วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ไปเยี่ยมบ้านเมืองเลย 1


การเดินทางไปเยี่ยมบ้าน 1


...................ผมจองตัวเที่ยวบินไป-กลับ ล่วงหน้ารวม 2 สัปดาห์ ในราคาที่แพงกว่ารถยนต์นิดหน่อย เห็นว่าเดินทางรวดเร็วดี จึงตกลงจะไปช่วงที่มีการลงประชามติ ได้ไปเยี่ยมบ้านด้วย ได้ไปใช้สิทธิ์ลง
ประชามติด้วย วันที่ 5 สิงหาคม 2559 ไปถึงสนามบินดอนเมืองพร้อมสายฝน ดีที่ตอนลงรถตู้โดยสารที่รังสิต ฝนยังไม่ลงเม็ดแค่มืดครึ้มเฉย ๆ พอขึ้นแทกซี่ก็เทลงมายังกะฟ้ารั่ว รอดตัวไปไม่ต้องเปียกฝน ถึงสนามบินเวลา 8.20 น. เคาน์เตอร์สายการบินเปิดอยู่จึงไปติดต่อขอรับบัตรโดยสาร เขาขอดูบัตรประจำตัวประชาชน ครู่เดียวก็ยื่นเอกสารการผ่านเข้าไปข้างในพร้อมบัตรแสดงเลขที่นั่งและเที่ยวบิน เลยถามเด็ก เขาว่าเสร็จแล้วเหรอ ทำไมง่ายจัง เธอบอกว่าเราได้รับข้อมูลการจองของพี่เรียบร้อย เพียงตรวจสอบบัตร
ประชาชนก็ออกเอกสารต่าง ๆให้ได้ มิน่าคนถึงชอบใช้บริการของสายการบิน การตรวจสัมภาระก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้โดยสารยังไม่มากนัก เสร็จแล้วก็เดินหาช่องทางหมายเลข 76 ที่จะไปขึ้นเครื่องบินไปเมืองเลย ต้องลงบันไดเลื่อนสามครั้ง ถึงมองเห็นเจ้าหน้าที่สายการบินประจำช่องต่าง ๆ 71-78 มีคนมานั่งรอขึ้นเครื่องยังไม่มาก รู้สึกหิวเลยเดินไปหาของรองท้องหน่อย ได้ซาลาเปา 2 ลูก น้ำมะนาว 1 แก้ว 120 บาท รู้สึกตกใจราคาทำไมแพงหูดับอย่างนี้ ถ้าทานอย่างอื่นคงแพงมาก ก็แพงจริง ๆ พวกขนมปัง 3 ชิ้นเล็ก ๆ 75 บาท เค้ก 80 บาท น้ำอย่างต่ำแบบที่เราสั่ง 55 บาท กินอิ่มแล้วแทบไม่อยากทิ้งกระดาษห่อซาละเป่า เสียดายมันราคาแพงไปนั่งรอเขาเรียกขึ้นเครื่องตั้งแต่ 8.45 น. ป้ายบอกจะเรียกขึ้นเครื่อง9.30 น. บิน 10.30 น. จนเลยเวลา 9.30 น. จะ 10.00 น.ก็ยังไม่ เรียก ฝนกำลังเทลงมาอย่างหนัก สงสัยเครื่องคงบินไม่ได้มั้ง ปีกมันเปียกเหมือนปีกนกนี่ เดินไปถามเจ้าหน้าที่ เขาหัวเราะบอก ตา รอก่อนนะ รถที่จะมารับไปส่งขึ้นเครื่องกำลังมา ฝนแค่นี้ นักบินเขาบินขึ้นได้ไม่ต้องกลัวค่ะ ไม่รู้สินะ รอก็รอ รอมานานแล้วนี่
..........เสียงเขาประกาศ ผู้โดยสารเที่ยวบินที่.......เชิญขึ้นเครื่องได้แล้ว เครื่องพร้อมออกเดินทาง กรุณาเตรียมบัตรที่นั่งและบัตรประชาชนแสดงตัวด้วยค่ะ ก็เห็นลุกพรึบกันแสดงว่าต่างก็จดจ่อจะไปเหมือนกัน ขนาดเรานั่งอยู่แถวหน้า ต้องต่อคิวท้าย ๆ เกือบปลายแถว ยายคนหนึ่งแกบ่น ฉันนั่งแถวแรกเลย ยังต้องมาต่อท้ายด้วย แย่เนาะตา หันมาชวนเราเป็นพวกอีก เลยต้องบอกทำใจครับยาย ต่อให้พวกมันไปก่อนเถอะ เครื่องลำเดียวกัน ถึงพร้อมกันนั่นแหละ ปล่อย ๆไป แกหัวเราะ บอกว่าเออจริงเนาะ ไปเที่ยวบินเดียวกัน ไปก่อนจะมีความหมายอะไร แน่ะเห็นไหม ไปนั่งรถโดยสารเองยังไม่ได้ขึ้นเครื่องซะหน่อย ตกลงเราขึ้นทีหลังยืนขอบประตู รถวิ่งวกวนตามอาคารต่าง ๆ สักสิบนาทีก็ถึง บันไดขึ้นเครื่อง เราต้องลงก่อนและเดินขึ้นเครื่องก่อน ยายแกหัวเราะหันมามองเราแบบว่า เห็นไหมฉันได้ขึ้นเครื่องก่อนพวกมัน เราแค่ยิ้ม ๆให้ที่เห็นแกดีใจ สาวแอร์ตรวจเอกสารแล้วชี้ให้ไปด้านโน้นค่ะ ก็ขำ ๆนะ ก็มีทางเดียวแหละ อีกทางก็ออกนอกเครื่องซิ เพราะเราขึ้นทางส่วนหัวนี่ ได้ที่นั่งแถว 9F ติดหน้าต่าง มีสองสาวนั่งติดแถวเดียวกัน
...........เครื่องรุ่นนี้จุสองร้อยที่นั่งเขาบอก เที่ยวนี้ไม่เต็มว่าง อยู่สิบกว่าที่นั่ง เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็มานั่งอ่านคำแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะเคยฟังบ่อย ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมัวแต่ไปดูว่า แอร์มันสวยไม่สวยไปโน่น ก็เพราะรู้ว่าคัดกันเหลือเกินนี่อยากเป็นสาวแอร์ต้องสวยต้องเก่ง ถ่ายรูปหน่อยเอาไว้อวดยายว่ามาเครื่องจริง ๆนะ สาวที่นั่งใกล้ๆ ถามไปลงไหนตา เราก็ขำนะเลยบอก ไม่แวะระหว่างทางหรอก ปลายทางที่เลยโน่นแหละ เธอหัวเราะใหญ่เลยบอกว่า เออจริงนะตา ไม่ใช่รถทัวร์นี่ จะได้จอดให้ลงระหว่างทางได้เวลา 10. 20 น. เครื่องกำลังแทกซี่ไปยังรันเวย์เตรียมบินขึ้นค่ะ สาวแอร์ที่ยืนเกาะเก้าอี้ใกล้ ๆ พวกเราบอก เออแปลกนะหนู เครื่องบินก็ใช้แทกซี่ด้วย สาวน้อยว่าตอนมันวิ่งบนพื้นสนามบินเรียกแทกซี่ค่ะ ไม่ใช่นั่งแทกซี่ อ้อเข้าใจ มองลอดหน้าต่างไปเห็นเครื่องบินมากมาย บ้างก็จอดอยู่ บางลำก็กำลังแทกซี่ ตามกันไป มีสองเครื่องอยู่ห่างไปข้างหน้า อีกเครื่องตามหลังมา ไม่นานสองเครื่องด้านหน้ามันเลี้ยวเข้าไปทางลาดยางขนาดใหญ่ ยาว ๆ นี่มั้งที่เขาเรียกรันเวย์ มันค่อย ๆวิ่งเร็วขึ้น ๆ แล้วก็ลอยขึ้นท้องฟ้าไป ไม่เห็นกับตาก็คงนึกว่าโกหก ใครจะเชื่อล่ะ เครื่องบินหนักหลายตัน คนสองร้อยนั่งอยู่มันพาบินขึ้นได้
..............ถึงตาเราเขาแนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยความปลอดภัยเสร็จนานแล้ว เสียงเตือนรัดเข็มขัดปรับเก้าอี้นั่งให้ตรง กัปตันจะนำเครื่องบินขึ้นแล้ว เสียดายมองไม่เห็นเลยไม่รู้มันบินขึ้นได้อย่างไร ได้แต่เอาใจช่วย ตอนมันวิ่งเร็ว ๆ ยังกะรถวิ่งทางลูกรัง สะเทือนทั้งลำ พอหลุดพิ้นสนามบินก็เบาโหวง อ้อมันขึ้นได้แล้ว มอง ไปทางหัวเครื่อง มันเจิด(เชิดหัว)ขึ้นเรื่อย ๆ ตึกรามบ้านช่องที่มองเห็นเล็กลง ๆ แล้วก็มืดเห็นแต่ฟองสีขาว ๆของก้อนเมฆ เครื่องเริ่มปรับระดับไม่เอียงแล้ว จนสาว ๆเขาออกมาบริการอาทารและขายสินค้าได้ เวลาชั่วโมงเดียว ยังไม่ทันหิวหรอก แค่ดูเฉย ๆวันนี้เมฆมากมองไม่เห็นอะไรเลย จนนึกสงสัยว่านักบินจะมองเห็นทางไหม แล้วเขาไปถูกเส้นทางได้อย่างไร ถ้าเป็นสมัยก่อนคงน่าอัศจรรย์ เดียวนี้กูเกิลเอิธ ทำให้เรามองหาหลังคาบ้านตัวเองได้ เลยไม่แปลกใจว่าแผนที่โลกที่นักบินใช้ จะต้องชัดเจนไม่แพ้ของเล่นกูเกิลเอิธ ไปตามแผนที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไวจริง ๆ ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ยินเสียงเตือนให้เตรียมตัว นักบินจะนำเครื่องลงที่ท่าอากาศยานเลย บินมาที่นี่สนามบินมาตรฐานอเมริกันเพราะเขาสร้างสำหรับเครื่องบิน บี 52 สมัยสงครามลาว ยังไม่ทันได้ใช้สงครามสงบก่อน เลยทิ้งสนามบินชั้นเยี่ยมเอาไว้ นักบินพาเครื่องวนรอบตัวเมืองเลย เมฆโล่งแล้วเลยเห็นถนนหนทางตึกรามบ้านช่องชัดเจน ป่าไม้เมืองเลยเขียวขจีไปหมด ภูเขาหัวโล้นหายไปเกือบหมด แสดงว่าชาวบ้านหันมาปลูกไม้ยืนต้นมากมากขึ้น ผืนป่ากลับมาให้ความร่มเย็นได้อีกครั้ง ทราบว่าเป็นพวกสวนสัก สวนยางพารา สวนมะขามหวาน สวนไม้โตเร็ว ไม้ยูคา ตะกู ไม้อะไรก็ดีทั้งนั้น เพราะป่าถูกทำลายมานานกว่าจะคืนสภาพสีเขียวได้ก็หลายสิบปี
.............ลงมาที่ห้องรับรองผู้โดยสาร รอคนมารับ สนามบินมีคนเยอะรอขึ้นเครื่อง มี 2 เที่ยวของสองสายการบิน ถามเจ้าหน้าที่ทราบว่าคนเกือบเต็มทุกเที่ยว เพราะค่าโดยสารถูกลง มีบริการรถรับส่งต่อไปยังต่างอำเภอสะดวกด้วย ด้านนอกมีโต๊ะรถเช่าขับเอง อ้อทันสมัยสมกับเป้็นเมืองท่องเที่ยว เมืองเลยเมืองเล็ก ๆ ถนนหนทาง ออกก็จำกัด การตรวจสอบควบคุมรถเช่า ทำได้ไม่ยากแล้ว นั่งรอสัก 10 นาที ครูนกก็โทรมาเชคให้ไปยืนรอนอกอาคาร จอดรับแล้ว ออกไปเลย เพราะรถมากหาที่จอดอยู่ไกล เรียบร้อยนกพาไปทานข้าวเที่ยงร้านเป็ดย่างบ้านขอนแดง เป็นร้านใหม่ก่อนไม่มี สั่งลาบเป็ด ต้มแซบเป็ด กบผัดสมุนไพรและส้มตำ ข้าวเหนียว อร่อยดีทุกรายการ มีกบมั้งเค็มนิดหน่อย กินกับน้ำอัดลมก็โอเคนะ อิ่มแล้วนกพาไปส่งที่บ้าน มีคุณนิกกี้กระดิกหางต้อนรับ ไม่เห็นกันนานยังจำได้อยู่ หมาความจำดีเหมือนกัน หลังจากนั้นก็หลับซิ ตื่นเช้าตี 4 มารถตู้เที่ยวตีห้าครึ่ง เลยง่วงอยากหลับ มาตื่นเอาบ่ายสามโมง ตั้งใจจะไปเดินดูตลาดสดบ้านติ้ว ที่เขาเรียกตลาดแลง

                                              - ----------ไปเที่ยวตลาดแลง เจอส้มโคะเคะ------------

........บ่ายสามโมงเศษ ผมเดินไปตลาดแลงตามที่ตั้งใจไว้ ห่างจากบ้านพักเพียงกิโลเมตรเดียว ก็เห็นตลาดพัฒนาไปมาก จากตลาดแบกะดินเมื่อปี 2520 ตอนนี้มีอาคารโรงเรือน มีการยกพื้นให้สูงสำหรับวางขายป็นระเบียบเรียบร้อยดี แม่ค้าหลายคนคุ้นหน้าจำได้ร้องทักทายถามไถ่สุขทุกข์ตามประสาคนไทเลยเจอกัน ตั้งใจเดินชมตลาดน่ะครับ เขียงหมูเขียงเนื้อ มีเจ้าเก่าเพียงเจ้าเดียว นอกนั้นแปลกหน้า เขาชวนซื้อเนื้อหมูได้แต่ยิ้ม ๆ ขอบคุณแล้วก็ผ่านไป ถัดมาเป็นแผงลอยขายเสื้อผ้า ยังเยอะอยู่เหมือนเดิม เลยไปอีกเป็นแม่ค้าขายกับข้าวสำเร็จรูป ทั้งอาหารไทย อาหารอีสาน ราคาไม่แพงนัก คนอุดหนุนค่อนข้างมาก สนใจอาหารพื้นบ้านหลายอย่าง เช่น ลาบปลาตอง ลาบเทา ส้มโคะเคะ ยำหัวทูน ลาบหมาน้อยแกงหมากมี้ อ่อมผักตบ เจอของชอบก็ต้องคุยกับคนขาย เจ้าประจำด้วยซื้อตั้งแต่สมัยเป็นสาวรุ่นช่วยแม่ขายกับข้าว ตอนนี้มีสามีเลยรับโอนกิจการแม่ มีกับข้าวอีสานสิบกว่าชนิด เด็กรับใช้เธอคือสามีนั่นเอง เก่งนะหนู ถามอะไรแก่ตอบได้ฉาดฉาน แสดงว่าทำเองไม่ใช่แม่ทำให้ ก็ดี ลุงจะได้ข้อมูลเขียนถึงเที่ยวชมตลาดได้หลายวันทีเดียว ชอบมาก
.....ถามถึงส้มโคะเคะก่อน ทำไมเรียกโคะเคะ เธอหัวเราะบอกว่าพ่อแม่พาเรียกอย่างนี้ ไม่รู้ความหมายหรอก เป็นอาหารประเภทหมักดอง รสเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆมัน ๆ แต่ไม่ใช่ผักดองเขาใช้หางวัว ข้อเท้างัวมาทำ ใส่กะละมัง น้ำส้มใส ๆ ชิ้นเอ็น หนัง หั่นพอคำ ลอยเต็ม มีใบหอมสด ผักแป้น หั่นโรยหน้าไว้ ตักขายถุงละ 30 บาท ชอบกินครับ เลยอุดหนุนมา 2 ถุง กินคนเดียว ลูกหลานกินไม่เป็น
.....ถามว่าได้จากไหน เขาสั่งจากโรงฆ่าสัตว์ หาง 3 ชิ้น ขาข้อ 4 อัน มากกว่านั้นทำไม่ทัน แฟนจะเผาไฟแรง ๆ ให้ไหม้ขนและหนัง ใช้มีดขูดไปเรื่อย เผาไปเรื่อย จนได้ที่ นำไปล้างให้สะอาด สับเป็นชิ้นเล็ก ๆใส่หม้อต้มตุ๋นให้เปื่อย จากนั้นถึงจะนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่กะละมังรอไว้ ปริมาณเนื้อหั่นแล้ว 1 กิโลกรัมใช้เกลือ 100 กรัม น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก กระเทียมแห้ง 3 หัว กระเทียมดอง 2 หัว น้ำกระเทียมดอง 1 ถ้วยตวง ข้าวเหนียวนึ่งสุก 1 ก้อนเท่ามะนาว..ผสมน้ำกระเทียมดอง เกลือ กระเทียมแห้งและกระเทียมดอง ใส่ครกโขลกให้แตก ใส่ลงไป ชืมออกรสเค็มนิดหน่อย ในเนื้อลงไปพอขลุกคลิก เติมน้ำมะพร้าวพอท่วมเนื้อ ข้าวสุกตักใส่ขวด โหลทั้งไว้ 2 วัน ก็จะออกรสเปรี้ยว หอม พร้อมรับประทาน ก่อนรับประทานปรุงรสนิดหน่อย อาจต้องเติม น้ำส้ม ชูรส เกลือ และใบหอม สด ใบผักแป้น อร่อยมากครับ เคี้ยวกรุบ ๆ น้ำเปรี้ยวหน่อย ๆยังกะกะเทียมดอง น้ำมะพร้าวคือตัวเร่งให้เปรี้ยวไวแถมหอมหวาน ด้วย อย่าลืมครับ ไปทางเมืองเลย แวะตลาดสด เดี๋ยวนี้มีขายทั่วไปแล้ว ถามหาดู รับรองติดใจแน่
-------------------
ปล. ขอบคุณภาพจากกูเกิล

           จบเรื่องส้มโคะเคะ ก็เป็น แกงบอน .......เห็นแล้วก็อยากกินแกงบอน  เจอเป็นซื้อหรือหามาทำเองนึกถึงตอน...ไปเที่ยวปราจีนบุรีผ่านตลาดสดใกล้ศาลสมเด็จพระนเรศวร เลยจอดรถแวะไปชมกัน แม่ค้าเยอะ เผื่อจะมีของที่ชอบ ผักพื้นบ้านมีเยอะมาก มะระ ตำลึง ผักกะโดน ผักแพว ขี้เหล็ก ฯลฯ เจอบอนหวาน มีขายทั้งต้นและไหล แม่ค้าบอกไหลอร่อยกว่าต้น เลยซื้อมาทั้งสองอย่าง กำละ 15 บาทเอง ซื้ออย่าง ละ 2 กำ ได้ใบย่านางกำละ 5 บาท ถูกดี มีปลาหมอย่างไม้ละ 20 บาท ใช้แทนปลาย่างแบบแห้ง อยากได้ หนังวัว แต่ยายไม่กินเลยเอาหนังหมูแทน แมงลัก ชีลาว ถูก ๆ ทั้งนั้น ไปบ้านได้กินแกงบอนแน่
.........เตรียมบอน บอนต้นสีม่วง ๆ เป็นบอนหวานแบบต้นใหญ่ มัดเดียวแกงเต็มหม้อ บอนหวานที่เคยแกง
มี 2 แบบ แบบหนึ่งลำต้นสีเขียว อีกแบบลำต้นสีม่วง ส่วนที่ลำต้นสีเขียวออกขาว ๆ นั่นบอนเลี้ยงหมู คัน
มาก ไม่เคยเอามาแกง ขนาดบอนหวาน ก็ต้องต้มให้จืดก่อน ค่อยนำไปแกง บอนที่ซื้อมาถึงบ้านก็นำมา
ลอกเปลือกออก หั่นเป็นท่อน ๆ ล้างสะอาดแล้วนำไปนึ่งให้เปื่อย เสร็จแล้วใส่กะละมังรอไว้ ตอนนี้จะชิม
ดูก็ได้ รับรองไม่มีคัน เพราะเป็นบอนหวาน จากนั้นก็ไปเตรียมพริกแกงบอน ผมใช้พริกแกงส้ม
สองช้อนมาเติมหอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ข่า 3 แว่น ตะไคร้หั่น 2 หัว กะปิ ช้อนชาเดียว
โขลกละเอียดดีแล้วแกะเนื้อปลาหมอใส่ลงไปตำให้ละเอียด นี่คือพริกแกงบอน ส่วนหนังหมูต้มสุก
แล้วหั่นเอาซักถ้วยตวงเล็ก ๆ (ถ้วยน้ำพริก)
.........เตรียมน้ำใบย่านาง เด็ดเอาแต่ใบล้างสะอาดดีแล้วกรรไกรหนีบก่อนลงเครื่องปั่น สะดวกกว่าคั้นด้วยมือ เติมน้ำหน่อยปั่นให้ละเอียด คั้นเอาน้ำสีเขียวได้ซักถ้วยใหญ่ ๆ เอาไปทำน้ำแกง คั้นเสร็จใส่หม้อแกง
ตั้งไฟได้เลย กระบวนการทำแกงเริ่มแล้ว น้ำเริ่มเดือดใส่พริกแกงลงก่อนคนให้ทั่ว น้ำมะขามเปียก ซัก 2 ช้อน เกลือช้อนเดียว น้ำปลาร้า 2 ทัพพี น้ำย่านางสุกแล้วเติมบอนลงไป เติมหนังหมูหั่นลง คนให้ทั่ว และเติมผักแต่งกลิ่น ใบหอมสด ผักชีลาว ใบแมงลัก อันไหนไม่ชอบเว้นข้ามไป แต่ผม ชอบหมด เสร็จก็ชิมและปรุงรส ชอบเปรี้ยวเติมน้ำมะขาม ชอบชูรสก็เติมเอาเอง แกงบอนสูตร พิเศษ พร้อมบริการ อร่อยมากครับ อยากรู้ขนาดไหน ต้องหามาแกงลองดู แกงผักหวาน เป็นสามัญทั่วไปแล้วสมัยนี้ เพราะมีผักหวานขายกันทั่วไป เมื่อก่อนอยากกินแกง แกงผักหวาน ผักหวานต้องรอหน้ามีนา-เมษา เข้าป่าเก็บผักหวานกัน แรก เห็นพวกผู้ชายไปเก็บผักหวานก็นึก ตำหนิในใจว่า พวกนี้ไปยุ่งทำไม ผักหวานผู้หญิงเขาเก็บเองได้ แต่พอเราโตถึงเข้าใจว่ามันมีอะไร มากกว่าที่เราเห็น ใครจะรู้ล่ะครับว่าผู้ช่ายไปเก็บผักหวาน ไม่ค่อยได้แกงหรอก มันยกให้สาว ๆหมด เก็บผักหวาน มักจะมีไข่มดแดงมีช่วงเวลาเดียวกัน กลับมาบ้านเลยมีทั้งผักหวานและไข่มดแดง แกง ผักหวานเลยต้องมีไข่มดแดงปนลงไปด้วย และก็ทำให้แกงอร่อยมากด้วย
........ผักหวานเด็ดเอาแต่ใบและยอดอ่อน ซัก 2 ถ้วย ไข่มดแดง 1 ถ้วยตวง เห็ดบด 1 ถ้วยตวง ใช้เห็ดขอนขาว เห็ดฟาง แทนก็ได้ มะเขือเปราะ ผ่าซีก 1 ถ้วยตวง จากนั้นก็ผัก ใช้ใบหอมสด 2 ต้น ชีลาว 1 ต้น ชะอม 3 ยอด แมงลัก กำหนึ่ง เด็ดใส่จานไว้ แล้วไปตำเครื่องแกง .........พริกแห้ง 3 เม็ด หอมแดง 3 หัว กระเทียม 3 กลีบ ข่า 3 ฝาน เนื้อปลาทูนึ่ง 1 ตัว กระปิ 1 ช้อนชา ตะไคร้ หั่นฝอย 1 ต้น ทั้งหมดใส่ครกโคลกทำเป็นพริกแกง .........พร้อมแล้วลงมือ ตั้งหม้อแกงใส่น้ำสะอาดซัก 1 ถ้วย ตามด้วยพริกแกง คนให้ทั่ว เติมน้ำปลาร้า 3 ทัพพี ปล่อยให้น้ำเดือดใส่ ไข่มดแดงลงก่อนตามด้วยมะเขือ เห็ดและผักหวานตามลำดับ ปล่อยไว้ ซักครู ชิมก่อนก็ได้ เผื่อต้องเติมรสเค็ม แล้วก็เติมผักแต่งกลิ่น คนให้ทั่วแล้วหยุดไฟ ชิมแต่งรสด้วย น้ำปลาผงชูรส ...........สูตรนี้ไม่ได้ใช้ข้าวเบือ ถ้าชอบก็ใส่ได้ อร่อยไม่ต่างกันมากนัก ผมชอบแบบน้ำใสซดอร่อยดี
-------------------
                                                                      แกงหมากมี้
---------------------
.............หม้อโน้นแกงหมากมี้  น่ากินเหมือนกันนะแม่ค้า วันนี้ใช้กระดูกอ่อนหมู แบบที่ลุงชอบเลย ลุง
แกงกินบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส แม่ค้าถามว่าโอกาสไหนเหรอ อ๋อโอกาสหาหมากมี้อ่อนได้ไง มันหายากนะ
หมากมี้ แถวภาคกลางถามหาไม่มีหรอก มีแต่หมากขนุน ต้องไปทางอีสานหรือข้ามไปเวียงจันทร์โน่น หมากมี้มีเยอะแยะ  แกงหมากมี้ ตลาดสดมีขายตั้งแต่ลูกอ่อนที่เรียก "หำหมากมี้" ไปจนถึงลูกสุก ๆ หอมหวาน คนไทยไปเห็นมีปัญหา  อีกและ "ไม่เห็นมีหมากมี้ มีแต่หมากขนุน" ก็อันเดียวกันนั่นแหละ ภาษาถิ่นใครถิ่นมัน อย่ามาถามนะ  ว่าทำไมลูกอ่อนมันเรียก"หำหมากมี้" อยากรู้ก็เรียกคุณตามายืนสองขา ก้มมองลอดหว่างขาดู แบบเขาดูผีตอนเผาศพนั่นไง ถึงบางอ้อแน่ ว่าเพราะแบบนั้นแหละ
.......หมากมี้ที่เอามาแกง ลูกโตแล้ว ขนาดสองลูกหนักกิโลกรัมได้ เขาเด็ดออก เพราะมันดกเกินไป
แย่งอาหารกัน ลูกจะไม่โต ปล่อยให้มันโตพอแกงได้ก็เด็ดออกมาทำเป็นผักแก หรือทำซุบ อร่อยทั้ง
สองแบบครับ ถ้าจะแกง ต้องปอกเปลือกออกแล้วสับบาง ๆ ได้ซัก 2-3 ถ้วย กำลังดี ล้างให้สะอาด
ใส่กะละมังรอไว้ทำแกง
.......แกงหมากมี้ต้องใส่ของมีที่รสเปรี้ยว มะขามเปียก 2 ฝัก แต่บ้านผมมียอดส้มป่อยริมรั้ว เด็ดเอากำ
เดียวใส่แกงได้พอดี ยอดผักติ้วผักแต้ว ยอดส้มโมงหรือชะมวง ส้มแขก ใช้ได้ทั้งนั้นครับ แต่ต้องการรส
เปรี้ยวเอาไว้ชนกับรสฝากของขนุน แกงต้องการโปรตีนครับ จะใช้เนื้อหมูแดง หมูสามชั้น กระดูกอ่อน
หมู ใช้ได้ เนือวัวต้องย่างให้สุกก่อนถึงจะอร่อย  ปลาสดปลาย่าง ใช้ได้ทั้งนั้น หมากมี้นี่เอามาแกงสาระพัดจริง ๆ  เมนูที่เขาทำขายทำวันนี้ใช้ กระดูกซี่โครงหมู  สับแล้วเอามาถ้วยเดียว อัตราส่วน 1 ต่อ 3 กับหมากมี้ พอดี  ลุยหาชี้นกระดูกไม่ยากนัก
.......พริกแกงหมากมี้ ใช้พริกแกงส้มแบบไม่เผ็ดก็ได้ เติมหอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ตะไคร้ 1 หัว
ข่า 3 ฝาน กระปิ 1 ช้อนชา เนื้อปลาทูไม่ต้องใช้ โขลกให้ละเอียดใส่ถ้อยรอไว้ ผักแต่งกลิ่น หอมสด
1 ต้น ชีหอม 1 ต้น ใบมะกรูด 2 ใบ แมงลัก 1 กำ พร้อมแล้วตั้งหม้อแกง จนน้ำเดือดค่อยใส่กระดูกหมู
ลงก่อน เจ้านี่สุกยากกว่าเขา รอกระดูกสุกค่อยใส่พริกแกง ตามด้วยหมากมี้สับลงไป ยอดส้มป่อยมัดให้
แน่นกดให้จมน้ำแกง เติมน้ำปลาร้า 2-3 ช้อน ปล่อยให้เดือดจนสุก ใส่ผักแต่งกลิ่น ดับไฟ ชิมและปรุงรส
แล้วจะแปลกใจว่า ทำไมมันอร่อยดีเนาะ แกงหมากมี้อ่อน
.......ขออนุญาตโดนพาดพิง ซุบหมากมี้ จะหั่นหมากมี้เป็นแว่น ๆ หนาซัก 2 เซ็นต์ เอาไปต้มให้เปื่อย
ก่อนจึงจะเอามาทำซุบ เปื่อยแล้วค่อยปอกเปลือกหนาม ๆ และแกนในออก เอาแต่เนื้อมาทำซุบ ก็ประมาณ 2 ถ้วย กำลังดี ซุบต้องใช้ป่นปลาเป็นตัวช่วย ดังนั้นจึงมีอีกหม้อต้มปลาป่น ปลาหมอ ปลาดุก ปลาข่อน หรือกบ ตามแต่จะหาได้ ความอร่อยก็ตามลำดับ สุด ๆต้องปลาหมอ แล้วก็รอง ๆ กันไป ป่นปลาใช้พริกแห้ง 5 เม็ดย่างไฟให้กรอบใส่ครกบดให้แหลกไปก่อน หอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ข่า 3 ฝาน เผาไฟสุกดี แล้วตำให้แหลกผสมพริกที่ตำก่อนแล้ว ตามด้วยเนื้อปลา ตำแหลกดีแล้ว ใส่เนื้อหมากมี้ ตำให้แหลก น้ำปลาร้าใช้น้ำต้มปลา เติมปลาร้าใหม่ถ้ามันจืด ค่อยเทราดครกที่กำลังตำอยู่ หมดซักครึ่งถ้วย ซุบเริ่ม จะเหลวแล้ว ใส่ข้าวคั่ว หรืองาคั่ว ตกลงกันก่อน เมียจะเอางา ผัวจะเอาข้าวคั่ว แบบนี้ต้องแบ่งครึ่งก่อน ครกหนึ่งใส่งาคั่ว อีกครกใส่ข้าวคั่ว แบบนี้ถูกใจทุกคน อ้ออย่าลืมใส่ผักแต่งก่อน หอมสม ชีหอม ชีฝรั่ง หันโรยไปตำไป ชิมรสปรุงแต่งเอา สุดท้าย ใบสะระแหน่ โรยซะหน่อยจะได้ดูสวยน่ากิน
........กินซุบหมากมี้ต้องหาผักกับเยอกะ ๆ ถึงจะอร่อย 
---------------------
                                                     แกงอ่อมเครื่องในไก่
....................แกงอ่อมเครื่องในไก่ ของโปรดลุงเลยนะนั่น  เอาไหมวันนี้ลุง แม่ค้าถาม  ยังหรอก เครื่องใน
แบบมีไข่นี่เอามาจากไหน แม่ค้าบอกได้จากตลาดเช้า พวกเชือดไก่ขาย สั่งเขาไว้ ได้วันละ 3-5 กิโลกรัม
เอามาทำแกงได้หม้อหนึ่ง ขายดีมาก  คนอีสาน ชอบกินเครื่องไน เป็ด ไก่ หมู วัว ควาย แม้แต่รกก็ไม่ทิ้ง รกเป็ดไก่ก็คือ หมากพวงไข่ รกวัวควาย แกงอ่อมเครื่องในไก่ ที่เขาเรีกน้องวัวน้องควายนั่นแหละ แต่รกหมูไม่เห็นเอามากินกัน เครื่องในไก่เขาจะล้างทำความสะอาด อย่างดี กึ๋น แหกเอาเศษอาหารออกทิ้ง ลอกเยื่อบุออกทิ้ง เด็ดพวงดีที่มันขมทิ้ง ใช้มีดปลายแหลมคม ๆ แหกก่อนล้างง่าย จากนั้นก็ เอาไปทำอาหารกินกัน ก่อนทำแกงอ่อม ขอเล่าแถมนิดหน่อย
............ใส้ไก่ เขานิยมเอามาม้วนพันขาไก่ 2 ขาเอง เอาไปย่างพร้อมกับตับและกึ๋น ได้ 1 ไม้พอดี ย่างสุก
แล้วหอมมาก ๆ เอาไว้ป้อนลูกนะครับ เพราะมันอร่อยมาก เด็ก ๆที่กินข้าวยาก ๆ เจอเครื่องในไก่ กินง่ายมาก
............ถ้ามันมีมาก ฆ่าไก่เลี้ยงแขกมาช่วยเกี่ยวข้าว ช่วยนวดข้าว ฯลฯ เครื่องไนไก่หลายตัว ก็มีปริมาณ
มากพอเอามาทำแกงได้ อุปกรณ์ทำแกง เช่น มะเขือเปราะ ผักคาด ยอดพริกอ่อน ผักชีลาว หอมสด แมงลัก ใบมะกรูด ข้าวเบือ น้ำปลาร้า พริกแกง ตำเองแล้วกัน ใช้พริกแห้ง 5 เม็ด หอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว ตะไคร้หั่นฝอย 1 หัว ข่า 3 ฝาน กระปิ 1 ช้อนชา ตำละเอียดใช้เป็นพริกแกง
...........ตั้งหม้อแกงใส่น้ำแก้วเดียว จะคั่วเครื่องในกับพริกแกงก่อน ใส่มะเขือเปราะลงไปด้วย เติมน้ำ
ปลาร้า ลงคนให้ทั่ว ฝาหม้อครอบปิดไว้ ให้เดือดอบสักครู่ มะเขือสุก ใช้ได้ เติมข้าวเบือ ผัก ลงไป ได้แก่ ผักคาด ยอดพริกอ่อน ใบหอมสด คนสักครูผักยุบ เติมผักแต่งกลิ่น หอมสด ผักชีลาว แมงลัก ผิดไฟ ชิมและปรุงรส ได้แกงอ่อมเครื่องในไก่ที่หอมอร่อย ข้าวเหนียวนึ่งใหม่ ๆ อร่อยมาก ลองดูนะครับ เครื่องในไก่เดี๋ยวนี้หาง่าย ไปแมคโครมันขายเป็นถุง ๆ เคยได้ซื้อมาทำกินบ่อยมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น