนี้เป็นตลาดแห้ง ไม่มีแม่ค้าซักคน สงสัยไปรวมกันอยู่ที่ตลาดนัดทุ่งสะเดาที่เทศบาลเขาจัด ห่างกันแค่กิโลเมตรเดียวเอง แม่ค้าก็ต้องไป
.........ใช่จริง ๆสี่แยกทุ่งสะเดา ตลาดนัดวันนี้จัดที่นี่ สองหมาเฝ้ารถนะ ยายกับหลานชายไปก่อนแล้ว เราจัดการรถและหมาเสร็จค่อยตามไป ของเกะกะต้องเก็บกระดาษ วางรกไม่ได้หมาน้อยชอบเก็บมากัดเล่น น้ำดื่มเทใสกระบะไว้ให้ แบบนี้ไม่ค่อยเกเร ลงรถเข้าไปดูตลาดของสวนเจ้าของมาเอง กล้วย ไม่ติดราคาถามบอกหวี 15 บาท เราดูเฉย ๆ ลดให้ห้าบาท เอาไหม เอาแต่ไม่ใช่กล้วย อยากได้ข่าตะไคร้ ขืนซื้อไปก็ชนกันสิ ยายเขาดาราชอบกล้วยแผงนี้ผักนานาชนิด ผักหนาม ตำลึง มะระ เสม็ด ผักบุ้ง ผักหม หยิบมาสองสามอย่าง  อีกแผงเป็นผักจากตลาดที่อื่น มีผักกาดหอมที่ใช้ทำสลัดโรล ผักขาวปลี กวางตุ้ง กระหล่ำปลีผักบุ้งขาว คะน้า เลือกผักกาดหอมมาสองต้น เห็นยายบอกจะทำสลัดโรลให้กินหลายวันแล้ว ไม่เห็นลงมือซะที
.........เดินไปอีกเจอพวกปลาและเนื้อ นี้มั้งแบบที่เขาล้อเลียนกันเวลาเจ้านายเสด็จชมตลาดสด ถามดูราคาปลา แม่ค้าทูลว่า พวกยังมีพระชนม์อยู่แหวกว่ายไปมาก็ราคาแพงหน่อย ส่วนพวกสวรรคตแล้วก็ถูกลง วันนี้ก็เช่นกันในลังขังปลานิล ปลาดุก ปลาหมอ ปลายตายมีพวก ปลาตะเพียน ปลาสวาย อ้อมีปลาบึกด้วย เลือกเอาปลาแดด เดียวกิโลหนึ่ง ชอบกินปลาช่อนแดดเดียว พวกจ่อมก็ชอบเอาสองถุง กุ้งจ่อมถุง ปลาจ่อมถุง ชอบกินไม่กลัวท้องเสีย ก่อนกินเอาเข้าเวบก่อน ฆ่าเชื้อ อร่อยน้อยลงแต่สบายท้องดี  อีกแผงกุ้งนานาชนิด กองละ 50-80 วันนี้ไม่คิดจะกินกุ้ง เพราะทำไม่เป็น ไม่ใช่สิทำเป็นแต่กุ้งเต้นกุ้งคั่วเกลือ แค่นั้น แม่ค้าเขาบอก กุ้งแชบ๊วย กุ้งแม่น้ำ ถูก ๆ  อ้าวมีไข่ปลาตะเพียน ไข่ปลาจีน ใสจานวางไว้จานละ50-60 บาท ถูกนี่ ก่อนขายจานละ 100 บาท อยากเอาไปทำส้มไข่ปลาเหมือนกัน ตัดใจไม่ทำหละ
.......แผงขายกับข้าวเยอะเหมือนกัน ผัด แกง ต้ม ยำ ลาบ ส้มตำ คนอุดหนุนแน่นทุกแผงโดยเฉพาะแผงส้มตำคิวยาวมาก เลือกแจ่วพริกอ่อน กับแกงเปรอะหน่อไม้ และหมกไข่ปลา ผักนึ่ง เลือกตำลึงมัด ยอดมะระมัด กระเจี๊ยบ มะเขือ อ้อมีหมากส้มมอ(สมอ) เอา 2 ถุง เพกาเผาสุกแล้ว 1 ถุง ยิ่งดูยิ่งน่าจะเอาไปกิน สงสัยต้องรีบออกไปก่อนละ เอาของไปใส่รถ เอาหมาลงมาเดินปล่อยให้เยี่ยว กิดกินหญ้า ครู่ใหญ่ ยายถึงออกมา ได้ของเต็มหอบ หลานช่วยถือถุงน้ำแข็งเดินตามหลังมา ยายมาแย่งเชือกหมาไป นั่งป้อนไก่ย่างตัวละไม้ หมาคงชอบ เพราะตามไปโดยดี 


------------------
ไปเที่ยวตลาดนัดวัดเนินหิน
 -----------------
ที่อยู่ : วัดเนินหิน ตำบลเนินหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
 --------------------------------------------------------
.........เช้าวันที่ 15 ตุลาคม 2560 ยายบอกให้พาไปตลาดนัดข้างถนนสายหนองปลาตะเบียน-สัตหีบ เลยตอบยายว่าถนนเส้นนี้ยาว เกิน 150 กิโลเมตร มีตลาดสด ตลาดนัดไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง แล้วจะไปตลาดตรงไหนล่ะ พูดมากตานี่บอกไปก็ไปสิ ความจริงคือแกไม่รู้ตลาดอยู่ตรงไหน แต่ลูกสาวเขาว่าและอยากไปด้วย ตาก็รอดตัวไป ไม่ต้อง
ไปสำรวจตลาดสดข้างทางให้เมื่อย 
.........อาโร่ อากี้ มาอาบน้ำลูก เสียงเรียกหมาไปอาบน้ำหลังบ้าน แสดงว่าจะเอาหมาตัวโปรดไปด้วย หมามันอาบน้ำหมักเชียวนะ เพราะยายเขาหมักไว้เยอะกว่า 30 ถังถัง 30 ลิตร ขึ้น ขายไม่ออกก็เอามาใช้ ทำปุ๋ยบ้าง ทำน้ำยาถูพื้นบ้าง แจกบ้าง ที่ทำน้ำยาอาบน้ำ แช่เท้า ก็มี สาระพัดประโยชน์จริง ๆ อาบน้ำเสร็ทาโร่ห่มผ้าวิ่งเข้ามาหาก็ยายเขาเอาผ้าเช็ดตัวพันรอบตัวมัน วิ่งมาหาให้เช็ดตัวให้ มาถึงก็วิ่งชนก่อนแล้วนอนกลิ้ง ไปมาให้สนใจ ก็จับเช็ดตัวเปิดพัดลมเป่าให้ คงชอบใจยืนให้เช็ดจนแห้ง จากนั้นก็วิ่งไปหายายที่กำลังเช็ดตัวให้คุกกี้ ตาเดินไปหยิบถังใส่อุปกรณ์เชือกรัดคอ สายจูงมาใส่ให้คุกกี้ก่อน สีส้มของเขา สีแดงของทาโร่ อย่าใส่ทาโร่ก่อน ไม่งั้นคุกกี้วิ่งหนีไปไม่ยอมให้ใส่ เออหมางอนก็เป็นนะ เรียบร้อยมันวิ่งไปรอที่โรงรถ หมาแบบไหนนี่
........คนเสร็จก็เกือบเจ็ดโมงมาขึ้นรถหน้าบ้าน หมาขึ้นก่อนแล้ว ออกจากบ้าน 07.15นาฬิกาเลี้ยวซ้ายไปตามถนนศรีโสธรติดใหม่ ถึงวิทยาลัยเทคนิด เลี้ยวขวาเพื่อตัดออกไปถนนจักรพรรดิ เลี้ยวซ้ายเพื่อไปยูเทิร์น ออกไปทางแม่น้ำบางปะกง ถนนยังโล่งอยู่สาย ๆ แน่นพอกับกรุงเทพ ฯ ทุกวันอาทิตย์ เขามาไหว้หลวงพ่อพุทธโสธรกัน มาถึง
บายพาส เราเลี้ยวซ้ายไปทางพนมสารคาม ถนนเส้นนี้คือทางกลับบ้านเราที่จังหวัดเลยมาบ่อย มาสักสอง กม. ร้านขายไก่ย่างเจ้าประจำ ผ่านยาก ยายฝึกกินซ่นตีนจนติดใจก็ร้นนี้แหละ วันนี้ก็คิดเช่นเคย เลงไปหาเครื่องใน ตับ กึ๋น ได้มาถุงใหญ่ มีข้าวเหนียว แจกกับซ่นตีนและกึ๋น สี่คนก็สี่ถุง ส้วนหมาสองตัวมันชอบกินตับ ทั้งที่เมื่อก่อนกินซ่นตีนเหมือเรา แต่ตอนนี้มันกินแต่ตับ ข้าวเหนียวไม่ต้อง เลยแอบด่ามันในใจ
......มีของกินก็ไม่สนใจทางแล้ว คนขับดูเองแล้วกัน ผู้โดยสารมีคารทำ แทะซ่นตีนไก่กับข้าวเหนียว กึ๋น ตับ ไม่ขอบ ให้คนอื่นไป หมดไปสองไม้ อิ่มมาก ๆ เพราะแบบนี้แหละยายถึงไม่อยากชวนไปเที่ยวกับเพื่อน ๆไฮโซ เขา กลัวไปแทะไก่ย่างให้เขาเห็นนั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้เหรอ เหลือยายก่อนเราถึงได้รับอานิสงส์ มีไม้เดียวยายยึดเลยเป็น งั้นไป อ้อมีร้านเดียวนี้เท่านั้นนะที่ย่างไก็ได้ถูกใจยาย ลองเปลี่ยนหลายร้านแล้วยังไม่พบว่าเทียบเท่า เรานั่งรถไปป้อนหมาทาโร่ ยายป้อนคุกกี้  มันอิ่มก่อนเราค่อยกินที่ต้องป้อนเพราะปล่อยกินเองเลอะหมด ป้อนน่ะดีแล้ว อิ่มเสร็จเช็ดปากให้ด้วยนะก็ปากมันขนเยอะกินทีไรเลอะทุกทีแหละ ยายมองค้นขวับ ๆ หมั่นใส้  ทาโร่เชิดปากด้วยทิชชู่ แล้วมันก็นอนสบาย ๆ ไป
.......วิ่งมาถึงสี่แยกเนินหิน เลี้ยวขวาก็เข้าอำเภอพนัสนิคม เราตรงไปสัก 100 เมตรประตูวัดเนินหิน ต.หนองเหียง ตอนนี้เห็นเปลี่ยนเป็นตำบลหนองหิน แสดงว่าชุมชนเจริญมากขึ้นเลยยกฐานะเป็นตำบล มีรถจอดริมถนนหน้าวัดเต็ไปหมด พอดีมีรถออกคันหนึ่งตรงหน้าเรา เลยได้โอกาสสวมรอยทันที จอดรถเรียบร้อย สองหามีหน้าที่เฝ้ารถ ไม่ต้องลงคนเยอะ ยายกับลูกสาวและหลานชายไปทาง ส่วนเราไปอีกทางเราเดินช้าชอบดูอะไรนาน ๆ ส่วนพวกเขาฉับไวไม่ชักช้า พกโทรศัพท์ไว้จำเป็นค่อยโทร.ตาม
.......ลงไปเดินดูเงยหน้าขึ้นอ้อ ประตูวัดเนินหิน ไกลไปโน่นก็พระอุโบสถ และกุฏิพระ ใช่วัดแน่นอน ซ้ายขวาติดกำแพงวัด แผงขายสินค้านานาชนิด พวกก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนลาบเป็ดก็มีด้วย ส้มตำมาแต่เช้าเชียว ขายดีซะด้วย ดูหน้าคนซื้อคงเป็นคนบ้านเดียวกันไทอีสานแน่ สมัยก่อนความเชื่อนี้ใช้ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ขลัง แม่ค้าส้มตำข้างบ้านแกบอกพวกพม่าเขมร เป็นลูกค้าสำคัญ กินเผ็ดกว่าเรา ๆอีก ไม่เถียงหรอก แม่บ้านคนมอญเต็มร้อยแต่มันทำแจ่วบองอร่อย ตำส้มก็อร่อย ที่ยอดมากคือแก่งอ่อมผักตบใส่หนังควายมันทำให้ตากินยังกะตาทำเอง เพราะมันถามซะทุกบรรทัดนี่ จำเก่งด้วยนะ ทำอีกทีไม่ต้องถาม ทำได้ดี แผงขนมก็เยอะนะ ไปดูข้างในก่อน
.........โผล่เข้าไปเจอแผงขายเสื้อผ้า ทั้งผ้าใหม่ ๆ เก่า ๆ และเก่ามาก ๆ ราคาก็ตามความใหม่ ใหม่มากก็แพงมาก ใหม่น้อยก็ราคาเยาว์ มีมากพวกขายเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์โทรศัพท์ เครื่องประดับ ตุ๊กตา ถ้วยชามเครื่องครัวต่าง ๆ  เลยไปด้านหลังเจอพวกเครื่องเหล็ก มีด จอบ เสียม ตะขอ กรรไกร ราคาไม่แพงมีอยู่ห้าหกแผง ถัดไปก็พวกของเก่าเครื่องมือช่าง ชิ้นส่วนเครื่องจักรเครื่องกลต่าง ๆ นี่มันตลาดคลองถมย่อม ๆนี่เอง เดินดูไป ไม่รู้จะซื้ออะไร แม่ค้าพูดดีก็ชมนานหน่อย ไม่ค่อยยิ้มก็รีบ ๆผ่านไป ก็เรามาชมตลาดนี่นา ไม่ได้มาซื้อของ เจอแม่ค้าขายเก่งได้ซื้อไฟฉายกระบอกหนึ่ง เวลาไฟดับหาเทียนไม่ค่อยเจอ ห้องพระก็ไม่ใช้เทียนธูปแล้ว บอกเหม็น อ๋อคนไม่ใช่พระพุทธรูปบ่น  ยิ่งห้องติดกระจกนั่งนานจะเป็นลมเลยไม่ใช้ อ้อใช้ธูปเทียนไฟฟ้ากัน เวลาไปดับเลยไม่มีเทียนไง
........เดินวนรอบหนึ่งพอดี ไม่เห็นยายกับลูกหลาน เลยเดินออกมาทางหน้าวัด คนยังแน่นเช่นเดิม ชมแผงลอยพ่อค้าแม่ค้าไปเรื่อย ๆ เจอสาวแม่ค้าขายขนมชั้น กำลังจะซื้อเธอชี้มือไปทางถนนบอก พี่คะมีคนเรียกพี่ใช่ไหม แหมชื่นใจจังมีคนเรียกพี่ หน้าตาดีนะอายุสัก 50 เศษ มองตามก็พบยายเรียกเรานั่นเอง บอกขอบคุณน้องเขาแล้วก็อำลาจาก
..........ห้าโมงครึ่งจบรายการทัวร์เยี่ยมบ้านเพื่อนยาย จะกลับละ หิวข้าวยายงัดหมูปิ้งข้าวเหนียวมากินกัน แบบนี้กลับบ้านได้เลยไม่ต้องแวะทานข้าวที่ไหนยาก จะกลับไปขึ้นทางด่วนก็ไปไม่ถูก เลยขับมาทางถนนแจ้งวัฒนะ-หลักสี่ รถติดขนาดหนักวิ่ง 1 ชั่วโมงเจอถนนวิภาวดี เลยเลี้ยวซ้ายผ่านมาทางดอนเมือง รังสิต จะไปสะพานใหม่ ลำลูกกา แถวนี้มาบ่อยสมัยลูกสาวยายเรียน ม. รังสิต ไม่นานก็ขึ้นถนนสายไปลำลูกกา11 กม.ทางด่วนหมายเลข 9 นั่นแหละที่หนีรถติดจะไปที่นั่น รถว่าง ๆเดียวเดียวก็ขึ้นทางด่วนได้ มาบ่อยไม่มีด่านเก็บเงิน โน่นแหละทับช้างถึงจะมีด่านเก็บเงิน สามสิบบาท ยังกะบัตรไปพบหมอ  รถเยอะมีแต่คันใหญ่ เกินสิบล้อแน่ ๆ แถวละ 4 ล้อ ติดกันสองแถวก็แปดล้อ พ่วงหลังสองแถวก็สิบหกล้อแล้ว ส่วนหัวอีก รวมแล้วน่าจะถึงยี่สิบล้อ โห มันยาวใหญ่มาก แต่วิ่งยังกะรถสองแถว ไวมาก รถเราวิ่งไปช้า ๆ เป็นเพื่อนรถใหญ่ ๆ พวกนี้แหละ ยายบอกรำคาญ แซงไปเถอะ ครับ แซงได้ไปวิ่งเล่นกลาง ๆกลุ่ม ยายท้วงเร็วเกินไปนะคุณ แหม 120 เอง คันอื่นเขาแซงเราไปหมด ตอนวิ่งกะสิบล้อนั่นแหละวิ่ง 100 กม.ต่อชั่วโมงละ ก็ยายบอกช้าให้แซง ก็ต้อง 120 สิ
........ชวนทะเลาะกันมาไม่นานก็ออกทางด่วนสิบแปดกิโลเมตรถึงบ้านสบาย ๆ เปิดไฟสูงส่องตาหมาน้อยสองตัว มันยืนเกาะประตูกรงเหล็กเห่าทักทายแสดงว่าจำเสียงรถได้ ยายลงรถได้รีบไปส่งของฝากไก่ย่างต้องเตือนรีบ ๆนะตัวใหญ่มี 4 ตัวเขาปล่อยแล้วทำหน้าที่เวรยามกลางคืนจบการเดินทางที่แสนจะเหนื่อย คืนนี้คงหลับยกเดียวซอด
แจ้งแหงเลย  จบละครับ

 



โลกไม่ว่างพระอรหันต์ อยากไปสุคติ ไปนิพพาน และสัจจะ












(เพิ่มเนื้อหาอีก 4 เรื่อง อยากไปสุคติ ไปนิพพานได้จริงหรือ สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ )

โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้า......
...........มีเพื่อนทางธรรมสนทนากันถึงแนวปฏิบัติธรรมของอุบาสกอุบาสิกาว่า สมัยนี้เราปฏิบัติธรรมกันโดยไม่เห็นจุดหมาย เพียงแต่อยากได้บุญกุศล หวังว่า ตายไปไม่ตกไปในแนวทางอบายภูมิ ไม่ค่อยหวังจะดำเนินไปทางอริย มรรคสักเท่าใด ก็เลยอยากให้เพื่อน ๆลองศึกษา ข้อความที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสแก่ สุภัททปริพพาชกผู้ยืนร้องให้ ใกล้ ๆ ที่พระพุทธเจ้าบรรทม ก่อนจะปรินิพพานไม่กี่นาที พร้อมรำพึงรำพัน ว่าตัวเองเกิดมาเสียประโยชน์ ไม่ทันได้เฝ้าและรับคำสอน พระองค์ก็มาด่วนเจ็บป่วยจะจากไปเสียแล้ว ด้วยความเมตตาของพระพุทธองค์ สุภัททได้ฟังพุทธธรรมคำสอนและได้อุปสมบทโดยพระอานท์เป็นอัชฌายะ ถือเป็นสาวกคนสุดท้ายที่บวชเฉพาะพระพักตร์ของพุทธองค์ โอวาทที่ทรงคุณค่ายิ่งที่พุทธองค์ตรัสครั้งนั้นปรากฏใน พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ขอสรุปย่อ ๆ พอได้ใจความ ดังนี้
....... ก็สมัยนั้น ปริพาชกนามว่า สุภัททะ ชาวเมืองกุสินารา ทราบข่าวว่า พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิม ยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ สุภัททะ ระลึกได้ว่าเราเลื่อมใสพระสมณโคดมว่า ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา จึงเดินทางไปยังป่ามหาวันที่พระพุทธเจ้าทรงอาพาธิและพักผ่อนอยู่  เข้าไปพบพระอานนท์เถระ ขออนุญาตทูลถามข้อสงสัยในใจต่อพระพุทธเจ้า พระอานนท์ห้ามว่าอย่ารบกวนพระองค์เลย เพราะยังอาพาธหนักอยู่ สุภัททะอ้อนวอนสามครั้ง พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เลยตรัสแก่พระอานนท์ ว่าอย่าห้ามปริพพาชกเลย เพราะทรงทราบว่าสุภัททะคือสาวกคนสุดท้ายของพระองค์ สุภัททะได้สนทนากับพระพุทธองค์มีสาระสำคัญคือ
...........สุภัททะทูลถามถึงการตรัสรู้ของสำนักนักปราชญ์ทั่วไปที่คนยกย่องนับถือ  แต่พระพุทธเจ้าตัดบทว่าเรามีเวลาน้อย อย่าไปสนใจเรื่องอื่น ให้ตั้งใจฟังที่เราจะสอน ตรัสว่า."... ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ส่วนในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระ-*อรหันต์ทั้งหลาย ฯ
[...........๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก  ไม่มีในภายนอก แต่ธรรมวินัยนี้ ฯ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลั ทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ..."
........สุภัททรับฟังพุทโธวาทแล้วเลื่อมใสยิ่งนัก ได้ทูลขออุปสมบท พุทธองค์อนุญาตนับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่บวชเฉพาะพระพักตร์ของพุทธองค์ (จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ทีฆนิกาย มหาวรรคหัวข้อ 138-140)
...........โดยนัยแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวแล้ว หมายความว่า ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือปฏิบัติตามแนวทาง อริยมรรค 8 ซึ่งก็คือยึดไตรสิกขาที่เรียก อธิสีลสิกขา อธิจิตสิกขาและอธิปัญญาสิกขา นั่นเอง ย่อมจะมีคนที่สามารถบรรลุเป็นอริยได้ อริยะย่อมมีขอบเขตตั้งแต่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรคและอรหัตตริยผล ที่ท่านเรียกอริยมรรค 4 อริยผล 4 นั่นเอง แสดงว่าตราบที่ยังมีผู้ปฏิบัติมรรค 8 อยู่ ย่อมจะมีอริยบุคคลเกิดขึ้นได้ในโลก นับเป็นพระโอวาททีทรงคุณค่ายิ่งสำหรับนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย อย่าได้ท้อแท้ ถ้าแนวทางที่กำลังปฏิบัติเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้วพึงแน่วแน่ปฏิบัติกันต่อไป
............เมื่อปฏิบัติตามแนวทางอริยมรรคแปดแล้ว คุณธรรมของความเป็นอริยะย่อมบังเกิดมีแก่ผู้ปฏิบัติ มาก น้อย ตามเหตุแห่งการปฏิบัติ หนังสือธรรมวิภาค อธิบายลักษณะพระอริยบุคคลมี 4 ระดับคือ
.............1..โสดาบัน ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ

..................1).สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา
..................2).วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย เช่นสงสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
.................3)สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วยศีลและพรตอย่างนั้น อย่างนี้ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา.
......ความเป็นพระโสดาบันนี้ก็เช่นเดียวกับความเป็นพระอริยบุคคลประเภทอื่นๆ ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต(นักบวช) เท่านั้น แม้ คฤหัสถ์ คือชายหรือหญิงผู้ครองเรือน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เช่น ในสมัยพุทธกาลคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสารเป็นต้นการเข้าถึงกระแสธรรมของพระโสดาบันนั้น เป็นการยกระดับจิตใจของท่านอย่างถาวรทำให้ท่านไม่สามารถกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก เป็นผู้ที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (เช่น นรก หรือเดียรฉาน)ทั้งยังเป็นผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน โสดาบันอาจจำแนกได้เป็น....จูฬโสดาบัน​ คือ ​กัลยาณปุถุชน​ผู้​แทงตลอดลำ​ดับแห่งนามรูปปริ​เฉทญาณ​ ​ที่​ ๑ ​ถึง ​ลำ​ดับโคตรภูญาณที่​ ๑๓ ​ตามสมควร ......มหา​โสดาบัน​ คือ ​อริยบุคคล​ผู้​แทงตลอด​ใน​ลำ​ดับแห่งญาณ​ ๑๖​โดย​สมบูรณ์​
........... 2.สกทาคามี หรือ สกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลลำดับที่ ๒ ใน ๔ ประเภท ที่เรียกว่า "ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว" หมายถึง พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน ผู้ได้บรรลุสกทาคามิผลคือผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ประการแรกได้เช่นเดียวกับพระโสดาบัน อีกทั้งทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วยคือกามราคะ หมายถึง ความพอใจในกาม คือ การความเพลินในการได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่าพอใจปฏิฆะ หมายถึง ความกระทบกระทั่งในใจ คล้ายความพยาบาทอย่างละเอียดหากสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งสองประการนี้หมดไปก็จะเป็นพระอนาคามี
..............3.อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีกแต่จะเกิดในพรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้นเลย เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทที่ ๓ ใน๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ประการได้แล้ว ยังเหลือสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก ๕ ประการ คือ1.รูปราคะ หมายถึง ความพอใจในรูปฌาน หรือ รูปธรรมอันประณีต หรือ ความพอใจในรูปภพ 2.อรูปราคะ หมายถึง ความพอใจในอรูปฌาน หรือ พอใจในอรูปธรรม เช่น ความรู้เป็นต้น หรือ ความพอใจในอรูปภพ3.มานะ หมายถึง ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นพระอนาคามี (แม้ว่าจะเป็นจริงๆ) เป็นต้น 4.อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งของจิต 5.อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งอนึ่งพึงเข้าใจว่า แม้สังโยชน์เบื้องสูงบางข้อจะมีชื่อเหมือนกิเลสอย่างหยาบที่ยังมีในปถุชน (ผู้ยังไม่เป็นบรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เช่น มานะ อุทธัจจะ หรือ อวิชชา แต่สังโยชน์เบื้องสูงอันเป็นกิเลสที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจของพระอนาคามีนั้น เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าของปถุชนอย่างมาก
............พระอรหันต์ คือ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถละ สังโยชน์ได้ครบทั้ง 10 ประการ
..............จากคำอธิบายในเอกสารตำราต่าง ๆ พอช่วยให้เรารู้จักอย่างน้อย 2 สาระสำคัญคือ พระอริยเจ้า ทั้ง 4 ระดับ จะเกิดขึ้นเมื่อมีคนปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา หรืออริยมรรค 8 ถามว่าปัจจุบัน มีไหมคนที่ถือปฏิบัติตามแนวทางนี้ ถ้ามีอริย 4 ก็ย่อมยังมีอยู่

..............สาระสำคัญที่สอง จะรู้ได้อย่างไร มีผู้บรรลุธรรมระดับไหน ไม่มีทางรู้ได้หรอก เพราะคนที่บรรลุธรรม ไม่โอ้อวดบอกใครหรอก ว่าฉันเป็นพระโสดา เป็นสกิทาคา อนาคาหรือเป็นอรหันต์ คนที่มีคุณธรรมระดับอริยะถึงจะทราบได้ว่าคนไหนเป็นอริยะจริงหรืออริยะปลอม ชาวบ้านอย่างเรา ก็แค่สังเกตดูพฤติกรรมของคนที่เราสงสัยว่าใช่อริยะเจ้าใหม ตรวจดูสังโยช 10 ก็เดาได้แล้วนี้ใช่หรือไม่ใช่



------------------------------------------------

อยากไปสุคติ .......ขุนทอง เขียน
----------------------------------------------
.........เพื่อน ๆสายวัดคุยกันว่า เข้าวัดประจำ ทำบุญไม่ขาด หลวงพ่อบอกชาติหน้า ไม่ตก นรก ไปสวรรค์แน่นอน ทำเอาเพื่อนขยันไปวัดไม่ค่อยจะขาด โดยเฉพาะวันพระมาชวนเรา ไปจำศีลที่วัดด้วย เราก็ปฏิเสธประจำเช่นกัน แกเป็นห่วงว่าขืนนายไม่สนใจเข้าวัดอย่างนี้ จะไปสุคติสวรรคกะเขาได้อย่างไร เราก็ไม่เคยบอกนะว่าเราอยากไปทุคติ แต่เราก็คิดแบบ ของเรา คือรู้จักทั้งทุคติและสุคติ และเลือกสุคติดีกว่า ไม่มีเรื่องทุกข์ทรมานมากมายเหมือน ทุคติ วันนี้มาคุยเรื่องคติทั้งสองอย่างนี่กัน
........ทุคติ มี 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกายและเดรัจฉาน ตามลำดับความทุกข์ทรมานมาก ไปหาน้อย เรามองเห็นเดรัจฉานภูมิ เพราะซ้อนทับกับมนุษยภูมิ เดรัจฉานหลายชนิด ก็คุ้นเคย เอามาเป็นสัตว์เลี้ยงบ้าง เอามาเป็นสินค้าบ้าง ความเป็นอยู่ไม่สะดวกสบายเหมือนคน หลาย ชนิดเป็นอยู่อย่างลำบาก น่าเกลียดน่ากลัวก็มี เดรัจฉานที่ดีที่สุดในกลุ่มทุคติ 4 ยังขนาดนี้ นอกนั้นก็คงไม่มีใครอยากไป อ้อสิ่งที่ทำให้ไปสู่ทุคติคือ บาปหรืออกุศลกรรม คนทำ แต่บุญกุศลไปไม่ได้
.........สุคติมี 4 ได้แก่ มนุษย์ สวรรค์ รูปพรหมและอรูปพรหม ที่เรียกสุคติเพราะมีความ เป็นอยู่ดีกว่าทุคติ ต้องมีบุญกุศลมากพอถึงจะเดินทางไปสุคติได้ เหตุนี้กระมัง เวลาทำบุญ ถึงปรารถนาไปสุคติกัน ไปสวรรค์ ต้องมีบุญกุศลมาก ๆ ไม่ได้จำกัดบุญชนิดไหน ส่วนรูปพรหมอรูปพรหม นอกจากมีบุญกุศลมาก ๆแล้ว ยังต้องมีฌานสมาบัติด้วยถึงจะไปยังพรหมโลกได้  สุคติ 3 อย่างหลัง เคยได้ยินได้ฟัง ไม่ค่อยได้เห็น แต่สุคติอย่างแรกคือมนุสสภูมิ..... นี่เราอยู่ อาศัยมาแต่แรกเกิดเลยแหละ คุ้นเคยเสียจนลืมไปว่า..ที่นี่คือ สุคติ นะ ทำบุญจึงปรารถนาไปสุคติ คือสวรรค์มากกว่า ทั้ง ๆที่นี่มีอะไรดีกว่าสวรรค์อีก มาศึกษาดูซิ ใน มนุสสภูมิมีดีอะไรบ้าง
..........คนจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่องไปบำเพ็ญบารมีหลายภพหลายชาติ นรกสวรรค์ พรหมโลกไปมาหมด สุดท้ายก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในมนุสสโลกนี่แหละ แสดงว่า ที่นี่ ดีกว่าที่อื่น ไปตรัสรู้ที่สวรรค์ เมืองที่คนบริโภคบุญ สอนให้กลัวบาป อาจโดน ถามว่าบาปคืออะไร น่ากลัว ไหม หรือในพรหมโลกสอน ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา พรหมเข้าสมาบัติตลอดวัน ไม่สนใจ หรอกชรา เป็นอย่างไร ทุกข์เป็นอย่างไร คง เสียเวลามากกว่าจะสอนไตรลักษณ์ให้เข้าใจได้
.........มนุสสโลกเรามีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์องค์เจ้า ทำบุญทำทานก็สะดวกนะ พระ โพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์ ส่วนมากก็อยูในมนุษย์โลกนี่เอง เช่น พระเตมีย์ใบ้ พระมหาชนก สุวรรณสามกุมาร มโหสถจนกระทั่งเวสสันดร แสดงว่าที่นี่เหมาะสำหรับ นักบุญที่บำเพ็ญ บุญมากกว่าชาวบ้านทั่วไป

.........เป็นแหล่งรวมของผู้จะท่องไปในสังสารวัฏ ยังกะ บ.ข.ส. จากจุดนี้ตรงไปนรก ได้ เลยเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือแม้แต่เดรัจฉาน ก็ได้เลย ทำบาปมาก ๆ เข้าไว้ อยาก เกิดในภพ มนุษย์อีก ทำบุญมาก ๆ ยังไม่พอศีลห้าต้องขยันรักษา อยากไปสวรรค์ ทำ บุญแล้วยังต้องมี คุณธรรมของเทวดาคือหิริและโอตตัปปะ อยากไปเป็นพรหม ทำบุญ กุศลแล้วยังต้องมีฌาน สมาบัติด้วย เมืองมนุษย์นี่เราเลือกบำเพ็ญบุญกุศลได้ตามที่ ชอบ อ้อบาปก็ด้วยทำที่นี่แหละมนุษย์จึงเป็นเหมือนสถานีขนส่ง-รับ ผู้โดยสารไปยังภพภูมิต่าง ๆ
.........บาป บุญ คือตั๋วสองอย่าง บาปจะส่งไปทุคติ ส่วนบุญกุศลคือตัวไปยังสุคติ ขึ้นรถ โดยสารให้ถูก ขึ้นผิดเขาไล่ลงเอง เพราะฉะนั้น กลัวได้ไปทุคติ ก็อย่าชอบทำบาปนัก ไหว้พระตอนเช้าช่วยให้นึกถึงเรื่องบุญกุศล อยู่เฉย บาปมันมาชวนไปทำบาปก่อน โดย ธรรมชาติใจคนมันชอบบาปมากกว่าบุญด้วยสิ ชวนไปตกปลา ล่าสัตว์ ไปผับ ง่าย กว่าชวนไปวัด อะไรที่ทำให้นึกถึงบุญทำไว้ก่อน บาปจะแทรกยาก
.......อยากทำบุญ ไม่ค่อยได้ไปวัด ไม่ได้ใส่บาตร เปิดใจหน่อย บุญกิริยาวัตถุ วิธีทำบุญ สามหลัก ทำทาน ได้บุญ มีใครรับทานจากเราได้บ้าน ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เขายินดีรับ ทาน จากเรา คนยากคนจนก็มีอีกมากมาย ไม่ได้ไปวัดก็ทำทานได้ เดี๋ยวไปเจอวัดมี หลวงตารูปเดียววันพระไปกันทุกครัวเรือนเต็มศาลา หลวงตาน้ำตาตกเลยแหละ เพราะ บริโภคไม่ไหว มีแต่ในเมืองแหละ วัดมีพระมาก บ้านนอกทำบุญบ้านทีนิมนต์สามวัดถึง ได้พระ 9 รูป สีลมัยปฏิบัติศีล ได้บุญ ก่อน ต้องรอไปจำศีลวันพระถึงจะเรียกรักษาศีล ซึ่ง ไม่ใช่วิธีที่ดี อยู่นอกวัดต่างหากที่อยากให้มีศีล อยู่บ้านมีศีล ไปเรียนมีศีล ไปทำงานมีศีล อยู่ร่วมในสังคมอย่างคนมีศีล ศีลแบบนี้ต่างหากถึง จะเกิดบุญกุศลและได้อานิสงส์ครบ สีเลน สุคตึ ยันตึ สีเลนโภคสัมปทา สีเลนนิพพุตึ ยันตึ ตัสมาสีลัง วิโสธเย ภาวนามัย การ อบรมให้เกิดปัญญาช่วยชำระโมหะคือความโง่งมงายออก ไปบ้างเป็นบุญอย่างยิ่ง ภาวนา มิใช่กรรมฐานไม่ใช่วิปัสสนาเท่านั้น เราสามารถอบรมให้เกิดสติปัญญาที่ทำให้โมหะ ความโง่หายไปได้มากมายหลายวิธี การศึกษาคือการอบรมที่ขจัด ความโง่ได้อย่างดี มาก ๆ บุญทั้งนั้น มีค่าต่อการทำการงานอีกด้วย อย่าท้อแท้เลยว่าจะไม่ มีโอกาสทำบุญ กุศลมากเหมือนคนอื่น
.........ยกตัวอย่างสนใจอยากได้บุญมาก ตื่นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้า สมาทานศีล แผ่เมตตาจากนั้นก็ทำงานบ้านช่วยแม่ จัดของให้แม่ไปทำบุญตักบาตร ไปเรียนก็มีน้ำใจ เอื้อเฟื่อต่อ เพื่อน ช่วยทำงานชั้นเรียน ช่วยงานโรงเรียน เลิกเรียนรีบกลับมาช่วยงานบ้าน วัยทำงานก็ตั้งใจทำ เต็มกำลังความสามารถ หมั่นศึกษาหาความรู้ พัฒนาสติปัญญา อยู่เสมอ สติปัญญาที่เกิดคือ บุญราคาแพงด้วย คนที่เริ่มทำงานพร้อมกัน บางคนขยันหาความรู้ งาน เขาก็ก้าวหน้าไวกว่าเพราะมีความรู้คือสติปัญญา ก็คือบุญนั่นเอง สรุปว่ามีบุญอยู่รอบตัวเรา สนใจลองสำรวจและ เลือกทำบุญที่ชอบซิครับ มีบุญมาก ๆ จะเห็นค่าของบุญเอง



------------------------------
ไปนิพพานได้ จริงหรือ

------------------------------

.......ชาวบ้านอย่างเราที่นับถือพุทธศาสนาเคยได้ยืนชื่อ นิพพานและเข้าใจว่าเป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดและสั่งสมบุญกุศลกันเรื่อยร่ำไป ดังนั้นเวลาทำบุญทำทานมักได้ยินคำปรารถนาว่า ขอให้ได้เข้าสู่พระนิพพาน ในอนาคตกาลโน้นเทอญฯได้ยินบ่อย ๆครับ มาลองศึกษาดูกันว่าพระนิพพานที่อยากไปให้ถึง เป็นอย่างไร
.......นิพพานโดยความหมายศัพท์ หมายถึงความดับสนิท แห่งตัณหา ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา สามตัณหานี้คือสมุทัยในอริยสัจ 4 เมื่อดับได้เรียกว่า นิโรธ ในอริยสัจ 4 เมื่อนิโรธท่านเรียกว่าคือเข้าถึงนิพพาน ดังนั้นนิโรธ จึงเป็นไวพจน์ของคำว่านิพานนั่นเอง
.......มีคำอธิบายว่านิโรธคือการดับตัณหาที่เป็นสมุทัยอริยสัจ ทุกข์อริยสัจก็ดับด้วยได้แก่ทุกข์คือ ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโคทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อไปดูความหมายของนิพพานที่แปลว่าดับ ดับอะไร ดับกิเลส ได้แก่ตัณหา 3ดับทุกข์ ก็เป็นความหมายเดียวกันนั่นเองกับ นิโรอริยสัจ จากการวิเคราะห์ความหมายของคำว่านิโรธและคำว่านิพพาน แสดงว่าเกิดขึ้นในใจของผู้บรรลุอริยสัจนั่นเองไม่ใช่ภพภูมิที่จะต้องดำเนินไปหาหลังจากการตาย ไม่มีบุญกุศลใดที่ท่านบอกว่านำไปสู่นิพพาน มีแต่บอกว่าทำบุญกุศลมาก ๆ จะได้ไปสุคติคือสวรรค์ บำเพ็ญฌานให้มั่นไว้จะได้ไปยังพระหมโลก ส่วนนิพพานท่านบอกว่าต้องปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุอรหันต์จึงจะเข้าถึงนิพพานขนะที่ยังไม่ตายนั่นแหละ
........นิพพานท่านจำแนกไว้ 2 ประการคือ สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่ยังมีขันธ์ห้าดำรงอยู่ คือยังมีชีวิตอยู่ กับ อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานของผู้ที่บรรลุนิพพานมาก่อนแล้วตายไป โดยนัยนี้แสดงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อท่านบรรลุธรรมระดับสูงสุดชั้นนี้คือดับกิเลสหมดจดแล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านบรรลุสอุปาทิเสสนิพพานแล้วนั่นเองต่อมาเมื่อท่านมรณะภาพ เรียกว่าท่านเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน ดังนั้นการนิพพาน ต้องนิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยนิพพาน ถ้าตายแล้วค่อยนิพพาน ก็แสดงว่านิพพานไม่แท้ เพราะยังมีต่อหลังจากตาย นิพพานดับตัวสมุทัยคือตัณหา 3 แล้วไม่มีเหตุปัจจัยจะทำให้เกิดอีก อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านเรียกอาการแตกดับของขันธ์ 5ทานผู้บรรลุสอุปาทิเสสนิพพานมาแล้ว ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปอนุปาทิเสสนิพพาน แบบมรณภาพ เรียกการตายของพระ ไม่ใช่พระตายแล้วไปมรณภาพ
.......ทำไมไปนิพพานไม่ได้ เพราะนิพพานไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก กิเลสปัจจัยตัวสำคัญ 3 อย่างคือกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ดับหมดทุกตัวเมื่อปฏิบัติธรรมบรรลุนิโรธอริยสัจ หมดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ท่านจึงเรียกว่านิพพาน ชาติปิทุกขา ทุกข์ตัวแรกในทุกขอริยสัจก็ไม่เกิด ตัวอื่น ๆ ก็ดับไปโดยปริยาย ดังนั้นการบรรลุนิพพาเป็นการบรรลุขณะยังไม่ตายนี่แหละ การตายขณะยังไม่บรรลุนิพพาน ก็เหมือนคนทั่วไป มีสุคติและทุคติเป็นที่ไป ไม่มีนิพพานให้ เพราะนิพพานไม่ใช่ภพภูมิ แต่ถ้าภพหน้าเกิดในมนุสสภพและมีพระพุทธศาสนา ถือว่าโชคดี มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ก็อาจบรรลุนิพพานได้
........กระผมเขียนถึงนิพพานที่เป็นคุณธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา เพราะเห็นพวกพ้องชวนกันไปนิพพานแบบไปสวรรค์ คือตายแล้วไปนิพพาน ก็อยากทักว่าแน่ใจว่าใช่หรือ ปกติพระท่านจะแนะนำว่า การทำบุญกุศลให้มากไว้ ขอให้เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้พบพุทธศาสนาและได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพาน เคยทราบมาแค่นี้


-----------------------------------
สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ

-----------------------------------

..........ช่วงนี้เจอนักปฏิบัติธรรมบ่อย เจอหน้ากันก็อดสนทนาถึงการปฏิบัติมิได้ ผมไม่ช่างพูดคุย เลยคุยไม่ทันเขา เอาแต่รับฟังแล้วนำมาคิด มีเวลาก็เขียนถึง เพื่อน ๆก็รู้หลังจากวางยาแล้วก็ติดตามว่าจะเกิดผลอะไร ตามมาดูเฟซ ดูเวบบลอก แล้วก็นำไปนินทาเราทีหลังว่า กูนึกแล้วแกต้องเขียนอะไรให้พวกกูอ่านแน่ ครับก็ทราบนะว่าโดนเพื่อนชอบวางยา เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องคำสอนต่าง ๆของพุทธศาสนาสองสามวันที่แล้วก็เจอเพื่อนบอกว่า เขารู้วิธีพบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ยินก็รู้สึกทึ่งสิครับ เลยถามมันว่ารู้ได้ไง เขาบอกว่ารู้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติธรรม อาจารย์ก็ยืนยันเป็นวิธีที่จะพบสัจจะได้
.........เป็นการอบรมวิปัสสนา ทางวัดเขาจัดเข้าค่ายปฏิบัติสามวันเจ็ดวัน ให้ทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถือศีลแปด นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม อาจารย์บอกเป็นแนวทางที่จะได้พบสัจจะจริง ก็ไม่ซักต่อ เพียงแค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเขาจะพูดถึงอะไร ก็เลยอยากจะตามหาสัจจะที่เขาว่า มันเป็นอย่างไร สัจจะที่นักปฏิบัติธรรมอยากพบ อยากบรรลุถ้าเป็น แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มีตัวเดียวครับชื่อ อริยสัจจ 4 ประการนั่นแหละไม่ใช้สัจจอย่างอื่น ไปดูคำขยายที่พระอรรถกฐานจารย์ร้อยกรองไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จะเห็นแนวทางอริยสัจจคืออะไร
..........ทุกขอริยสัจจ ท่านบรรยายทุกข์ไว้ 11 ข้อ ดังบาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
..........สมุทัยอริยสัจ ท่านบันทึกไว้ว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินีเสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
..........ทุกขนิโรธอริยสัจจ บาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย
..........มรรคอริยสัจ บาลีว่า อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติสัมมาสะมาธิ
...........อันนี้คืออริยสัจจ 4 ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใจความอริยสัจนี้เป็นคำสอนที่พระองค์ตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปัตนมิคทายวัน หลังตรัสรู้ไม่นาน สมัยโน้นเพียงฟังพระพุทธองค์เทศนา ก็สามารถบรรลุอริยสัจจ ได้ คนที่บรรลุอริยสัจจได้จากการฟังเทศนามากมาย อัญญาโกญทัญญะคือคนแรก จากนั้นก็มีคนฟังเทศนาแล้วบรรลุอริยสัจจสี่มากมาย
..........ปัจจุบันคนที่สามารถเทศนาให้ผู้ฟังบรรลุธรรม หาได้ยาก พระพุทธเจ้าได้ประทานแนวปฏิบัติให้ เรียกว่า วิปัสสนา จึงมีพระภิกษุสมัยต่อมาสามารถบรรลุธรรม จากการปฏิบัติวิปัสสนามากมายเช่นกัน ถ้าสนใจวิปัสสนาเพื่อบรรลุสัจจธรรม ก็ลองปรึกษาพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสนาธุระดู จะได้คำแนะนำที่ถูกต้อง ลำพังการอ่านคู่มืออ่าน ตำรา อาจมีข้อผิดพลาดได้ พระอาจารย์ที่สามารถแนะนำเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนามีมากมาย ลองติดต่อสอบถามดู
..........การรู้อริสัจจ 4 มี 3 ระดับนะครับ อย่างกระผมรู้มาจากการศึกษาเล่าเรียนจากการอ่านเอกสารตำรา อ่านพระไตรปิฎก เป็นการเรียนรู้ระดับ ปริยัติ ส่วนท่านที่ไปฝึกปฏิบัติธรรม แนวทางสติปัฏฐาน 4 ท่านกำลังศึกษาด้วยวิธี ปฏิบัติ หลังจากที่ท่านปฏิบัติจนเกิดรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ เรียกว่าท่านเกิดบรรลุการ ปฏิบัติระดับ ปฏิเวธ ถือเป็นพระอริยะได้แล้วอย่างน้อยก็พระโสดาบันแหละ
..........ก็ขอสรุปสิ่งที่เขียนถึงวันนี้คือ การรู้สัจจะของนักปฏิบัติธรรม หมายถึงอริยสัจ 4 ครับ ไม่ใช่สัจจะแบบชาวบ้านพูดกันทั่วไป ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค กระผมนำบาลี จากธัมมจักกัปปะวัตตนสูตรมาแสดงให้ดูแล้ว ปกติคนที่อ่านแล้วทราบความหมาย มีไม่น้อยหรอกครับ บวชเรียนมาบ้างก็เข้าใจได้ เลยไม่ลงคำแปลไว้ อ้อรู้อริยสัจมี 3 ระดับจริง ครับ ตรวจสอบให้ดีว่าบรรลุระดับไหนแล้ว จะได้บอกคนอื่นได้ถูกต้อง เดี๋ยวจะกลายเป็นพูดไม่จริงไป.....
สวัสดีครับ