วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ชีวิตลูกชาวนาอย่างผม



.......ผมเกิดทันสงครามโลกครั้งที่สอง นะ (2487) สองปีถัดมาถึงสงบศึกกัน เกิดที่บ้าน แก ตำบล

กมลาไสย อำเภอกมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์ พ่อเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แม่เป็นแม่บ้าน เป็นลูกคน
ที่เจ็ด คนสุดท้อง ห่างจาก พี่ชายห้าปี นับเป็นลูกแหง่ของครอบครัว แม่บอกมึงเป็นลูกหลงเลยเป็น
ลูกติดแม่ กินนมแม่จนอยู่ ชั้น ป.หนึ่งถึงหย่านม เพราะครูบุญชู เพื่อนพ่อ แกมาบ้านชี้หน้าด่าเอาว่า
โตแล้วยังกินนมอยู่ ก็นาน กว่าจะหย่านมได้ 
........โตขึ้นผมเป็นเด็กขยัน ตั้งใจเรียน อ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ 5 ขวบ พวกพี่ ๆเขาอยากเป็นครู
จับผมมาสอนอ่านเขียนให้ พ่อแม่หัวเราะปล่อยให้เล่นกัน แต่ผมชอบอ่านเขียน เลยอ่านได้เขียน

ได้ ครู ป. 1 เพื่อนพ่อแวะมาเยี่ยมเพราะที่บ้านขายเหล้าขาว มาเห็นเราเล่นสอนนักเรียนกัน ชอบใจ
แนะให้นำผมไปฝากเรียนก่อนเกณฑ์ พอเข้าเรียน...ก็ได้เป็นหัวหน้าห้อง เพราะอ่านได้เขียนได้ก่อน

คนอื่น ครูให้พาเพื่อนอ่าน เขียน ตามคำสั่งครู ปล่อยให้ครูนอนพัก เล่นแบบนี้แทบทุกวัน เลยกลาย
เป็นคน อ่านคล่องเขียนคล่อง สอบได้ที่ 1 ตลอดทุกเทอมจนจบประถม พ่อแม่ดีใจเสียเหล้าขาวให้
ครูบ่อย ๆ มาบ้านก็อวด ลูกมึงมันเก่ง สอบได้ที่หนึ่งอีกแล้ว....1 ขวด รางวัลแจ้งข่าวดี บ้านเราขาย
เหล้าขาวสี่สิบดีกรี... พ่อแกเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เวลาประชุมทีแกก็เอาไปอวดชาวบ้านจนเขารู้กัน
ทุกบ้าน มาทราบทีหลังว่าพ่อ แกดีใจมากที่ลูกเรียนเก่ง ส่วนแม่ไม่ค่อยพูด แต่เก็บของกินไว้ให้เสมอ
 เช้า ๆ ตื่นมาแก่ยื่นให้ ข้าวเหนียวปั้นหนึ่งและกับข้าวชิ้นหนึ่ง เช่น ปลาแส้ เนื้อแดดเดียว ส้มเก้ง กวาง
 ลุงพี่เขยแม่ไปดงได้มาฝาก แม่เก็บไว้ให้ลูกชาย เรื่องทำให้พ่อแม่ดีใจเรื่องเรียนเก่งนี่ มีตลอดมา 
ประถม มัธยม แถมตอนบวช สอบได้นักธรรมตรี โท เอก ปธ. 1-2 ปธ.3 ปธ.4 พ่อแม่ก็ปลื้มไม่จบ จน
เขายกตำแหน่งมัคทายก ให้พ่อ แม่ก็กลายเป็นโยมแม่มหา ดีใจหลาย ดีใจแบบนี้คงอยู่ในใจพ่อแม่
นานกว่าของขวัญธรรมดา 
.......ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพราะไปเรียนอยู่ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด  แต่สิ่งที่ผมปฏิบัติ เป็นการตอบ
แทนคุณพ่อแม่ที่เหมาะสม มีคุณค่า ผมปฏิบัติตนเป็นเด็กดีทั้งเรียนดี ประพฤติดี เคยได้รับรางวัล
เรียนดีอันดับหนึ่งของอำเภอ มีสิทธิ์รับทุนเรียนมัธยมหกปี แต่ปฏิเสธไม่รับ เพราะครอบครัวอพยพ
จาก กมลาไสย กาฬสินธุ์ ไปอยู่ที่ โนนสัง อุดรธานี ก็ตามครอบครัวไป ยังดีที่พ่อส่งให้เรียนต่อมัธยม 
ต้น..ไปเรียนที่อำเภอโนนสัง ม.ปลายไปเรียนที่ชัยภูมิ จบปีการศึกษา 2503 แต่เป็นเดือนมีนาคม
 2504 อายุ ๑๖ ปี บริบูรณ์ ต้อง รออีก ๒ ปี ถึงจะมีสิทธิ์สอบเข้ารับราชการได้ เรียนต่อก็ไม่ได้พ่อ
บอกส่งไม่ไหว เพราะท่านก็ชราภาพ มากแล้ว เลยถึงเวลาต้องเตะฝุ่นอยู่ที่บ้านถึง 7 ปี 
.......7 ปีที่อยู่บ้าน ถือว่าจบ ม. 6 แต่ตกงาน เดิมคิดว่าอายุครบ ๑๘ จะไปสอบงานราชการได้
เพราะเรียนจบ ม.ปลายเกษตรกรรม เพื่อนไปสอบบรรจุเกษตรตำบลกันถ้วนหน้า เราอายุไม่ถึง
พออายุถึงเขาเลิกรับ ม. 6 ขยับไปรับระดับสูงกว่า เลยหมดโอกาส แต่ไม่ได้ท้อแท้นะ เพราะทำ
ให้หันมาสนใจวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ลูกผู้ชายต้องเรียนรู้กิจกรรมการงานหลายอย่าง เพราะต่อไป
ต้องมีครอบครัว ต้องสร้างบ้านเรือนเป็น ต้องทำเครื่องใช้จำเป็นสำหรับครัวเรือนได้เอง เพราะจะ
ซื้อก็ไม่มีขาย เลยต้องฝึกงานต่าง ๆมากมาย
........งานใหญ่ สร้างบ้านเรือน ...ปี 2504 วิถีชาวบ้าน ลูกเขยมักมีภาระคือสร้างเรือนอยู่เอง ถ้าทำ
ไม่เป็นก็อาศัยพ่อตาแม่ยายอยู่ ก็ลำบากหน่อย บางคนพ่อตาให้ทำ "ตูบต่อเล้า" แบบเพิงหมาแหงน
เชื่อมต่อยุ้งฉางอยู่กันผัวเมีย ถ้ามีฝีมือทำบ้านเรือนเป็นก็สบาย พ่อแม่จะแบ่งที่ดินให้ ไปสร้างบ้าน
อยู่เอง แบบนี้ก็สบายหน่อย สิ่งที่ต้องฝึกได้แก่ การถากเสาเรือน เสาหกเหลี่ยม หรือแปดเหลี่ยม
ไม้เต็ง รัง ในป่าหัวไร่ปลายนา มีพอให้เลือกมาทำเสาได้ ไม้ต้นใหญ่ ๆ ที่โรงเลื่อยเขาตัดโค่นลง
เหลือท่อนสั้น ๆ ห้าศอก หกศอก ชวนกันไปเลื่อยแปรรูปมาทำไม้พื้นบ้าง ไม้เครื่องบนบ้าง ฝาบ้าน
ใช้ไม้ไผ่สับทำไม้ฟาก ปูพื้นได้ด้วย หลังคาใช้หญ้าแฝก หญ้าคา เก็บเกี่ยวมาไว้แล้วกรองเป็นตับ
ไว้มุงหลังคา...กระผมฝึกจนทำได้ทุกอย่าง เก่งด้วย เหลือให้พ่อแกขายได้เงินแม่รับไป เพราะ
ไม่ค่อยได้ใช้เงินกัน บ้านหลังแรกที่สร้างด้วยฝีมือ คือกระท่อมนา เสาหกต้น เพื่อนสองคนนาติดกัน
ช่วยกันเลื่อยไม้แปรรูปมาทำเครื่องบน ทำไม้พื้น ภูมิใจมาก รับรองถ้าแต่งงานทำบ้านอยู่เองได้ แค่นี้
ใครเขาก็ไม่รังเกียจที่ไปจีบลูกสาวเขา เพิ่งทราบตอนหลังว่าคนแก่...เขามองเด็กหนุ่ม ๆอย่างไร
.........งานฝีมือที่ต้องทำได้ คือเครื่องใช้จำเป็นในครัวเรือน เขาจะสอนเรื่องง่าย ๆ ก่อน ได้แก่
สานพัด เป็นงานทดสอบฝีมือการจักตอกและสานลายสอง เก่งแล้วก็ขยับไปสานมวย สานหวด
ต่อไปก็ตะกร้า ครุ กระบุง กระเช้า กระด้ง กระจ่อ ลอบ ไซ ฝาเผียก (คล้ายเสื่อลำแพน ทำด้วย
ตอกไม้ไผ่อย่างแข็ง ถักด้วยเครือไม้ กว้างแค่สะเอว แค่อก แค่คอ ความยาวไม่จำกัด ยาวสักเมตร
สำหรับทำต้อน ยาวสองเมตรขึ้น สำหรับล้อมซุ้มจับปลา) งานไม้ไผ่ก็จะมีประมาณนี้
.........งานไม้...ทำเครื่องมือทำนา ไถ ทำด้วยไม้ มีเหล็กชิ้นเดียวคือ ผาน นอกนั้นต้องทำเอง เคย
ไปขุดตอไม้ประดู่ ไม้มะค่า เขาตัดต้นไปแปรรูปเหลือตอสูงแค่เอว เราไปพบดูรากมันโค้งงอดูดี
ดัดแปลงเป็นหางไถได้ซัก สาม ราก ก็คุ้ม จอบขุดไปรอบ ๆ ตัดปลายราก และรากแก้ว ผลักล้มลง
ขวานสับเป็นร่อง ๆ จนแยกจากกันเป็นรูปทรงหางไถ ถากอีกครั้งจนเบาพอแบกขนไปได้ เข้าป่า
สองสามวันได้ห้าหกชิ้นก็คุ้ม วันหลังก็ขับล้อเกวียนมาบรรทุกกลับบ้านไป พวกคราด ก็ต้องทำเอง
ถ้าผ่านงานฝีมือพวกนี้ไป ก็ใช้ได้ ไปขอลูกสาวบ้านไหนเขาก็ไม่รังเกียจ
........งานทำนา อันนี้ต้องฝึกให้ชำนาญ พ่อแม่จะสอนเราตั้งแต่การฟันดินทำคันนา สำหรับนาที่บุก
เบิกใหม่(ซ่าวนา) การซ่อมเสริมคันนา ก่อนเริ่มหน้าฝน คันนาจะชำรุดมากมาย โดยเฉพาะนาใกล้
หมู่บ้าน วัวควายออกหากินเหยี่ยบย่ำทุกวัน เริ่มหน้าฝนต้องซ่อม จอบต้องเตรียมให้ดี ผมชอบจอบ
เก่า ๆ มันเบาดี ด้ามทำด้วยแขนงไม้ประดู่ เตรียมไว้ห้าหกด้าม หัก ชำรุด มีเปลี่ยนไม่เสียเวลา
ซ่อมคันนาเลือกช่วงฝนตกดินไม่แข็ง ทำง่าย บางจุดน้ำเซาะขาดงานหนักหน่อย ปกติซ่อมคันนา
สองสามวันก็เสร็จ เว้นแต่นาติดลำห้วย น้ำแรง คันนาขาดเป็นช่องใหญ่ ซ่อมนานหน่อย พอฝนตก
เดือนหก เดือนเจ็ด ก็เริ่มไถฮุด(ไถดะ) เพื่อกลบหญ้าและขุดดินให้ร่วน พอฝนตกบ่อย ๆ ก็กักน้ำ
ให้ท่วมหญ้า และเตรียมเพาะกล้า เรียก ตกกล้า นาเราสิบกว่าไร่ ใช้พันธุ์ข้าว 5 ถัง พ่อมัดฟางทำ
เป็นห่อข้าวเปลือก สามารถนำไปแช่น้ำคืนหนึ่ง แล้วนำมาหมักไว้ให้รากงอกพอเป็นตุ่มเล็ก ๆ ค่อย
หว่านลงแปลงนาที่เรียก "ตากล้า" แปลงตากล้าต้องเตรียมดินอย่างดีมีน้ำพอเป็นโคลน หว่านข้าว
เสร็จก็ระบายน้ำออก รอให้ข้าวงอกสัก สามสี่นิ้ว ค่อยทดน้ำเข้ามาหล่อเหลี้ยง จนกว่าจะพอถอน
ไปปักดำ
.........ดำนา บ้านเราทำนาดำ มิใช่นาหว่าน ถ้ามีน้ำการดำนาก็สะดวก แปลงนาเราไถดะไปแล้ว
ช่วงเดือนหกเดือนเจ็ดเข้าเดือนแปดก็ปักดำ เตรียมดินด้วยการไถแปร คราดเก็บหญ้าออก เกลี่ย
ดินให้ราบเรียบ ก็ปักดำได้ ถ้าดินมีน้ำคราดเสร็จก็จะเป็นโคลนตม จิ้มต้นกล้าลงดินก็ง่าย มือซ้ายอุ้ม
มัดกล้าให้แน่น มือขวาหยิบต้นกล้า 3-5 ต้นจากมัดกล้า ดึงออกมาแล้วจิ้มลงดิน เราจะเริ่มที่คันนา
หันหลังให้ตะวัน แดดจะได้ไม่ส่องหน้า ยืนสองขาแยกกันมั่นไว้ ก้มลงปักกล้าลงเป็นแถวพองาม
ถอยหลังไปเรื่อยจนสุดคันนาอีกด้านแล้วย้อนกลับ วนไปวนมาจนเสร็จ บ้านเรามีคนงานสามคน
ผม พี่สาวและลูกของพี่สาว แต่หลานติดเลี้ยงควาย ช่วยดำนาได้เฉพาะตอนเช้า ๆ ทานข้าวเช้า
เสร็จก็ต้องต้อนควายไปเลี้ยง เหลือคนงานสองคน ดำนาแปลงที่เตรียมไว้เสร็จก็เลยเที่ยง ได้เวลา
ทานข้าวกลางวัน พี่สาวแกเดินลงไปกลางนา กลับมาแกทำแกงอ่อมกบเขียดกินกลางวันกัน แกไป

งม กบเขียดเก่งมาก เขียดโม้ได้มาห้าหกตัว แกทำแกงอ่อมได้ ผักจากสวนครัวใส่แกงได้พอดี เลยมี 
กับข้าวเที่ยวอร่อย ๆ ทุกวัน อ้อ ส้มตำขาดไม่ได้ ต้องปลูกไว้จอมปลวกข้างกระท่อมนานั่นแหละ
ดกดีด้วย
...........ดำนาเสร็จก็ช่วงเข้าพรรษา ไปดูทุกเช้า ศัตรูสำคัญคือ ปูนา ปักดำใหม่ ๆ ระบายน้ำออก
มีน้ำขังปูก็มากัดต้นข้าวกิน เสียเวลาซ่อม รอต้นข้างตั้งตัวได้ก่อน ค่อยทดน้ำขังให้ จากนั้นก็ดูแล
มิให้หญ้าหรือวัชพืชขึ้น จะทำให้ต้นข้าวไม่งาม พอข้าวตั้งต้นได้ก็หว่านปุ๋ยให้บ้าง จะได้เขียวงามดี
ทุ่งนาจะสวยงามมาก กบเขียดก็เยอะเป็นช่วงเวลากบรุ่นใหม่ตัวโตเท่าเขียดโม้ตัวใหญ่ ๆ แต่จับง่าย
เดินไปตามคันนาจะได้ยินเสียงโดดลงน้ำ ย่องตามไปหลบอยู่ใต้ใบไม้บ้าง โคนกอข้าวบ้าง ผมชอบ
งมจับเอามาให้พี่สาว แกทำปิ้งกบ ต้มส้มหรือ แกงอ่อม ชีวิตชาวนาเราก็จะเป็นแบบนี้ทุกปี
........ช่วงออกพรรษาเดือนสิบเอ็ด ข้าวเบาจะเริ่มเต็มเม็ด เด็ดไปทำข้าวเม่าได้.พี่สาวเลือกเด็ด
ข้าวไปทำข้าวเม่า เอามารูดเมล็ดข้าวใส่กระด้งได้ข้าวเปลือกสีเขียว ๆมากมาย เอาไปคั่วในหม้อ
ดินก็คือตุ่มน้ำนั่นแหละ ไม่มีกระทะนี่นา คั่วสุกดีแล้ว แกะเปลือกดูเนื้อในจะเป็นเม็ดข้าวสีเขียว ๆ
ต้องเอาไปใส่ครกตำให้กระเทาะเปลือก เป็นแกลบสีเขียว ๆ ฝัดออกเหลือแต่เม็ดข้าวสีเขียวแบน ๆ
เพราะโดนสากตำข้าว เราเรียกข้าวเม่า เพราะทำจากข้าวดิบ ๆ ยังอ่อนอยู่ จึงมีกลิ่นหอมมาก กิน
เล่นก็อร่อย แต่ชาวบ้านนิยมเอาไปทำขนม คลุกมะพร้าว น้ำอ้อยน้ำตาล อร่อยมาก ๆ
.........ช่วงออกพรรษาข้าวเบาจะแก่แล้ว เก็บเกี่ยวกันก็จะมีข้าวใหม่กินกัน ข้าวเหนียวใหม่ หอม
นิ่ม กินในดอก(กินข้าวเปล่า)ก็ยังอร่อย เก็บเกี่ยวข้าวช่วงนี้ลำบากหน่อย ถ้าปีไหนฝนดี ต้องทำ
ร้านตากข้าว ใช้ตอฟางนั่นแหละ หัก ๆ ทำเป็นร้าน เกี่ยวข้าวเต็มกำมือก็วางตากเรียงกันไว้ สองสาม
วันแห้งดีแล้วก็มามัดได้ จากนั้นก็ไม้หลาวเสียบ ข้างละ 4-6 มัด หาบไปเก็บที่ลานสำหรับกองช้าว
รอการนวดต่อไป จากนั้นไม่นานข้าวหนักก็จะแก่และเก็บเกี่ยวรวมกันที่ลาน จนเสร็จทุกแปลง ค่อย
จะมีการนวดข้าวและนำไปเก็บที่ยุ้งฉางต่อไป
.........เล่าซะยืดยาว ตามวัยน่ะครับ เขาว่าคนเฒ่าชอบเล่าความหลัง เมื่อก่อนไม่เข้าใจ วันนี้รู้แล้ว
เป็นแบบเรานี่แหละ ได้พูดได้เขียนก็เบรคไม่ค่อยอยู่ มันไหลไปเรื่อย เล่าเรื่องทำนา ข้าวขึ้นยุ้ง
ฉางแล้วก็น่าจะจบแหละเนาะ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ไปเก็บเห็ด


เข้าป่าเก็บเห็ดกัน 




........หนูไข่ปอกสาวบ้านใกล้เรือนเคียงเรา 17 เธอก็ต้อง 15 เพราะเกิดหลังเราสองปี คุ้นเคยกันดี คุ้มพวกเรามีหนุ่ม 3 คน สาว 4 คน หนุ่มหัวใจยังว่ามีคนเดียวคือเรา เพราะมัวไปเรียนหนังสือ ม.1 - ม.6 จีบสาวไม่เก่ง สาว ๆเลยไม่เกรงใจ พูดจาหยอกล้อ ได้ขำกันบ่อย ๆ เพราะตามสาว ๆ ไม่ทัน ........"อ้าย ๆ เคยกุมสาวบ่อ" สาวไข่ปอกชอบถามให้เราเซ่อ ปล่อยไก่บ่อย ๆ "เคยอยู่ กุมสาวไข่ นั่นเด" เรายืนยันว่าเคยกุมสาว พวกเพื่อนหัวเราะ บอกไม่เชื่อกุมแบบไหน เราก็กุมแขนสาวไข่ปอก ให้ดู ฮากันทั้งกลุ่ม "โอ้ย...บักโง่เอ้ย นั่นเขาเอิ้นจับมือ บ่แม่นกุม"บักทองใสเพื่อนชายบอกกล่าว "แล้วกุมล่ะเป็นแบบได๋" ไม่เข้าใจจริง ๆจึงต้องถาม "มึงหลับตาไว้ ไข่ มึงกุมให้มันเบิงดิ แบบได๋" สัก ครูสาวไข่ก็เดินมาชิดแล้วกอดรัดแน่นเลย"เอ้ย ๆ อย่ากอดข่อย" เขาฮากันแถมด่าว่าเราโง่หลาย ก็คนมันไม่เคยนี่นา...ตอนหลังสาวไข่ก็สาวไข่เถอะ ไม่กล้าหยอกล้อเราหรอก เพราะโดนเรารัดคืน และจะเรียกคนมาดู สาวเอามือปิดปากเราแน่น ก็ล้อเล่นเฉย ๆ หรอก อยากให้กอดนาน ๆ ดีใจมากกว่า ที่สุดก็เข้าใจว่าสาวไข่ปอกมีน้ำใจดี อยากแนะนำสั่งสอนให้เรารู้ธรรมเนียมหนุ่มสาวชาวบ้าน อยากให้รู้วิถีการทำมาหากินต้องทำอะไรบ้าง แหมเขาก็อยากมีแฟนฉลาด ทันคน ขยันทำการงาน ทำมา หากินเก่ง แต่เอาใจใส่มากเกินจนคนอื่นเขารู้กันทั่ว ว่าสาวไข่ปอกมันหวงเรา
........ฝนตกหลายวันแล้ว อากาศร้อนอบอ้าวชาวบ้านรู้อากาศแบบนี้เห็ดออกเต็มป่าแน่ ก็ชวนกัน เข้าป่าเก็บเห็ด หนุ่มสาวแหละตัวดีชวนกันไปเป็นคู่ ๆ สาวไข่ปอก สาวนางน้อย สาวนวลจันทร์ และ สาวทองใบ หนุ่มก็ครบสี่ ผม ทองใส บุญสี สนิท จัดเรียงลำดับตรงคู่ได้ 4 คู่ออกมานอกหมู่บ้าน เจอ แม่ยายหนูไข่มาแจ้งให้ทราบทำนองว่า กูรู้นะพวกมึงชวนกันไปเที่ยวป่า หาที่จีบกันแน่ ๆ เฮ้อ ผู้ใหญ่ อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมรู้ทันเด็ก ๆ.... สาวส่งตะกร้าให้ผู้ชายถือ ส่วนพวกเธอถือเสียมแบกใสบ่า เดิน สบาย ๆ พอเข้าป่าก็ส่งเสียงลำเพลิน แข่งกัน สี่สาวก็สี่กลอน มั่วมาก ๆ.... รู้นะว่าดีใจชวนแฟนมาเที่ยวป่าได้คงครึ้มอกครึ้มใจนั่นแหละ 

........ผมถือตะกร้า บ่าสะพายบั้งทิง ทำจากไม้ไผ่ตงลำใหญ่ ๆ ตัดมาสี่ปล้อง ข้อล่างเสี้ยมปลาย แหลมเอาไว้ตอกลงดินเสียบไม่ให้ล้ม อีกด้านเสี้ยมเป็นกรวยสำหรับกรอกน้ำ เทเอาน้ำ สองปล้อง ทะลุข้อแรกเจาะรูกรอกน้ำลงกระบอก ข้อกลาง ใช้เหล็กแหลมทะลุให้น้ำขังได้ 2 ปล้อง เจาะรูหัว ท้าย ผูกเชือกสะพาย เซาะเปลือกผิวออกซักครึ่ง จะได้เบาลงบ้าง ใช้เป็นภาชนะบรรจุน้ำดื่มเวลาไปเดินป่า เดินทุ่งนา เวลาสาวหิวน้ำก็เทน้ำใช้จอกไม้ไผ่ให้ 2 จอกก็อื่มแล้ว สาวไข่ขอกินน้ำบ่อยมาก ๆ ๆ กวนดี จนต้องแวะ
บ่อน้ำกลางทุ่งนา เติมน้ำให้เต็ม เราเดินตามทางเกวียน ลัดเลาะไปตามโคกป่าไม้ ไม่ใหญ่โตนัก ไม่นานก็ทะลุทุ่งนาพ่อใหญ่เลิน เราเดินลัดผ่านทุ่งนา มีรอยคนเดินบนคันนาผ่านไป นาแปลงอื่น ๆ มีนาพ่อครูสีจัน นาพ่อจันดี นาพ่อจำปา เลยนั้นไปก็จะเป็นนาคนบ้านอื่่น ผ่านาพ่อใหญ่ เลินมีทางแยกไปด้านซ้ายมือ เข้าป่าผักหวาน เห็ด จากบ้านมาซักสามสิบนาทีก็ถึงแล้ว ริมป่ามีเถียงนาโคกพ่อใหญ่จำปา แวะพักได้นะ มีข้าวของเครื่องใช้เต็ม น้ำดื่มก็มี พี่สาวหาบน้ำมาใส่ตุ่มไว้ ให้พวก เลี้ยงวัวควายมาแวะได้ดื่มกิน อ้อพ่อใหญ่จำปาก็พ่อกระผมเอง
........หนุ่มสาวมาแวะเถียงนาดื่มน้ำท่าแล้วก็แยกย้ายเข้าป่ากัน คู๋ใครคู่มันนั่นแหละ รู้กันดีอยู่แล้ว สามคู่ไปแล้วเหลือแต่คู่เรา เสียงกลองเพลดังแว่วมาจากทางบ้านหนองเหมือแอ่ จากนี่ไปก็ซัก 7 กิโลเมตร วันนี้เก็บเห็ดได้เต็มตะกร้านี่ก็พอนะ ถ้าได้เต็มแล้วขากลับมาแวะที่เถียงพักเหนื่อยก่อน รอค่ำ ๆค่อยเข้าบ้าน สาวก็ว่า รู้ทันหรอก จะได้บอกแม่ว่าเดินเก็บเห็ดจนค่ำล่ะสิ ไปเถอะจะได้เห็ดเต็ม ตะกร้าไว ๆ แหมสาวไข่ปอกรู้ใจเราเหลือเกิ้น เลยลุกจากเถียงพาเดินเข้าป่าต้นพลวง ใบร่วงหล่น เต็มพื้น มักจะมีเห็ดเกิดดี เรารู้ดีเพราะแถวนี้ใกล้นาเรา เคยมาเลี้ยงควายและเก็บเห็ดบ่อย ๆ ไปถึง เจอเห็ดหน้าแหล่ เห็ดหน้าหมาก สาวไข่ใช้ไม้เขี่ยใบไม้ไปมาเจอเห็ดดินเลยวางตะกร้าไว้ เดินไป หาเห็ดรอบ ๆร่มไม้ ได้ก็เดินกลับมาใส่ตะกร้า "งูอ้าย งู"สาววิ่งมากอดตัวสั่น ก็ต้องปล่อยให้กอด แถมบอกให้กอดแน่น ๆ ระวังงูมันจะฉกเอา ความจริงเราเห็นแล้วเป็นคราบงูมันลอกคราบทิ้งไว้ เดิน ข้ามมา สาวมัวแต่เขี่ยหาเห็ดตามมาเจอเข้า เลยตกใจกลัวตัวสั่น เลยต้องปลอบขวัญ กอดนานหน่อย กว่าจะหายกลัว ใกล้ ๆจุดยืน มีจอมปลวกเล็ก ๆ ที่เห็ดตะไคเกิดประจำ มองไปก็เห็นแล้วเป็นกลุ่ม ดันใบไม้แห้งยกขึ้นยังกะช่วยกันหาม แลเห็นตีนเห็ดสีขาว ๆ เรียงอยู่ เลยชี้บอก สาวดีใจลืมกลัวงู ไปนั่งเก็บ ได้เกือบสิบดอก คงดีใจมาก เก็บไปอุทานไป"นี่ดอกหนึ่ง ดอกนี่กำลังจี ดอกนี้โดนแมง อะไรกัด ดอกนี้สวย..." ตามเอาตะกร้าไปวางใกล้ ๆ หาไม้เขี่ยใบไม้ออกให้ เชิญแม่คุณเก็บเอา ๆ 






.......จากจุดนั้นเราก็เดินเข้าป่าลึก ได้ยินเสียงพวกกันเองร้องวีดว้ายอยู่ไกล ๆ เลยพาเดินไปอีก ทางจะได้ไม่เจอกัน สาวถามทำไมไม่ไปทางนั้น ก็เลยกระซิบ ได้ยินไม่ถนัดมั้งเจ้าเลยเดินมาหา ถามว่า "พี่ว่าอะไร" ขำ ๆ นะ "อ้ายไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่า เจ้าทำไมผู้งามแท้ แต่เสียดาย..." สาวถามเสียดายอะไร เลยต้องบอก "เสียดายแก้มเจ้า มีแต่ดินโคลน มามะอ้ายเช็ดให้" ผ้าขะม้า มอม ๆ มัดเอวอยู่นั่นแหละ ดึงชายผ้าเช็ดดินออกจากแก้มให้ เสร็จก็โดนตีไปสองสามที คนช่วยเช็ด ให้มาตีกันทำไม "เช็ดเฉย ๆ ซี มาแอบหอมแก้มข้อยทำไม" ช่วยไม่ได้เนาะก็อยากมีแก้มสวยมาก ก็เลยลองดู จูงมือพาไปจอมปลวกอีกจอม เห็ดปลวก เห็ดตะไค ปล่อยให้เก็บ เดินสักชั่วโมงเศษ ได้เห็ดเต็มตะกร้า เลยกลับมาที่กระท่อม เงาแดดบอกเวลาบ่ายแล้ว ชักหิวเลยก่อไฟอุ่นข้าวเหนียว หยิบตั่งเตี้ย ๆมาวาง สาวก็นั่งเฝ้าหม้อข้าวให้ เราไปสวนครัว หาผักมาทำแกงเห็ด ได้มะละกอ มะเขือ เปราะ มะเขือพวง พริกสด แมงลัก ข้าวสุกพอดี เลยทำแกงเห็ดต่อ คั้นยานางเอาน้ำไปทำน้ำแกงเห็ด เด็ดผักแจม ยอดฟักทองสองยอด มะเขือพวง มะเขือเปราะ พริกอ่อนติดยอดใบอ่อน ๆ ได้ผักเต็ม ถ้วยพอ เห็ดล้างเรียบร้อยหนึ่งถ้วย พอน้ำยานางเริ่มเดือดก็ใส่เห็ด เครื่องแกง เกลือ ปลาร้า ปิ้งปลา ตะเพียนในห่อข้าวมาจากบ้านก็แกะเอาเนื้อมาใส่แกง ปล่อยให้น้ำเดือดครู่หนึ่งก็ใส่ผักแกง ผักยุบ ชิมดู ปรุงรส สุดท้ายก็ยอดแมงลัก สาวยกหม้อแกงมาตักใส่ชามใหญ่ กลิ่นหอมจนต้องชะโงกหน้าไป น่ากินจริง ๆ เรารีบตำแจ่วพริกดิบ เสร็จก็นำมาราดด้วยน้ำปลาร้า บีบมะนาว เชิญจ้าเชิญ เสียดาย ไม่มีบ่วงซดแกงเนาะ อ้าย ลืมไป มีจอกไม้ไผ่ที่ทำไว้เป็นจอกเหล้าสาโท มีสี่ห้าอันเก็บไว้ที่เถียง ไปค้นมาล้างสะอาด จองกะลามะพร้าวตักน้ำแกงวางให้สาวซดน้ำแกง ต้องเติมบ่อย ๆ อาหารเที่ยง ยามบ่าย ๆมันอร่อยมาก ๆ อิ่มแล้วเก็บของเสร็จ ขอนอนพักสักครู่นะ 



.......สงสัยเก็บเห็ดเหนื่อยสาวไข่ก็นอนพักด้วย ลมมันเย็นด้วยฝนตกสองวันแล้ว ลมพัดเฉื่อย ๆ จึง เย็นสบายชวนให้หลับ เราพยายามจะหลับแต่เสียดาย ถ้าหลับก็ไม่ได้มองแก้มป่องสาวไข่ดิ นอนจ้อง แก้มสาวดีกว่า สาวนอนพลิกตัวไปมา ไม่ได้แอบดูนะ เธอนอนไม่สำรวมเอง ใครจะกล้าไปดึงเสื้ออิ้ง ปิดหน้าอกที่มันโผล่มาให้เห็น สวยมากจ้า ได้แต่คอยระวังมิให้มดแมงมันไปรบกวน ไว้ใจได้รับรอง มองไม่กระพริบตาแน่ ดูไป ๆ สาว ๆนี่มีน้ำมีนวลน่ารักมากเนาะ ปากคอคิ้วคางก็สวยรับกันดี กำลังจ้อง อยู่ ๆ สองมือคว้าเราดึงเข้าไปกอด รัดซะแน่นเลย จ้างก็ไม่ปลุก ปล่อยให้ละเมอตามสะบายแม่คุณ บ่ายมากแล้วยินเสียงสามคู่เก็บเห็ดแวะเข้ามา สาวไข่ก็ตื่นมาพบว่าได้เห็ดกันไม่มากนัก เลยให้สาว ไข่พาเพื่อนไปเก็บเห็ดรอบ ๆ ลอมฟาง เพราะเป็นที่เราให้เพาะเห็ดไว้กิน พอฝนตกฟางเน่าเปียกชุ่ม เชื้อเห็ดที่เอามาโรยทิ้งไว้ ฝนตกอากาศอบอ้าวแบบนี้เห็ดฟางน่าจะออกบ้าง เดินมาดูแล้วเห็ดเต็ม เลยบอกให้ไปเก็บเอา ครูเดียวก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าด แย่งกันเก็บเห็ดฟาง ได้มา ซักสองตะกร้า แบ่งกันแล้วก็พอเอากลับไปทำกับข้าว ที่บ้าน

......."อ้ายเห็ดเบื่อ..เห็ดบ่อเบื่อเป็นแบบได๋" ก็อาศัยความรู้ประสบการณ์ได้จากผู้ใหญ่ ไปเก็บเห็ด
ช่วยหิ้วตะกร้าเดินตามหลัง เห็ดที่ผู้ใหญ่เก็บคือเห็ดที่กินได้ เราก็แค่ถามว่าชื่อเห็ดอะไร ถ้าเจอเห็ด
ที่ไม่รู้จัก ก็ต้องตรวจดูมีหนอนเจาะที่โคนเห็ดไหม ถ้ามีหนอนเจาะแสดงว่าไม่มีพิษ ถ้าไม่เจอหนอน
เจาะเลย แสดงว่าอาจมีพิษไม่ควรนำมากิน แม้จะมีคำแนะนำว่า ถ้าแกงเห็ดมีพิษปนอยู่ไอจากหม้อ
แกงจะสีแปลก ๆ ให้แกงต่อไปจนกว่าไอน้ำจากหม้อแกงเป็นสีขาวเหมือแกงธรรมดา ๆ ค่อยเอามากิน
ได้..... ผู้ใหญ่เล่านิทานเรื่อง สะไภ้กับแม่ผัวไปเก็บเห็ด แม่ผัวเห็นสะใภ้เก็บเห็ดพิษมาหลายดอก แถม
เอาลงหม้อแกง เลยให้เด็ดยอดส้มป่อยใส่ในหม้อแกง ไอน้ำมีสีเขียว สีแดงปนสีไอน้ำปกติ สะใภ้
จะปลงหม้อแกง แม่ผัวให้รอก่อน แกงต่อไปจนไอน้ำเป็นสีปกติ สะไภ้ตักแกงให้แม่ผัวกินตามลำพัง
ตนเองบอกไม่หิว หลังจากนั้นก็รอเมื่อไรจะตายซะที จนรุ่งเช้าแม่ผัวก็ไปทำไร่ทำนาปกติ จนเกิด
สงสัยทำไมเห็นไม่มีพิษ เลยเก็บมาแกงทดสอบ กินแกงอิ่มอร่อยไม่นานก็ชักตาตั้ง ตายด้วยมือของ
ตนเอง กลายเป็นนิทานเล่าขานกันสืบมา
......คุยจบก็ถึงบ้านแยกย้ายไปเรือนใครเรือนมัน สาวไข่เอาตะกร้าเห็ดไปส่งบนบ้าน แม่เราช่วยกุลี
กุจอ ตักน้ำเย็นมาให้ เกินไปนะคุณแม่ประจบว่าที่สะไภ้ แม่แบ่งเห็ด+ย่านาง+ปลาย่าง ให้ เราก็ขำสิ
..หนูไข่จ๋า ไปเก็บเห็ดที่ไหน ได้ปลาย่างมาด้วย เลยโดนแม่ด่าว่าทะลึ่ง กูจัดให้มันไปแกงสู่แม่มันกิน
เอ็งไม่ต้องมาถาม....แม่ให้พี่สาวไปจัดการเห็ด ได้สองเมนูคือ ห่อหมก กับ นึ่ง ไม่ทำแกง เพราะ
กินทุกวัน พี่เลือกเอาเห็ดบด เห็ดขอนขาวได้สักถ้วยมาล้าง ปาดโคนแข็ง ๆทิ้ง ฉีกดอกเห็ดเป็นดอก
ละ 2-4 ชิ้น ได้เห็ดถ้วยพูน ๆ แกตำพริกสองเม็ด หอมแดงสองหัว ตะไคร้ 1 หัวหั่นฝอยใส่ครกโขลก
แล้วเทลงกะละมัง ตะหลิวกระลาคนไปมา ข้าวเบือช้อนหนึ่ง ใบหอมสด แมงลักเติมลงไป ปลาร้า
เกลือ เสร็จแล้วก็ห่อด้ววยใบตองกล้วยสามชั้น ผ่าไม้ไผ้คีบ นำไปย่างไฟ คอยดูไปน้ำจากห่อหมก
จากสีขาว ๆ จนสีใส ๆ แสดงว่าเริ่มสุกแล้ว ครูเดียวก็เอาออกมาทดสอบได้ สุกจริง ๆ อร่อยมากด้วย 




......แกงเห็ด เห็ดหลายชนิดแกงรวมกันได้ มีมากจะแยกแกงก็ดี ทำความสะอาด ล้างให้ดี เพราะ เห็ดมีกจะมีดินเปื้อนที่โคน ส่วนหนอนที่เจาะไขตีนเห็ดไม่ต้องไปทำอะไร แกงได้เลยเป็นหนอน แมลงวัน แมลงวันทองไม่มีพิษนิยมแกงเลยไม่ต้องไปเขี่ย เพราะมันจะมีมาก ยิ่งดอกแก่ ๆ ยิ่งมี หนอนมาก ชาวบ้านเรารู้จัก ผักแจมแกงเห็ดเช่น ยอดหมากแตก ยอดฟักทอง ผักขมอ่อน ใบหอมสด ชะอม แมงลัก เด็ดใส่ถ้วยรอไว้ ตั้งหม้อแกงใส่น้ำสะอาดถ้วยหนึ่ง ตำเครื่องแกงใส่ลงไป น้ำปลาร้า น้ำปลา รอน้ำแกงเดือด ใส่เห็ดลงไป คนเบา ๆ ตามด้วยผักแจม ส้มป่อยแบบฝักแห้งสองฝัก หรือ มะขามเปียกฝักเดียว ครบละปล่อยให้เห็ดสุก ชิมและปรุงรส เค็มมากตักน้ำแกงออกถ้วยหนึ่ง เติม น้ำสะอาดลงไปแทน รับรองหายเค็ม จบด้วยชะอม แมงลัก อร่อยแน่นอน
......ซุบเห็ด ใช้เห็ดขอนขาว เห็ดบด หรือเห็ดกระด้างก็ได้ เอามาต้มให้นิ่ม ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้สักถ้วยก็พอทำซุบ ป่นคือส่วนผสมหลัก ป่นปลา ป่นกบ ป่นเขียด ป่นปู ใช้ได้ทั้งนั้น อีกอย่างคือ งาคั่วแล้วป่นกลิ่นหอมไกลมาก พริกป่นใช้ช้อนเดียว หอม+กระเทียม+ข่า เผาไฟแล้วล้างสะอาดใส่ ครกโขลกให้แหลกแล้วใส่เห็ดลงก่อน ตามด้วยป่น งาคั่ว และผักเครื่องหอมต่าง ๆ ชิมและปรุงรสได้ ดูรายการที่ทำซุบง่าย ๆ แต่ทำไมมันอร่อยมาก ๆ ต้องลองทำกินดูจะรู้คำตอบ (ป่นปลา สามารถใช้ อย่างอื่นแทนได้ เช่น หัวหอยต้มสุกแล้ว หนังแห้งเผาไฟ ทุบ ๆ ต้มเปื่อยแล้วหั่นชิ้นเล็ก ๆ หรือหนัง หมูก็ใส่ซุบได้)
......อั่วเห็ด ก็ซุบเห็ดหรือแกงเห็ดนั่นแหละ แต่เปลี่ยนวิธีทำให้สุกด้วยการห่อใบตองม้วนกลม ๆ แล้วเอาไปย่างไฟให้สุก ใบไม้ที่นิยมใช้ได้แก่ ใบน้ำเต้า ใบฟักทอง ใบฟักเขียว ใบชะพลู เห็ดที่ นิยมทำคือเห็ดขอนขาว เห็ดบด เห็นแครง ล้างเห็ดดีแล้วก็หั่นหรือสับให้ได้ชิ้นเล็ก ๆ ตำเครื่องแกง มีพริก+หอมแดง +กระเทียม+ข้าวเบือ ปลาร้า+น้ำปลา ชูรส แมงลัก (หมูบดใส่ได้ต้องสุกก่อน) ทั้ง หมดคลุกเคล้ากันในกระทะ เปิดไฟอ่อน ๆ คนไปเรื่องจนสุกคากระทะ ชิมรส เติมแมงลัก แล้วหยุดไฟ ตักใส่ใบไม้ห่อม้วนกลม ๆขนาดเท่านิ้วมือ จัดวางเรียงบนตะแกรงแบบสองชั้น เต็มแล้วปิดทับนำไปย่าง พลิกคว่ำ-หงาย ไปมา ให้ใบตองสุกก็ใช้ได้ เพราะเห็ดกินได้ตั้งแต่อยู่ในกระทะแล้ว อร่อยอันดับหนึ่งคือห่อด้วยใบชะพลู ห่อยากต้องชำนาญการ ผมใช้สามใบต่อหนึ่งห่อ ปิดหัวท้าย ม้วนเสร็จวางทับรอยหางใบไม้มิให้คลายก่อน พอตั้งไฟใบไม้แห้งกรอบก็จะรัดแน่นห่อเอง เคยทำไปกินที่โรงเรียน ทำไปสักยี่สิบแท่ง ต้องเขียนหนังสือกำกับไว้ด้วยว่า เหลือให้ผมซักสามแท่งนะครับ ไม่ได้ผลแฮะมันไม่อ่านเลย ข้าวเหนียวก็เกลี้ยงกลาย
เป็น ข้าวผัดกระเพราหมูแทน คงกลัวเราไม่ได้ทานข้าวเที่ยงจะดุเอา มันกลิ่นหอมยั่วน้ำลายจริง ๆ 
......สาวไข่ปอกช่วยห่อและย่างเห็ดสุกแล้วก็จัดใส่จานกลับไปกินที่บ้านด้วย ตะกร้าเห็ดก็แบ่งเอา ไปเยอะ ๆนะ แม่ผมกำกับอยู่ไม่ห่วงหรอกว่าที่สะใภ้ของแม่นี่ ฮักหลาย ระวังเถอะสาวไข่มันจะงาบ ลูกชายให้ซักวัน ก็เล่ามายืดยาวมากแล้วมีทั้งน้ำทั้งเนื้อและขยะ ท่านผู้อ่านเลือสรรอ่านเองเอง ขยะ ไร้สาระก็ข้าม ๆ ไป อันไหนมีสาระก็เชิญนำไปพิจารณา อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย เอวังแหละครับ